ดวงใจภวินท์ - บทที่ 37 จากใจจริงใช่ไหม
ญาธิดาตกใจจนพูดไม่ออก เธอไม่เคยได้ยินคนอื่นเอ่ยถึงมาก่อนเลย ว่าภวินท์มีน้องชายอยู่อีกคน
แต่ว่า เหมือนเห็นสภาพเช่นนี้ของเขาแล้ว ก็เหมือนคนที่พูดโกหก อีกทั้ง ครั้งที่แล้วที่เธอเจอเขาที่ร้านขายของเก่า จึงรู้สึกว่าบริเวณดวงตาของเขานั้นละม้ายคล้ายคลึงภวินท์อยู่บ้าง
ภูผาเห็นว่าเธอยังคงไม่หายจากอาการตกใจ แต่ก็ไม่ได้รีบร้อน แค่ยื่นมือออกมาให้เธอ และยิ้มให้เล็กน้อย “ทำความรู้จักกันเป็นทางการสักหน่อยไหมครับ?”
ญาธิดาตั้งสติกลับมาได้ จึงยิ้มให้เขา “ได้ค่ะ ฉันชื่อญาธิดาค่ะ”
ทั้งสองคนจับมือกัน และยิ้มพร้อมทั้งสบตาให้
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ญาธิดามองเขา แค่รู้สึกเหมือนเจอเพื่อนเก่าเช่นนั้น ไม่ได้รู้สึกห่างเหินหรือเขินอายขนาดนั้น
จู่ ๆ เธอก็นึกได้ว่าเมื่อครู่ที่คนรับใช้คนนั้นพูดก่อนเวลาที่จะกินข้าวกัน จึงเข้าใจได้ทันที “ใช่สิ เมื่อครู่ตอนพวกเรากินข้าวกันอยู่ ทำไมคุณถึงไม่ลงมากินข้าวพร้อมกับพวกเราด้วยล่ะ?”
“ผมชอบความสงบ” ภูผาหัวเราะ พลางแสดงความขมขื่นออกทางสีหน้า “อีกทั้งพี่ใหญ่เขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม…”
ญาธิดาชะงักทันที กลับไม่คิดเลยว่าจะได้คำตอบเช่นนี้ เธออ้าปากอยู่ และยังจะถามถึงสาเหตุต้นตอ ทว่ากลับคิดว่าไม่เหมาะ จึงกลืนคำนั้นลงคอไป
ภูผาชะงักเล็กน้อย พลางช้อนตามองเธอ และถามด้วยรอยยิ้มขมขื่นและสงสัยเล็กน้อย “คุณล่ะ คงไม่ได้รู้สึกไม่ชอบขี้หน้าผมใช่ไหม?”
“เปล่านี่คะ!” ญาธิดาไม่ได้ลังเล และพยักหน้าตามจิตใต้สำนึก “ฉันรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่ดีมากค่ะ! ไม่งั้นทำไมถึงได้เอาปากกาด้ามนั้นที่คุณถูกใจให้ฉันล่ะคะ? ปากกาด้ามนั้นฉันซื้อให้กับคุณพ่อ เขาชอบมากเลยค่ะ จะพูดยังไงก็ต้องขอบคุณคุณมากเลยค่ะ!”
เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาเช่นนี้ สีหน้าอึมครึมและท่าทางเศร้าโศกของภูผาถูกกวาดไปหมดทันที พลันกระตุกมุมปากยิ้มให้ ตามแบบฉบับเด็กหนุ่มอันสดใส
“ถ้าขอบคุณผมจากใจจริง สู้ช่วยเข็นผมลงไปชั้นล่างที ผมอยากไปตากแดดในสนามหน่อยครับ”
ญาธิดาตอบตกลงอย่างไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ “ได้เลยค่ะ!”
เธอเดินอ้อมมายังด้านหลังของภูผา และกุมที่วางมือของรถเข็นไว้แน่น จากนั้นก็ดันเขาลงทางลาดด้านข้างของบันได ทางลาดนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนได้มีการสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อรถเข็นโดยเฉพาะ ล้อรถยึดติดพอดี ไม่ต้องให้เธอเป็นคนออกแรงดันเลยสักนิด ภูผาก็สามารถลงไปด้านล่างด้วยตัวเองอย่างนิ่มสบาย
เธอกลับไม่ได้คิดมากอะไร ทั้งค่อยๆ ดันเขาลงไป และคุยสัพเพเหระกับเขาไปเรื่อย
ภูผาหัวเราะดังลั่น มักจะพูดคุยกับเรื่องที่เธอคุยได้ ทั้งสองคนคุยกันถูกคอ
เมื่อลงบันไดมาแล้ว ญาธิดาเห็นคนรับใช้คนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก และจ้องมองพวกเขาอย่างประหลาดใจ แถมสีหน้ายังแสดงอาการหวาดหวั่นออกมาเล็กน้อย
ไม่รอให้เธอได้คิดอย่างละเอียดมากนัก เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นภวินท์กำลังยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าของระเบียงเล็ก และคอยจ้องมองพวกเขาอยู่ไกลๆ
แววตาเปล่งประกายที่อยู่ในดวงตานั่น มันทำให้คนหวาดกลัว
เวลานี้เอง ภูผาถึงค่อยๆ หันหน้ามา พลางยิ้มพูด “ธิดาขอบใจนะ คุณส่งผมแค่นี้ก็พอแล้ว”
ญาธิดาเริ่มหวั่นใจอยู่บ้าง หลังจากตอบรับไปแล้ว ก็เดินมาทางภวินท์
พลันฉุกคิดสิ่งที่ภูผาพูดออกมาเมื่อครู่แล้ว ว่าภวินท์ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไหร่ วันนี้ก็ได้เห็นสายตาของภวินท์เป็นแบบนี้ เธอยิ่งใจห่อเหี่ยวมากกว่าเดิม
เมื่อเดินมาหยุดตรงด้านหน้าของชายหนุ่มแล้ว เธอกระซิบถามเบาๆ “เรื่อง….งานที่บริษัทของคุณจัดการเสร็จแล้วหรือคะ?”
