ดวงใจภวินท์ - บทที่ 360 เด็กน้อยสองคน
บทที่ 360 เด็กน้อยสองคน
โลกไม่เที่ยงเกินไป คนบางคนแยกกันไป อาจจะบังเอิญเจอกันใหม่ที่แยกถนน ส่วนคนบางคนเมื่อจากกันไป กว่าจะเจอกันใหม่ระยะทางอีกยาวไกล
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งที่ไม่มั่นคงพอค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆตลอดหลายปีที่ผ่านมา สุดท้ายก็ยังคงมีทิ้งไว้ มักจะจริงใจและน่าจดจำที่สุด
หลังจากนั้น5ปี
ในเขตชานเมืองของสหรัฐอเมริการถสีขาวจอดอยู่หน้าอาคารสไตล์ตะวันตกสีขาวหลังเล็ก ในรถกว้างขวาง ญาธิดาใส่เสื้อรัดรูปกับกางเกงยีนหลวม เรือนร่างที่ไร้ที่ติของเธอ
ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นแม่ของเด็กสองคนแล้ว แต่ความสาวของเธอยังเต็มเปี่ยม ผิวพรรณเปล่งปลั่ง รูปร่างราวกับหญิงสาวอายุสิบแปด สะดุดตาเป็นพิเศษ
เบาะหลังมีที่นั่งเด็กวางอยู่สองที่ ทั้งสองราวกับก้อนผิวพรรณขาวอมชมพูตัวน้อยๆนั่งอยู่ซ้ายหนึ่งขวาหนึ่ง คนนึงสวมกระโปรงสีม่วงส่วนอีกฝั่งก็สวมชุดสีดำ นอกจากทรงผมกับชุดที่สวมใส่ไม่เหมือนกัน รูปหน้าของทั้งสองคนราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
ในขณะนั้น พวกเขาทั้งสองคนก็ทะเลาะกัน
“เห็นได้ชัดว่าต้องมีไก่ก่อนถึงจะมีไข่……”
“ไม่ใช่ ต้องมีไข่ก่อน ถึงจะมีลูกไก่!”
“ไม่ใช่นะ! ไม่มีไก่จะมีไข่ได้ไง? ”
“……”
เจ้าก้อนสองก้อนผลัดกันพูดคนละประโยค ใครก็ไม่ยอมถอยสักก้าว หน้าของเด็กชายแดงก่ำแล้ว แต่เสียงสู้สาวน้อยไม่ได้ เขาร้อนรน จนรัวภาษาอังกฤษออกมาเป็นชุด เด็กหญิงด้านข้างก็ไม่ยอมแพ้ ตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน บางครั้งภาษาอังกฤษก็ผสมกับคำภาษาไทยสองสามคำ
ญาธิดาที่นั่งอยู่ด้านหน้าที่นั่งข้างคนขับได้ฟังพวกเขาพูดสู้กันมาครึ่งชั่วโมงกว่าเต็มๆแล้ว ตอนนี้กำลังฟังพวกเขาโต้แย้งหัวข้อนี้ต่อไป ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
มองดูนอกหน้าต่างเห็นคนขับรถเดินมา ญาธิดาก็เอียงหัวมองดูคนตัวเล็กสองคนที่เบาะหลัง ตบมือ และพูดขึ้น “อีธาน เอลล่า พวกลูกสองคนเงียบหน่อยได้มั้ย? ”
เจ้าตัวเล็กสองคนได้ยินดังนั้น ก็หันหน้ามามองเธอ อีธานยู่ปาก และพูดอย่างงอนๆ “งั้นแม่บอกมา มีไก่ก่อนหรือมีไข่ก่อนกัน? ”
ญาธิดาชะงัก เห็นได้ชัดว่าถูกถามจนงง เธอมองใบหน้าเล็กที่หล่อเหลาของอีธาน และมองไปยังเอลล่าที่น่ารัก จึงไม่มีทางตัดสินได้
ไม่ว่าจะเลือกอะไร ก็จะปฏิเสธฝ่ายใดฝ่ายนึง เธอไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
เธอฉีกยิ้ม เผชิญหน้ากับดวงตาโตที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเจ้าตัวน้อยทั้งสองคน และยิ้มแห้ง พูดเหตุผลไม่ได้
หลังจากนั้น แรงบันดาลใจของญาธิดาก็เป็นประกาย อยู่ๆก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบพูด “ปัญหานี้ แม่ก็บอกไม่ได้ แต่แม่รู้ว่ามีคนนึงต้องรู้แน่ๆ!”
