ดวงใจภวินท์ - บทที่ 332 เกรงใจผมทำไม
บทที่ 332 เกรงใจผมทำไม
ในขณะเดียวกันคนที่รู้ว่าญาธิดากำลังท้อง นอกจากตัวเธอเองยังมีอีกหนึ่งคน
“เพล้ง!” กล่องเครื่องประดับบนโต๊ะถูกกระแทกกับผนัง กล่องแตกเป็นเสี่ยงๆ เครื่องประดับที่อยู่ข้างในตกกระจัดกระจายลงบนพื้น
นิวรากำโทรศัพท์มือถือฟังรายงานของชยิน สีหน้าแย่ลงเรื่อยๆ
เธอพูดอย่างเกรี้ยวกราด “เธอไปไหนหลังออกจากโรงพยาบาล! ได้ไปหาภวินท์หรือเปล่า!”
ชยินน้ำเสียงเคร่งขรึม “เปล่าครับ เธอตรงกลับคอนโดเลย”
เมื่อนิวราได้ยินคำพูดนี้ ความตื่นตระหนกในใจไม่ได้ลดลง กลับเคร่งเครียดมากขึ้น
เธอไม่กล้าจินตนาการ ถ้าญาธิดาจัดการกับเรื่องท้องด้วยการไปบอกภวินท์ตามตรง แล้วเขาจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง ตระกูลสถิรานนท์จะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง
ยิ่งกว่านั้นตามความเข้าใจของเธอ ญาธิดากับคุณย่าสนิทสนมกันมาก และคุณย่าคนนี้ก็เฉยเมยต่อเธอเสมอ สิ่งนี้ทำให้เธอกังวลมากว่าถ้าญาธิดามีลูกก็จะมีชิปต่อรอง ตระกูลสถิรานนท์ก็จะมีใจเอนเอียง
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งกังวล กระทั่งในที่สุดก็กัดฟันพูดเสียงต่ำ “ชยิน ครั้งนี้ นายต้องช่วยฉัน ฉันปล่อยให้เด็กคนนั้นเกิดมาไม่ได้! นายช่วยฉันได้ไหม”
สำหรับชยิน นี่ควรจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตราบใดที่เขาเต็มใจช่วยเธอ แน่นอนว่าสามารถทำได้!
แต่ใครจะรู้ว่าชยินที่อยู่ปลายสายกลับตกอยู่ในความเงียบ “คุณหนู เรื่องแบบนี้…”
“เรื่องแบบนี้ทำไม นายไม่เต็มใจเหรอ” นิวราได้ยินความลังเลในคำพูดของเขา สีหน้าพลันเย็นชาลง “นายไม่เต็มใจฉันก็จะไปหาคนอื่น!”
ชยินได้ยินดังนั้นจึงกัดฟันพูดอย่างโหดเหี้ยม “ในเมื่อเป็นสิ่งที่คุณหนูให้ผมทำ ผมก็จะทำ!”
“นี่สิถึงจะถูก!” นิวราพูดอย่างพึงพอใจ “ชยิน ถ้าครั้งนี้ทำสำเร็จฉันจะให้รางวัลนาย!”
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ชยินก็ยิ้มขมขื่น แต่ไม่มีการปฏิเสธยังคงตอบตกลงคำขอของนิวรา
ตราบใดที่คุณหนูมีความสุข ทุกสิ่งที่เขาทำก็คุ้มค่า
หลังจากคืนแห่งการต่อสู้ทางจิตใจ วันรุ่งขึ้นญาธิดาก็ยอมรับความจริงที่ว่าเธอมีลูกแล้ว แต่เรื่องนี้ก็กลายเป็นหินก้อนใหญ่กดทับใจเธอในเวลาเดียวกัน ทำให้เธอค่อนข้างหายใจไม่ออก
หากเธอต้องการเก็บเด็กไว้ เป็นไปได้ว่าอาจถูกภวินท์รู้เข้า และหลังจากนั้นเธอก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าภวินท์จะทำอะไรกับเธอและลูก
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว ญาธิดาพลันรู้สึกหนาวเหน็บในใจ ยิ่งไม่อยากให้ภวินท์รู้เรื่องที่เธอท้อง
ดังนั้นเธอต้องซ่อนมันไว้ให้มิดตั้งแต่ต้นจนจบ ให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาด!
