ดวงใจภวินท์ - บทที่ 392 แสร้งปฏิบัติตัวตามแบบฉบับคนเป็นพ่อ
บทที่ 392 แสร้งปฏิบัติตัวตามแบบฉบับคนเป็นพ่อ
พอญาธิดาได้ยิน จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย และไม่ได้พูดกล่าวสิ่งใดอยู่นาน
คิรินเลิกคิ้วให้เธอ พร้อมทั้งยิ้มพลันพูด “คุณวางใจเถอะ ผมต้องจ่ายเงินเดือนให้คุณอย่างดีที่สุดแน่”
“เกรงว่าจะไม่ได้ค่ะ” ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ฉันอยู่ในประเทศไม่นานค่ะ เดือนหน้าก็น่าจะบินกลับแล้ว”
เธอพูด พร้อมทั้งเงยหน้ามองคิริน กลับมองเห็นแววตาของเขาฉายความผิดหวังออกมาเล็กน้อย
ทั้งสองคนสบตา ต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมา
คิรินเงียบงันอยู่นาน พร้อมทั้งก้มหน้า จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “เพราะว่าภวินท์เหรอครับ?”
เมื่อญาธิดาได้ยินชื่อนี้เข้าหู หัวใจเธอหม่นหมองลงทันที พร้อมทั้งพยักหน้ารับ
คิรินเห็นเหตุการณ์นั้น สีหน้าเคร่งขรึมหนักมากขึ้น “ถ้าคุณมีอะไรให้ผมช่วย รีบพูดมาได้เลยนะครับ
ญาธิดาได้ยิน หัวใจอบอุ่นขึ้นทันที พร้อมทั้งพยักหน้าให้เขา
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่สักพัก ราวกับเยื่อบางๆที่คอยกั้นกลางทุกอย่างมันมลายหายไปแล้ว พร้อมทั้งคุยถึงเรื่องสัพเพเหระอย่างไม่ได้นัดหมาย พูดคุยกันจนกินเวลาชั่วโมงกว่า
จนได้เวลาพอประมาณแล้ว ญาธิดาถึงได้เอ่ยปากว่าต้องกลับแล้ว
ทั้งสองคนเดินตามหลังกันมา และออกจากห้องรับรอง จากนั้นก็เดินก้าวเท้ามุ่งหน้าออกไปด้านนอก
“งั้นก็รอให้คุณกลายเป็นนักแสดงชายยอดเยี่ยม ก็อย่าลืมฉันแล้วกันค่ะ”
“แน่นอนสิ ถึงตอนนั้นคุณอย่ามานั่งเสียใจทีหลังนะที่ไม่ได้เป็นผู้จัดการของผมอะ!”
“……”
ทั้งสองคนพูดหยอกล้อต่อกระซิกกันไปมา จังหวะที่กำลังเดินผ่านปากทางบันไดตรงทางเดินนั้น ใครจะรู้ว่าคนที่เดินเข้าดักหน้าต้อนรับกลายเป็นคนตัวสูงรูปร่างใหญ่สองคน
ญาธิดาเหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจ ตอนเห็นใบหน้าคนนั้นอย่างชัดเจน ฝีเท้าถึงกับค้างเติ่งทันที
โลกกลมจริงๆ เธอดันมาพบเจอภวินท์กับหลุยส์ในสถานที่แบบนี้!