“เป็นใคร? ”
“เป็นใครกัน? ”
อีธานกับเอลล่าถามขึ้นเหมือนกันคนละน้ำเสียง ดวงตาดุจลูกองุ่นสีม่วงกลมๆกลอกกลิ้งไปมาในเบ้าตา
“แน่นอนว่าต้องเป็นคุณน้าที่น่ารักที่สุดของพวกลูกไง!” ญาธิดาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “วันนี้พวกลูกต้องนั่งเครื่องสิบกว่าชั่วโมงกว่าจะถึงสนามบินเมือง J และจะได้เจอคุณน้าที่รักของพวกลูกแล้ว!”
เจ้าตัวน้อยสองคนได้ยิน ก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้นขึ้นมาทันที และลืมเรื่องที่ถามจิกเมื่อครู่ไป
คุณน้าของพวกเขา ไม่ต้องพูด ก็ต้องเป็นอัญมณีอยู่แล้ว หลายปีมานี้ อัญมณีไปเยี่ยมพวกเขาถึงอเมริกาอยู่บ่อยๆ และบางครั้งก็พักอยู่ด้วยระยะนึง ไปๆมาๆ ก็นับได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ติดตามอีธานกับเอลล่าให้เติบโตขึ้น
บวกกับที่เวลาอัญมณีบ้าบอขึ้นมาก็เหมือนกันเด็กๆ จึงรับมือกับเด็กได้ดีที่สุด จึงทำให้ความสัมพันธ์กับเจ้าตัวน้อยสองคนนี้ดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้ว
เมื่อได้ยินเจ้าตัวเล็กสองคนเปลี่ยนบทสนทนาแล้ว ญาธิดาก็แอบโล่งใจ พอดีกับคนขับรถที่อัญมณีส่งมามาถึง เคลื่อนรถตรงไปส่งพวกเขาที่สนามบิน
หลังจากนั้นสิบสี่ชั่วโมง เที่ยวบินจากสหรัฐอเมริกาไปยังเมือง J ก็ลงจอดอย่างปลอดภัย ญาธิดาเงยหน้า มองออกไปนอกหน้าต่าง จู่ๆก็เกิดอารมณ์ต่างๆขึ้นในใจ
ขณะที่ไม่รู้ตัว เธอก็จากเมือง J ไปเป็นเวลาห้าปีเต็มๆ ในระยะเวลาห้าปีนี้ เธอไม่เคยกลับไปยังเมืองที่เธออาศัยอยู่มานานกว่ายี่สิบปีเลย วันนี้ กลับมาอีกครั้ง แน่นอนว่าต้องหดหู่เล็กน้อย
“แม่คะ พวกเราถึงหรือยัง? ”
ด้านข้างก็มีเสียงหวานๆของเอลล่าดังขึ้น ญาธิดาได้ยินก็หันไป มองเด็กสาวที่นอนหลับขยี้ตาเบาๆ สีหน้าจึงอ่อนโยนลงอย่างไม่รู้ตัว
เธอยื่นมือออกไปบีบแก้มเล็กๆ แล้วพูดเสียงเบา “ตื่นแล้วเหรอ? พวกเราถึงแล้ว กำลังจะลงเครื่องแล้ว……” เมื่อพูดถึงลงเครื่อง อยู่ๆอีธานที่อยู่อีกฝั่งก็หันมา ดวงตาโตสีขาวดำกลอกกลิ้งไปมาในเบ้าตา “แม่ฮะ พ่อจะมารับเรามั้ย? ”
ญาธิดาพูดเสียงเบา “เป็นคุณน้ามารับพวกเราจ้า วันนี้คุณพ่อมีธุระต้องออกไปต่างจังหวัด พรุ่งนี้พวกเราถึงจะได้เจอเขา”
ได้ยินดังนั้น สีหน้าของอีธานก็ผิดหวังเล็กน้อย จับแก้มพลางพูด “คิดถึงคุณพ่อ ไม่ได้เจอคุณพ่อนานมากแล้ว”
เห็นเขาเป็นแบบนี้ ญาธิดาก็ใจอ่อน ยกมือขึ้นลูบหัวของเขา พลางพูดปลอบ “วางใจเถอะ เดี๋ยวก็ได้เจอแล้ว!”
