ดวงใจภวินท์ - บทที่ 337 อย่าคิดอีกเลย
บทที่ 337 อย่าคิดอีกเลย
บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง หมอมีความลังเล มองไปที่ญาธิดา จากนั้นก็มองภวินท์แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ขึ้นอยู่ที่ความสมัครใจของเจ้าตัว”
ภวินท์ได้ยินคำพูดนั้นแล้วนัยน์ตาสั่นไหวเล็กน้อย แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมเช่นเดิม และพูดซ้ำอีกครั้งว่า “ในสถานการณ์แบบนี้ การช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก อดทนกับความเจ็บปวดในหัวใจ ออกแรงบิดมือของชายหนุ่มออก มองไปที่หมอแล้วพูดว่า “คุณหมอคะ ฉันยินดี”
หมอมองจ้องเธอสักพักแล้วส่ายหน้า ไม่พูดอะไรอีก ส่งสัญญาณให้พยาบาลที่อยู่แถวนั้นเข้ามา
พยาบาลเดินเข้ามาพูดกับญาธิดา “เชิญตามฉันมาค่ะ”
ญาธิดาพยักหน้า ไม่มีการหันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ที่ก้าวเดินตามเธอไป
ความจริงเธอรู้ดีว่าในใจของภวินท์การช่วยชีวิตคนไม่ได้สำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดของเขามีแค่นิวรา หากเป็นคนอื่น เขาอาจจะไม่สนใจชีวิตของคนคนนั้นเลยว่าจะอยู่หรือตาย เขาเครียด เขากังวล เขาท่าทีแข็งกร้าว ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะคนที่นอนอยู่ข้างในนั้นคือนิวรา
เธอน่าจะรู้ตัวเลือกของเขามานานแล้ว เพียงแต่ตอนนี้กลายเป็นฝ่ายที่ถูกทอดทิ้ง หัวใจของเธอจึงเจ็บปวดจนควบคุมไม่ได้
ถูกพยาบาลพาไปที่ห้องเก็บเลือดซึ่งอยู่ใกล้เคียง ญาธิดาหลับตาแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง หัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายผสมปนเป
ความรู้สึกเจ็บแสบและชาหนึบตรงข้อมือ เทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดตรงหัวใจ
เลือด200ccที่เพิ่งเจาะไปถูกส่งไปยังห้องผ่าตัด ผ่านไปครู่หนึ่ง พยาบาลอีกคนวิ่งออกจากห้องผ่าตัดด้วยอาการเคร่งเครียด “ยังต้องการอีก200cc ยังให้เลือดได้อยู่ไหมคะ ตอนนี้คนไข้กำลังตกอยู่ในอันตราย!”
ญาธิดาได้ยินดังนั้นจึงเลื่อนสายตาขึ้นมอง เห็นภวินท์ยืนอยู่ตรงประตู สายตาเย็นชามองเธออย่างไม่แยแส เธอใจสั่นในฉับพลัน กัดฟันและพูดว่า “เอาเลือดไปเลยค่ะ”
เจาะไป400ccในครั้งเดียวแน่นอนว่าหนักเกินไปสำหรับร่างกายเธอ แต่ตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วน เธอไม่ให้เลือดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเธอปฏิเสธที่จะไม่ให้เลือด ภวินท์คงจะไม่ปล่อยเธอไว้แน่
เลือดถูกสูบเข้าไปในถุงเลือด แล้วถูกแช่ในน้ำแข็งทันที จากนั้นจึงส่งไปยังห้องผ่าตัด พยาบาลที่เจาะเลือดของเธอได้หยิบถุงเล็กๆ จากตู้ข้างๆ ที่มีบิสกิตนมและลูกอมส่งให้เธอ “ทานสักหน่อยเพื่อเพิ่มพลังงานนะคะ”
พยาบาลพูดจบก็รีบออกจากห้องเจาะเลือดเร่งไปที่ห้องฉุกเฉิน