พวกเขาสี่คนทำเหมือนนัดกันไว้แล้ว เพราะหยุดฝีเท้าลงทันที พร้อมทั้งเงยหน้ามองอีกฝ่าย
ญาธิดาถลำมองในดวงตาอันดับขลับคู่นั้นของภวินท์ จนรู้สึกหัวใจยุ่งเหยิงอย่างไม่รู้ตัว
นัยน์ตาชายหนุ่มราวกับใบมีดอันแหลมคมที่ห่อหุ้มไว้เสร็จสรรพ พร้อมทั้งกวาดตามองคิรินกับญาธิดา จนทำให้คนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เวลานั้นเอง บรรยากาศช่างน่าเคอะเขินจนข้ามขั้นน่าสะพรึงกลัว
คนที่เริ่มเคลื่อนไหวก่อน ก็คือ คิริน
เขาถอนสายตากลับอย่างไร้ความรู้สึก พร้อมทั้งเอื้อมมือออกไปคว้าหัวไหล่ของญาธิดาเอาไว้ พลางเขยิบกระซิบข้างหูของเธอ น้ำเสียงดูคลุมเครือแถมยังซักถามอย่างเป็นธรรมชาติมาก “คืนนี้อยากกินอะไร ผมจะพาคุณไปกิน หือ?”
ญาธิดาตั้งสติได้ จังหวะที่กำลังร้อนอกร้อนใจดึงสติกลับมานั้น จึงหันเหลือบมองคิริน พอเธอหันกลับหลังไป ก็ยิ่งทำให้ระยะห่างของคนสองคนเขยิบเข้าใกล้กันมากขึ้น ใกล้ขนาดที่ว่าไม่ว่าใครก็สามารถเชิดปลายคางและจูบได้ทันที
แต่ที่น่าแปลกก็คือ ญาธิดาไม่ได้หลบเลี่ยง แต่ในทางกลับกันกับปลุกระดมพลังงานขึ้นมา พร้อมทั้งยกมุมปากยิ้มและพูด ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเป็นคำตอบที่น่าฟัง “คุณตัดสินใจได้เลย”
ภวินท์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกัน กลับมองความสนิทชิดเชื้อของทั้งสองคนด้วยสายตาเย็นชา กองไฟโกรธเคืองที่อัดแน่นในหัวใจมันพุ่งออกมาด้านนอกทันที และแผดเผาสติสัมปชัญญะของเขาในเวลาเดียวกัน
ทำไมเขาถึงไม่รู้เลย ว่าจู่ๆ ญาธิดาเปลี่ยนเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัวขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ทั้งที่มีครอบครัว มีสามี มีลูกอยู่แล้ว แต่ก็ยังกล้าหาญชาญชัยที่จะให้ท่าดาราชายขนาดนี้ นี่เธอช่างมีเทคนิคดีจริงๆ!
จังหวะที่เขาใกล้จะเก็บอาการหุนหันพลันแล่นไว้ไม่อยู่นั้น จู่ๆ ทางด้านข้างก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา และตบหัวไหล่เขาเล็กน้อย “คุณภวินท์ ห้องรับรองอยู่ทางนั้น”
เขาตั้งสติได้ และเหลือบสายตาไปมองหลุยส์ที่อยู่ทางด้านข้าง สติสัมปะชัญญะค่อยฟื้นคืนกลับมาอยู่บ้าง
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก้าวฝีเท้าตามหลังคิรินเดินผ่านทางด้านข้างและลงบันได
กระทั่งเดินออกจากร้าน ญาธิดาถึงรับรู้ว่าอาการกดดันค่อยๆ ผ่อนคลายลงเยอะ
เธอขึ้นรถ และเงียบงันอยู่นาน จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ พลางเหลือบมองคิรินที่อยู่ด้านข้าง พร้อมทั้งเอ่ยปากซักถามทันที “เมื่อกี้คุณทำแบบนั้นทำไมคะ?”
คิรินยิ้มให้ พร้อมทั้งขยิบตาให้เธอ “คุณว่าไงล่ะ?”
จู่ๆ หัวใจญาธิดาเกิดความรู้สึกโกรธเคืองมันตีขึ้นมาทันที “ทั้งๆ ที่คุณรู้อยู่เต็มอกว่าฉันมีครอบครัวแล้ว คุณทำแบบนี้ คือตั้งใจให้เขาเข้าใจผิดใช่มั้ย?”