ไม่นาน เครื่องบินก็จอดสนิท ญาธิดาจับมือซ้ายหนึ่งขวาหนึ่งพาเจ้าตัวเล็กสองคนลงจากเครื่องบิน ตรงไปยังจุดรอรับกระเป๋า
ที่จุดรับกระเป๋าคนเยอะมาก ญาธิดาจับมือพวกเขาไว้ แถมยังต้องมองไปทางสายพานที่หมุนด้วย จึงต้องแยกสมาธิอย่างไม่รู้ตัว
“อีธาน เอลล่า พวกลูกจับเสื้อแม่ไว้ให้แน่นๆนะ อย่าวิ่งมั่วซั่วนะ”
ญาธิดาพูดสั่ง เห็นตัวเล็กสองคนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ถึงวางใจลงเล็กน้อย
อยู่ๆ โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาดู อัญมณีก็โทรมาพอดี
“ฮัลโหล อันอัน มาแล้วเหรอ? ”
เสียงของอัญมณีดังมาจากอีกด้านหนึ่งอย่างมีความสุข “ฉันเพิ่งถึง กำลังรีบเข้าไปนะ เธออยู่ไหน? ”
“ฉันกับอีธานและเอลล่ากำลังไปเอากระเป๋าเดินทาง เธอมารับพวกเราหน่อย”
ญาธิดาก้มหน้า และลูบหัวของอีธาน อีธานกะพริบตาปริบๆ ได้ยินว่าอัญมณีโทรมา ก็รีบโบกมืออย่างร้อนรน “แม่ฮะ ผมอยากคุยกับคุณน้า!”
เอลล่าที่อยู่ด้านข้างก็กระโดดอย่างตื่นเต้น “หนูด้วย!”
ญาธิดาถูกเจ้าตัวน้อยสองคนทำให้หมดหนทาง จึงทำได้แค่ยื่นโทรศัพท์ให้พวกเขาสองคน “จ้าๆๆ พวกลูกมาคุยกับคุณน้ามา”
เมื่อเห็นพวกเขาสองคนรับโทรศัพท์ไป หัวชนหัว ญาธิดาก็ยิ้มและหันไป ก็เห็นที่สายพานส่งกระเป๋าเดินทางของเธอมาพอดี
กลับมาจากอเมริกาครั้งนี้ เพราะเธอกำลังจะไปงานประกาศรางวัล พร้อมกันนี้ก็จะพาอีธานกับเอลล่าไปถ่ายชุดโฆษณา สิ่งของต่างๆที่ทั้งสามคนนำมาไม่น้อย ใส่กระเป๋าเดินทางสองใบมาเต็มๆ
เธอค่อยๆยกกระเป๋าเดินทางลงมาด้วยตัวเอง หันไป ก็เห็นอีธานกำลังถือโทรศัพท์คุณน้าอย่างนั้นคุณน้าอย่างนี้คุยกับอัญมณีที่อยู่ปลายสาย
อีธานยังไปครบห้าขวบ เห็นสาวสวยๆ ปากก็หวานราวกับน้ำผึ้ง ประโยคสองสามประโยคก็สามารถเกลี้ยกล่อมให้ผู้หายอื่นโกรธได้ ป้าแก่ๆอย่างอัญมณี ก็หนีไม่พ้นวิธีนี้ของเขา
เธออดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม มองซ้ายมองขวา กลับไม่พบเงาของเอลล่า
ทันใดนั้น ญาธิดาก็สันหลังวาบ ลนลานเล็กน้อย และรีบเดินไปยังด้านข้างอีธาน พลางถาม “อีธาน น้องล่ะ? ”
อีธานถือโทรศัพท์ และพูดขึ้น “อยู่ด้านหลังฮะ”
ญาธิดาเงยหน้ามองไปทางที่เขาบอก แต่ห้องโถงสนามบินที่กว้างขวาง มีเงาร่างของเอลล่าซะที่ไหน?