“อืม”
ภวินท์ตอบกลับอย่างเย็นชา พร้อมทั้งหันหลังเดินมุ่งหน้าไปทางประตูทันทีโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย พลางใช้สายตามองเขาที่ต้องการเดินออกประตูไป เธอถึงตั้งสติได้ทันที และรีบตามไป
เธอวิ่งเหยาะๆ ตลอดทาง และวางมาตรงทางเล็กๆ ในสนาม พลันเอื้อมมือออกไปคว้าชายหนุ่มเอาไว้ “พวกเรายังไม่ทันบอกลาคุณย่าเลยนะคะ กลับบ้านไม่บอกไม่กล่าวสักคำ แบบนั้นมันไม่ค่อยดีมั้งคะ…”
ภวินท์พูดออกมาอย่างหนาวเหน็บคำหนึ่ง “ไม่ต้อง” และเดิมมุ่งหน้าต่อ
ญาธิดาไม่มีวิธีอื่น แค่เดินตามเขาออกไปจากสนามเท่านั้นเอง จากนั้นจึงรีบขึ้นรถตามไป
เธอมองออก ภวินท์โกรธขึ้นมาแล้ว อีกทั้งถึงขั้นหนักเอาการมาก
พายุที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านข้างด้วยความน่าเบื่อมากอยู่นั้นเมื่อเห็นสถานการณ์แล้ว จึงรีบเปิดประตูและขึ้นรถทันที และเอ่ยปากสอบถาม “คุณภวินท์พวกเราจะไปไหนกันครับ?”
ภวินท์สีหน้าเคร่งขรึม “กลับบ้านพัก”
ญาธิดาที่นั่งอยู่ด้านข้าง แทบไม่กล้าจะปริปากพูดอะไรออกมาเลย ผ่านไปชั่วครู่หลังจากที่รถยนต์ได้เคลื่อนตัวมาสักระยะแล้ว เธอถึงเรียกความกล้าเพื่อเอ่ยปากถามออกไป “ฉันทำผิดอะไรหรือเปล่าคะ?”
ภวินท์ตอบกลับอย่างเย็นชา “ไม่มี”
แสดงให้เห็นว่ามันเป็นคำโกหกอย่างชัดเจน กระทั่งขี้เกียจที่จะพูด และไม่ยอมที่จะทำตัวเสแสร้งเช่นนั้น
ญาธิดาเกิดหมดอาลัยขึ้นในขณะนั้นทันที รู้ว่าถ้าขืนถามต่อไปแบบนี้ ภวินท์ก็ไม่พูดอะไรออกมาแน่ จึงปิดปากเงียบ
ทั้งสองคนกลับไม่พูดไม่จาตลอดทาง บรรยากาศภายในตัวรถกลับขัดเขินและผิดปกติไป ขนาดพายุเองยังคอยมองกระจกมองหลังอยู่เป็นระยะ จะหายใจออกแรงๆ ยังไม่กล้าด้วยซ้ำ
ในที่สุด รถยนต์ก็เดินทางมาถึงหน้าประตูบ้านพัก รถเพิ่งจอดสนิท ภวินท์ก็ผลักประตูลงจากรถ พร้อมทั้งเดินจ้ำอ้าวมุ่งหน้าเดินไปยังลานด้านข้างอีกหลังทันที
ญาธิดาถอนหายใจเบาๆ และเกิดความรู้สึกไม่เข้าใจอัดอั้นอยู่ในใจ ทำไมภวินท์ถึงได้รังเกียจภูผาขนาดนั้น
ด้วยความสงสัยและคำถามต่างอัดแน่นอยู่ในใจ จะยังไงเธอก็รู้สึกไม่สบายใจ และรีบสาวเท้าเดินตามไป เพื่อเดินตามภวินท์ขึ้นชั้นสอง
เห็นกับตาว่าชายหนุ่มจะเข้าไปในห้องหนังสือ ญาธิดาก็รีบสาวเท้าวิ่งทันที และวิ่งเหยาะๆ ไปขวางทางเขาเอาไว้ “รอเดี๋ยว!”