ตอนเที่ยงวันรุ่งขึ้น ญาธิดายืนอยู่บนระเบียงกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ แต่แล้วจู่ๆ โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นปภาวีที่โทรเข้ามา
“ธิดา พ่อแกโวยวายยืนกรานว่าจะออกจากโรงพยาบาล บอกว่าตัวเองไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แต่เกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่ยอม!”
“อะไรนะคะ” ญาธิดาตกตะลึงไปก่อนจะได้สติกลับมา “คุณบอกว่าคุณพ่อจะออกจากโรงพยาบาลเหรอคะ!”
ปภาวีถอนหายใจลึก “ใช่ เกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่ยอม เขายังโทรบอกให้ทัตมารับเขาด้วย!”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก กัดฟันพูดเสียงเบา “งั้นหนูจะไปโรงพยาบาล ดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
พูดจบเธอก็วางสาย วิ่งออกไปทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
อาการของดร.ยติภัทรในตอนนี้เธอก็รู้ แม้ว่าการผ่าตัดจะประสบผลสำเร็จแต่อาการยังไม่คงที่ จำเป็นต้องพักผ่อนและต้องสังเกตอาการอยู่ในโรงพยาบาล ตอนนี้เขาจะออกจากโรงพยาบาล ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผลที่ตามมามันจะคาดไม่ถึง
เธอรีบไปโรงพยาบาลทันที เพิ่งเดินเข้าไปตรงทางเดินของโรงพยาบาล ญาธิดาก็ได้ยินเสียงดังมาจากประตู เห็นพยาบาลยืนอยู่หน้าประตู เธอใจตึงแน่น เร่งฝีเท้าไปทันที
ญาธิดาเดินถึงประตูอย่างรวดเร็ว เห็นคนหลายคนยืนอยู่ในห้อง หมอพยาบาลธีทัตและปภาวีก็ยืนอยู่ที่นั่น ดูเหมือนทุกคนกำลังเกลี้ยกล่อมดร.ยติภัทร
ดร.ยติภัทรมีสีหน้าเคร่งขรึม พูดจาหนักแน่น “ค่ารักษาพยาบาลที่นี่แพงเกินไป ผมกลับไปสังเกตอาการที่บ้านก็ไม่ต่างกัน”
หมอเกลี้ยกล่อม “คุณครับ คุณพูดแบบนี้ไม่ได้ การสังเกตอาการในโรงพยาบาลไม่ใช่เพื่อให้เราหารายได้ แต่เพื่อรับประกันความปลอดภัยของคุณ หากมีเหตุฉุกเฉินใดๆ เราจะสามารถจัดการและช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที”
ดร.ยติภัทรดูเหมือนไม่เต็มใจ ส่ายหน้าและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ญาธิดาก้าวเข้าไปเสียก่อน
“ขออภัยค่ะคุณหมอ เราจะอยู่โรงพยาบาลต่อ ขอโทษที่รบกวนคุณ เชิญกลับเถอะค่ะ”
ทันทีที่เธอมาถึง เธอก็อธิบายให้แพทย์และพยาบาลฟังด้วยรอยยิ้ม เมื่อดร.ยติภัทรได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าไม่พอใจ “ธิดา แก!”
เธอเดินเข้าไปปลอบดร.ยติภัทรทันที “คุณพ่ออย่าดื้อสิคะ รออาการคงที่แล้วเราค่อยกลับบ้าน ถึงตอนนั้นไม่ว่าหนูหรือคุณแม่ก็จะได้สบายใจไม่ใช่เหรอคะ”
ดร.ยติภัทรสำนึกผิดแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ตอนนี้ที่เขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ญาธิดาเป็นคนจ่ายเงินค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เขารู้สึกปวดใจมาก ดังนั้นพออาการดีขึ้นหน่อยจึงอยากกลับบ้านทันที
ญาธิดาเกลี้ยกล่อมต่อ “โอเคไหมคะคุณพ่อ ถ้าพ่อหายเร็วๆ แล้วเราก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้!”