เทียบกับเมื่อครู่ มองด้วยตาเปล่าก็เห็นได้ว่าผิวของญาธิดาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ริมฝีปากก็ไร้สีเลือด เธอยืนขึ้นโดยพยุงโต๊ะข้างๆ เพิ่งเดินไปสองก้าวยังไม่ทันถึงปากประตู แข้งขาพลันอ่อนแรงหน้ามืดไป
ภวินท์ซึ่งยืนอยู่ตรงประตูห้อง ก้าวเข้ามายื่นมือช่วยเธอทันที แต่ใครจะรู้ว่าญาธิดากลับขยับหนีไปด้านข้างหลีกเลี่ยงมือของเขา
ภวินท์มือแข็งค้างกลางอากาศ สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย ค่อยๆ ชักมือกลับ
ญาธิดาพิงกำแพง สูดหายใจเข้าลึกแล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองภวินท์ “ฉันทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว ส่วนที่เหลือคุณจัดการเองเถอะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็กัดฟันฮึบพยายามก้าวเดินออกไป
หัวใจของภวินท์เหมือนกับถูกบางสิ่งกรีดหลายต่อหลายครั้ง เจ็บปวดจนทนไม่ไหว เขาเลื่อนสายตาไปมองร่างหญิงสาวดื้อรั้น หัวใจปวดหน่วงอย่างหาสาเหตุไม่ได้
หลายวินาทีต่อมาเขาถึงได้สติ
เขาไปสงสารผู้หญิงคนนั้นได้ยังไง ชัดเจนว่าคนที่น่าจะถูกชนควรเป็นเธอ ตอนนี้นิวราตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงยังไม่ได้สติ ความรับผิดชอบเหล่านี้เธอควรยอมรับมันถึงจะถูก!
เมื่อคิดอย่างนี้ อารมณ์ในใจเขาถึงค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ จากนั้นจึงเดินไปทางห้องฉุกเฉินทันที
อีกด้าน ญาธิดาออกมาจากโรงพยาบาล กำลังเป็นเวลาเที่ยง ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า ผู้คนที่ทางเข้าโรงพยาบาลน้อยลงมาก เธอพยายามพยุงร่างกายเดินไป
เพิ่งเดินไปสองก้าวก็หน้ามืดอีกครั้ง ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก และจำต้องหยุด เดินไปยังเก้าอี้ข้างๆ เพื่อนั่งพักผ่อนสักครู่
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเลือดออกหรือเพราะเสียใจเกินไป มือสองข้างของเธอเย็นเฉียบถึงกระดูก แม้อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ ร่างกายของเธอก็ยังคงเย็นเฉียบ
ค่อยๆ ทานบิสกิตและดื่มนม ไม่รู้ว่านั่งไปนานแค่ไหน เธอถึงได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง
อารมณ์ค่อยๆ กลับมาสงบลง และเธอเริ่มคิดมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้เธอคั่นกลางระหว่างภวินท์กับนิวราเหมือนเป็นมือที่สาม ด้านหนึ่งมีใจให้ภวินท์ ด้านหนึ่งก็รู้สึกขอโทษนิวรา แต่สิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือนิวราสละชีวิตเพื่อช่วยเธอ
ทุกความรู้สึกซับซ้อนรุมเร้าในหัวใจ ทำให้ญาธิดายิ่งหายใจไม่ออก ออกจากโรงพยาบาล เธอเดินไปที่แม่น้ำCในเมืองJโดยไม่รู้ตัว นั่งในยามบ่าย ในจิตใจมีหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นแวบผ่านราวกับฉายภาพยนตร์