เมื่อเห็นผู้หญิงที่เข้ามาขวางทางด้านหน้าตัวเอง ภวินท์ย่นคิ้วหากัน ทว่าไม่ได้อ้าปากพูด
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และถามกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตกลงว่าฉันทำผิดอะไรคะ คุณบอกกับฉันได้ไหมคะ?”
หัวคิ้วภวินท์ขมวดแน่น แต่กลับไม่ยอมปริปาก
“เพราะว่าภูผาใช่มั้ยคะ?” ญาธิดากำหมัดแน่น พลันเรียกกำลังใจเพื่อให้กล้าถามออกไป “ได้ยินว่าคุณรังเกียจเขามาก”
สีหน้าของภวินท์เคร่งขรึมลงไปเยอะ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมา จู่ ๆ เขาก็ยื่นมือออกไป และจับบริเวณหัวไหล่ของญาธิดา พร้อมทั้งผลักเธอให้ติดกับกำแพงดวงตาทอประกายความเย็นชาออกมา “ญาธิดา คุณไม่รู้สึกว่าคุณล้ำเส้นเกินไปหน่อยมั้ย?”
ภูผาเป็นคนของตระกูลสถิรานนท์ เขาชอบก็ดี รังเกียจก็ช่างปะไร ซึ่งมันยังไม่ถึงขั้นที่เธอจะมาถามไถ่ซักไซ้ไหม!
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และชะงักชั่วครู่ และพูดเน้นกลับมาทีละคำ “ฉันเป็นภรรยาของคุณนะคะ”
ภวินท์ทำสีหน้าเย็นชา “คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรให้มันเยอะแยะขนาดนั้นด้วย!”
“ทำไมล่ะ?”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ญาธิดาเกิดความรู้สึกแน่นจุกอกทันที ในเวลานี้ไม่แพ้แต่ไม่ยอมถอยหนี ในทางกลับกันยังอยากให้รู้เรื่องกันไปเลย เธอยื่นมือออกไป เพื่อคว้าข้อมือของชายหนุ่มเอาไว้ พร้อมทั้งพูดอย่างจริงจัง “ฉันเป็นคนที่คุณสามารถเชื่อใจได้ คุณไม่สามารถพูดกับคนอื่น แต่สามารถพูดกับฉันได้ ให้ฉันเป็นจุดซ่อนความลับให้คุณ ได้ไหมคะ?”
หลังจากที่ได้อยู่ด้วยกันมาหลายวันนี้ เธอรู้อยู่เต็มอกว่าภวินท์ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร และอยากทำอะไรเพื่อเขาบ้าง
ภวินท์เปล่งประกายความตกใจเล็กน้อย แต่วินาทีต่อมา เขากระตุกมุมปากแสยะยิ้ม และดันคนให้ติดกับกำแพง และค่อยๆ เอนตัวเข้าหาเธอ “ทำไมผมต้องเชื่อมั่นคุณด้วยล่ะ?”
“เพราะว่าภูผาใช่มั้ยคะ?” ญาธิดากำหมัดแน่น พลันเรียกกำลังใจเพื่อให้กล้าถามออกไป “ได้ยินว่าคุณรังเกียจเขามาก”
เมื่อถูกเขาถามออกมาเช่นนี้ ญาธิดาเริ่มร้อนรน เธอเม้มริมฝีปาก และไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรกลับไปดีในเวลานั้น การถูกเขาจ้องตาแบบนี้ จนใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา
“ฉัน…ก็ฉันเป็นภรรยาของคุณนี่ มันยังไม่พอใช่มั้ย?”
แววตาภวินท์หวั่นไหวเล็กน้อย “คำนี้ มันออกมาจากใจจริงใช่มั้ย?”
หัวใจของญาธิดาเต้นโครมคราม จิตใต้สำนึกทำให้แววตาหลบเลี่ยงออก ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ
ทันใดนั้น ปลายคางของเธอกลับถูกตรึงแน่น เธอจำต้องสบตากับเขาตรงๆ
รู้ว่าหนีไม่พ้นแล้ว ญาธิดาถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก และเม้มริมฝีปาก พลันพยักหน้าเล็กน้อย “ค่ะ…”
เธอเคยมีความรักมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่พอหลังเลิกรากับจิณณ์นั้นแล้ว ข้างกายก็ขาดเพศตรงข้ามมาตลอด และไม่ค่อยเข้าใจการในคบหากับเพศตรงข้าม แต่ช่วงสองสามวันมานี้ เธอสัมผัสได้ว่าภวินท์ปฏิบัติตัวดีต่อเธอ ดังนั้น เธอจึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้เขามีความสุขจากใจจริง
เพิ่งจะพูดยังไม่ทันขาดคำ เธอพบว่าการแสดงออกของภวินท์นั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ทันใดนั้น สายตาด้านหน้าของเธอกลับมืดลง และกลับมีความอ่อนนุ่มสัมผัสลงบนริมฝีปากทันที
วินาทีนั้น ญาธิดาแค่รู้สึกร่างกายสูบฉีดเลือดไปทั่วตัว!
ภวินท์…กลับจูบเธอ!