พอพูดเช่นนี้แล้ว ในที่สุดดร.ยติภัทรก็โบกมือและพูดเสียงเบาว่า “ช่างเถอะ ฟังหมอก็แล้วกัน”
ทันทีที่เขาพูดอย่างนี้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างถอนหายใจโล่งอก
ธีทัตเดินเข้าไปนำของที่ดร.ยติภัทรเก็บกลับไปใหม่ทันที หมอพยาบาลก็รับรู้และออกไป
หลังจากที่ทุกอย่างถูกจัดระเบียบใหม่ ญาธิดาก็เกลี้ยกล่อมดร.ยติภัทรให้พักผ่อน จากนั้นจึงออกจากห้องไป
หลังจากปิดประตูอย่างแผ่วเบา ทันทีที่เธอหันหลังก็เห็นทีธัตยืนอยู่ข้างๆ และกำลังมองเธออยู่
เธอตอบสนองอย่างรวดเร็ว ยิ้มให้เขาและพูดเสียงเบา “ขอโทษนะ วันนี้เพราะคุณพ่อฉันอาละวาด ทำให้คุณต้องมาที่นี่อีกแล้ว”
ธีทัตมาที่นี่ทุกครั้งก็ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ โดยไม่มีบ่นสักคำ
เมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ยกยิ้มมุมปาก ดวงตามีแต่ความอ่อนโยน “คุณเกรงใจผมขนาดนี้ทำไม”
ญาธิดาได้ยินดังนั้นจึงเลื่อนสายตาขึ้นมองเขา ริมฝีปากยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองมองหน้าและยิ้มให้กัน
นิ่งไปสักพัก แล้วธีทัตก็แนะนำว่า “วันนี้อากาศไม่เลว ไปเดินเล่นในสวนหย่อมของโรงพยาบาลกันไหม”
“ได้สิ”
เธอเองก็อยากไปเดินเล่นพอดี
ญาธิดาพูดแล้วพยักหน้า เดินไปทางลิฟต์พร้อมกับเขา
สวนหย่อมหลังแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลมีการจัดวางและมีความเขียวขจีเป็นอย่างดี ทางเดินปูด้วยหินเป็นเส้นทางคดเคี้ยวซึ่งเหมาะสำหรับการเดินเล่นที่สุด
พวกเขาสองคนเดินเคียงข้างกัน แล้วจู่ๆ ธีทัตก็หันไปมองเธอ “ช่วงนี้ว่างไหม”
ญาธิดาหันหน้าไปมองเขา “เมื่อไรคะ”
“สิ้นเดือนนี้ ถึงตอนนั้นพวกเราไปเที่ยวแถบชานเมืองด้วยกัน มีอันอันและคนอื่นๆ อีกสองสามคนไปด้วย”
“ได้เลย”
ญาธิดาตอบตกลง
จะว่าไป เธอก็ไม่ได้เจออัญมณีมาหลายวันแล้ว หรือว่าช่วงนี้เธอยุ่งอยู่กับเรื่องความรัก
เธอกำลังอยู่ในภวังค์ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีหมอชุดขาวสองคนเดินมา ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจ ขยับเข้าไปใกล้ธีทัตมากขึ้นเพื่อหลีกทางให้คนที่มา
แต่ดูเหมือนว่าเนื่องจากถนนที่ปูด้วยหินนั้นแคบเกินไป หมอที่เดินผ่านญาธิดาจู่ๆ ก็ชนข้อศอกของเธอ
“ขอโทษค่ะ”
“ขอโทษค่ะ”
ทั้งสองพูดคำนี้แทบจะพร้อมกันและหันไปมองโดยอัตโนมัติ เมื่อพวกเขาเห็นกัน สีหน้าของทั้งคู่ก็ตกตะลึง
หมอคนนี้เป็นสูตินรีแพทย์ที่ตรวจเธอในวันนั้น!
ดูเหมือนหมอจะจำเธอได้เหมือนกัน เธอเหลือบมองธีทัตที่ยืนอยู่ข้างญาธิดาแล้วอมยิ้มโดยอัตโนมัติ จากนั้นจึงแนะนำด้วยเสียงที่แผ่วเบา “จริงๆ แล้วหมอแนะนำให้คุณเก็บเด็กคนนี้ไว้ แม้ว่าพวกคุณอายุยังน้อย แต่ไม่เร็วก็ช้ายังไงพวกคุณก็ต้องมีลูก!”