คิรินได้ยินแล้ว เขาอยากจะพูด แต่ชะงักเล็กน้อย สุดท้ายก็ยอมเอ่ยถึง “คุณเลือกที่จะตัดขาดกับเขาแล้ว ทำไมถึงต้องไปสนใจกับความคิดของเขาด้วยล่ะครับ?”
เพียงประโยคเดียว ราวกับโดนราดด้วยน้ำเย็นที่บรรจุอยู่ในถังน้ำ ที่ทำให้ญาธิดาได้สติได้เพิ่มมากขึ้นในพริบตา
เขาพูดไม่ผิด ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจจะจากลาไปแล้ว ทำไมถึงยังสนใจภวินท์ขนาดนี้
ตลอดการเดินทางกลับ ญาธิดาตกอยู่ในสถานะขัดแย้งและต่อสู้กันภายในร่างกาย
คิรินพาเธอไปส่งยังถนนทางด้านนอกสะพานทางตะวันตก ญาธิดาลงจากรถทันที ก็เห็นรถยนต์ของเธอจอดอยู่ในตำแหน่งทางด้านหน้าที่ไม่ไกลนัก และมีบอดี้การ์ดยืนขนาบอยู่ด้านข้าง
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งหันศีรษะไปมองคิรินที่อยู่ในรถ พร้อมทั้งโบกมือให้เขา “ฉันกลับแล้วนะ”
เขาเชิดปลายคางอันละอ่อนขึ้น จู่ๆ ก็เอื้อมมือเอานามบัตรใบหนึ่งยัดใส่กระเป๋าเธอไป “ไปเถอะ คิดถึงผมก็อย่าลืมโทรศัพท์หาผมนะครับ”
ญาธิดายิ้มให้ แต่ไม่ได้พูดว่าอะไร พร้อมทั้งก้าวเท้าเดินไปยังรถยนต์ของตนเอง
เมื่อกลับมาถึงรถยนต์ของตนเอง เธอถลำลึกสู่ความคิดของตนเองอย่างไม่รู้ตัว
การเกิดข้อดีข้อเสียในสถานการณ์นั้น คิรินจู่ๆ ก็พูดประโยคนั้นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ตรงไปตรงมาจริงๆ และก็นำพาความนึกคิดให้เธออีกมากมายในเวลาเดียวกัน
การที่เธอไม่สามารถยอมรับธีทัตมาโดยตลอด นั่นเป็นเพราะว่าตำแหน่งคนที่อยู่ในหัวใจของเธอมีคนอื่นอยู่แทน ส่วนคนอื่นที่ว่านั้น ก็คือภวินท์อย่างไม่ต้องสงสัยสักนิด
ซึ่งมันคือความจริงภายใต้จิตใต้สำนึก จู่ๆ ญาธิดาก็ไม่วิธีในการยอมรับสภาพนี้ไว้
เธอจะไปรักภวินท์มาตั้งห้าปีได้ยังไงกัน? แต่ความเหน็ดเหนื่อยกับความเหนื่อยล้าห้าปีนี้ ความยากลำบากและความเจ็บปวดในการที่เลี้ยงดูลูกอยู่คนเดียว ทุกอย่างมันเป็นเพราะว่าเขาสรรค์สร้างขึ้น แต่ทำไม สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อเธอ ทำให้เธอยังหวนรำลึกถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกนะ?