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มสลัว ญาธิดารู้สึกหนาวเย็นขึ้นเล็กน้อย เธอจึงขยับคลุมเสื้อคลุมให้แน่น แล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา
เธอมาถึงแม่น้ำCตอนบ่าย เพราะอยากอยู่เงียบๆ จึงปิดโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้ทันทีที่เปิดเครื่อง โทรศัพท์ก็ส่งเสียงสัญญาณเตือนดังหลายครั้ง เธอเปิดดูถึงได้พบว่ามีหลายสายที่ไม่ได้รับ
เมื่อเธอเห็นชื่อของ “ธีทัต” ญาธิดาก็นึกขึ้นได้ว่าเธอกับธีทัตนัดทานอาหารเที่ยงด้วยกัน แต่ตอนนี้บ่ายสี่โมงแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่เขาโทรหาเธอหลายสาย
เธอกำโทรศัพท์มือถือแน่น รู้สึกหดหู่เล็กน้อย ลังเลว่าจะโทรกลับหาเขาดีหรือไม่ แต่แล้วจู่ๆ โทรศัพท์ก็สั่น เธอขยับมือกดรับสาย
ธีทัตเป็นคนโทรมา ญาธิดาชะงักไปเล็กน้อย ยังไม่ทันได้สติ เสียงของชายหนุ่มก็ดังมาจากอีกฝั่ง “ฮัลโหล ธิดา คุณอยู่ที่ไหน”
เธอลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอาโทรศัพท์แนบหู และพูดเสียงเบา “ฮัลโหล ขอโทษนะคุณทัต เมื่อตอนเที่ยงมีเรื่องนิดหน่อย…”
เสียงที่ค่อนข้างกังวลของชายหนุ่มดังมาจากปลายสาย “ผมได้ยินมาว่าคุณประสบอุบัติเหตุ ก็เลยไปหาคุณที่โรงพยาบาลแต่ไม่เจอคุณ คุณอยู่ที่ไหนกันแน่”
ญาธิดาอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก “คุณรู้ได้ยังไง”
ธีทัตรีบพูด “ผมไปหาคุณที่บริษัท ได้ยินว่าหน้าประตูบริษัทเกิดอุบัติเหตุ ผมเป็นห่วงมาก…”
วินาทีนั้น ญาธิดารู้สึกอบอุ่นหัวใจในทันใด
ดูเหมือนว่าธีทัตจะเป็นคนเดียวที่ห่วงใยเธอในตอนนี้
เธอกัดริมฝีปาก แสบจมูกน้ำตาคลอหน่วย เธอเงยหน้าขึ้นสูดหายใจเข้าลึก “ฉันอยู่ที่ริมแม่น้ำC”
ธีทัตที่อยู่ปลายสายได้ยินพลันหน้าเสีย ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น “ธิดาอย่าวู่วามนะ ผมจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้!”
พูดจบ เขาก็วางสายแล้วออกไปทันที
เมื่อเดือนที่แล้วผู้หญิงคนหนึ่งกระโดดแม่น้ำCฆ่าตัวตาย ตอนนี้ได้ยินญาธิดาบอกว่าเธออยู่ริมแม่น้ำC แน่นอนว่าเขาย่อมอดคิดมากไม่ได้
ขับรถไปตามทาง จากบริษัทถึงแม่น้ำC ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงช่วงบ่ายแม่น้ำCมีคนน้อยมาก เขาเดินไปตามแม่น้ำและเห็นร่างผอมบางนั่งอยู่ไกลๆ ร่างกายไหวเอน
เขาใจหาย รีบก้าวยาวไปหา เมื่อเข้าไปใกล้ เห็นหญิงสาวยกมือขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตาที่หางตา เขารู้สึกปวดใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เขารีบก้าวเข้าไปหา ถอดเสื้อนอกออกคลุมตัวเธอ
“ธิดา คุณโอเคไหม”
ญาธิดาได้ยินเสียงแล้วหันไปมองอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นเขา น้ำตาพลันเหมือนน้ำล้นเขื่อนกั้น หยุดมันไม่ได้
เธอเสียงสะอื้น เค้นออกมาหนึ่งประโยค “คุณ ฉันเหนื่อยจัง…”