ทุกคำถามราวกับก้อนกลมๆ ที่พันกันอีนุงตุงนัง หาจุดจบไม่เจอ และไม่มีเส้นไหนที่จะแยกแยะออกจากกัน
ทว่าไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้ ก็คือการค่อยๆ ลืมเลือนผู้ชายคนนั้นไปสักที และยอมรับผู้ชายที่ดีกับเธออย่างแท้จริง
เธอขับรถยนต์กลับมาถึงแกรนด์ บูเลอวาร์ด และจัดการจอดรถในลานเรียบร้อยแล้ว จึงเดินเข้าบ้านทันที
ในห้องรับแขกไม่มีคนอยู่สักคน ญาธิดาเดินขึ้นชั้นสองทันที
เวลานี้ อีธานกับเอลล่าน่าจะนอนกลางวันกันอยู่
เธอค่อยๆ เดินไปยังห้องเล็กๆ ของพวกเขา เมื่อเห็นว่าประตูไม่ได้ปิด จึงค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป
ธีทัตนั่งอยู่ข้างเตียง และกำลังใช้เสียงแผ่วเบาเล่านิทานให้อีธานกับเอลล่าฟัง
เขามีความอดทนมากพอ และอ่อนโยนมาก ซึ่งเหมือนพ่อบังเกิดเกล้าคนหนึ่ง
ญาธิดายืนมองอยู่นานที่ตรงประตู ห้องหัวใจถึงกลับอ่อนยวบยาบอย่างไม่รู้ตัว
ผู้ชายแบบนี้ เพียงพอสำหรับเธอแล้ว ดีมากพอสำหรับลูกๆ ของเธอแล้ว แล้วเธอมีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธเขาด้วย?
ญาธิดาครุ่นคิด จนรู้สึกปวดใจ อารมณ์สับสนจนพูดไม่ออก
เธอปิดบานประตูอย่างแผ่วเบา ตอนแรกคิดว่าให้สงบสติอารมณ์ลงได้ก่อนค่อยออกไป แต่ไม่คิดเลยว่า จู่ๆ บานประตูก็ถูกคนที่อยู่ด้านในผลักออก
ธีทัตก้าวเท้าเดินออกมา เมื่อเห็นญาธิดายืนอยู่นอกประตูนั้น ก็เกิดอาการตกใจเล็กน้อย “ธิดา”
ญาธิดาเม้มริมฝีปากล่าง และไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ใครจะรู้ว่าธีทัตเป็นคนเดินเข้ามาหาเธอ พร้อมทั้งเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ธิดา เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว ผมใจร้อนมากเกินไป…”
เมื่อได้ยินเขาพูดออกมาแบบนี้ ความละอายใจในก้นบึ้งหัวใจของญาธิดายิ่งถาโถมหนักขึ้นกว่าเดิม กล่องดวงใจเธอหวั่นไหว และก้าวเดินไปทางด้านหน้า และอ้าแขนกอดเข้าทันที “ทัตคะ อย่าพูดถึงเลย”
ธีทัตยืนตะลึงอยู่ที่เดิม ซึ่งไม่คิดเลยว่าจู่ๆ เธอจะทำแบบนี้ หลังจากนั้นชั่วครู่ เขาถึงได้ดึงสติกลับมา พร้อมทั้งชูมือขึ้นลูบแผ่นหลังเธอแผ่วเบา “ธิดา…”
“ทัต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะลองยอมรับคุณดู คุณให้เวลาฉันสักหน่อยนะ”
ธีทัตได้ยิน ทั้งตกใจและยินดี “ธิดา ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย? คุณ…”
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นครั้งที่แล้ว เขาก็ตั้งใจว่าหลายวันนี้จะไม่มาหาญาธิดา เพื่อให้ตนเองได้สงบจิตสงบใจบ้าง หลังจากนั้น เขาก็รับรู้ถึง การไม่มีเธอ ชีวิตของเขาก็เหมือนไม่มีสีสันเลย
ซึ่งไม่คิดว่า เมื่อเขากลับมาอีกครั้ง ญาธิดากลับยินยอมที่จะลองคบหากับเขา
เรื่องนี้สำหรับเขาแล้ว เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“ธิดา ผมยินยอมที่จะรอครับ”
ตราบใดที่เขามองเห็นความหวัง ไม่ว่าจะผ่านไปอีกห้าปีก็ตาม เขาก็ยินยอม!