ดวงใจภวินท์ - บทที่ 399 อย่าใช้กลอุบายมาหลอกล่อ
บทที่ 399 อย่าใช้กลอุบายมาหลอกล่อ
ญาธิดาลังเลอยู่สักพัก พร้อมทั้งกัดฟัน จนก้าวฝีเท้า และเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย
เธอปิดบานประตูตาม และคอยมองแผ่นหลังอันกว้างใหญ่ของชายหนุ่ม พร้อมทั้งอ้าปากเรียกรั้งเขาเอาไว้ “ภวินท์ รอเดี๋ยวค่ะ”
ฝีเท้าภวินท์ชะงักเล็กน้อย พร้อมทั้งหันหน้ากลับมาเหลือบมองเธอ
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งเดินนำหน้าเพื่อพูดด้วย “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ขอบคุณค่ะ”
พอภวินท์ได้ยิน ดวงตาฉายแววตาหวั่นไหวเล็กน้อย เขาชะงักเล็กทันที แววตาปรากฏใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น พร้อมทั้งอ้าปากพูด “พูดจากใจจริงมั้ย?”
ญาธิดาชะงักเล็กน้อย พร้อมทั้งแหงนหน้าเหลือบมองเขา หลังจากนั้นหลายวินาทีก็พูดอย่างแผ่วเบา “อืม พูดจากใจจริงค่ะ”
สิ่งที่ทำให้เอลล่าสบายใจได้ เมื่อใช้สิทธิ์เรื่องนี้ เธอขอบคุณเขาอยู่มาก
บรรยากาศเงียบไปสักครู่ จู่ๆ ภวินท์ก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาย่างฝีเท้า มุ่งหน้ามาทางเธอ พร้อมทั้งใช้สายตาหลุบต่ำมองเธอ พร้อมทั้งเผยอริมฝีปากบางๆ เล็กน้อย และพูดจาด้วยเสียงเย็นชา “ถ้าทำให้เอลล่าอาการดีขึ้น งั้นคุณก็กำหนดจิตกำหนดใจให้ตั้งมั่นก็พอ”
หัวคิ้วญาธิดาขมวดเล็กน้อย ยังไม่ทันอ้าปากพูดทัน ก็ได้ยินภวินท์พูดต่อทันที “อย่างน้อย ก็ไม่ต้องอย่าใช้กลอุบายมาหลอกล่อ”
ประโยคนี้ เหมือนเสียงตบหน้า จนกระทบใบหน้าญาธิดาเข้าอย่างจริงจัง
เดิมทีเธอยังลังเลอยู่เพราะไม่เข้าใจ แต่หลังจากนั้นสองวินาที จึงเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาอย่างถ่องแท้
ครั้งที่แล้วที่เขาได้พบเจอเธอกับคิรินในภัตตาคารร้านอาหาร หลังจากนั้นเมื่อสองสามวันก่อนก็ได้เจอกันทางด้านนอกห้องกล้องวงจรปิด ธีทัตมาหาและอุ้มเธอขึ้น ที่แท้ ภวินท์คิดว่าเธอเหยียบเรือสองแคม!
ในใจญาธิดาเกิดความรู้สึกจุกอกอย่างไม่รู้ตัว พร้อมทั้งแหงนหน้ามองชายหนุ่มและหันหลังเพื่อเตรียมเดินหนี เธอโกรธ พร้อมทั้งก้าวฝีเท้าและวิ่งตามทันที
“ภวินท์!” ตอนที่เธอวิ่งตามไปนั้น ใบหน้าแดงเถือกจนลามไปถึงหูแล้ว “คุณวางใจเถอะ ฉันกับทัตยังมีความสัมพันธ์แนบแน่นมาก ไม่มีผู้ชายคนไหนที่สามารถเข้ามาแทรกกลางได้ อีธานกับเอลล่าจะเติบโตในครอบครัวนี้ เรื่องเหล่านี้ไม่มีความจำเป็นต้องให้คุณมาคอยเป็นห่วง”
ด้วยความโกรธเคือง เธอจึงพูดหลุดปากออกมาเช่นนี้ โดยที่ไม่รู้ว่าต้องการเรียกความบริสุทธิ์ให้ตนเอง หรือว่าต้องการระบายความโกรธออกไปก็เท่านั้นเอง
ภวินท์หลุบตาต่ำ พร้อมทั้งเหลือบมองหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้า พร้อมทั้งหรี่ตาลง จนพูดแกมอมยิ้ม “เหรอครับ? คุณมั่นใจกับความสัมพันธ์ของพวกคุณขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ญาธิดาตอบกลับอย่าไม่ลังเลสักนิด “มั่นใจมากค่ะ”
“งั้นเหรอครับ?”
ภวินท์ส่งเสียงพึมพำ จู่ๆ ก็ยื่นมือออกมา พร้อมทั้งคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ และดันเธอถอยหลังอย่างไม่สมัครใจ วินาทีต่อมา ร่างกายของเธอถูกตรึงติดกำแพง มือทั้งสองข้างถูกฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มตรึงไว้กับกำแพง
ญาธิดาตกใจจนหน้าซีดเผือด “คุณ…จะทำอะไร!”
ชายหนุ่มก้มหน้าลง พร้อมทั้งกระชับระยะห่างของทั้งสองคน ดวงตาจับจ้องเธอยังเอาเป็นเอาตาย โดยไม่มีการขยับเขยื้อน
การทำเช่นนี้มันเป็นท่าทางทำให้คนเข้าใจผิด บวกกับลมหายใจรดพ่นซึ่งกันและกัน บรรยากาศอันคลุมเครือที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที…
หัวใจญาธิดาตื่นเต้นโครมคราม เต้นระรัวเพิ่มมากขึ้น จนคล้ายว่าได้ยินเสียงหัวใจเต้นเข้าหู “ตึกตัก ตึกตัก” ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
จู่ๆ ชายหนุ่มยกริมฝีปาก จนดวงตาฉายรอยยิ้มออกมา และพูดคล้ายการหยอกเย้า “พูดอยู่ไม่ใช่เหรอว่าไม่สามารถมีคนอื่นเข้ามาแทรกกลางได้แล้วอะ? แต่ว่าทำไมตอนนี้คุณหัวใจเต้นแรงมากญาธิดา ในใจของคุณคงยังมีผมอยู่ใช่มั้ย?”
คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้สีหน้าของญาธิดาเปลี่ยนไปชั่วพริบตา เธอตะลึง สีหน้าซีดลงเล็กน้อย พร้อมทั้งอ้าปาก แต่กลับไร้เสียงใดๆ เปล่งออกมาจากลำคอ
ภวินท์หัวเราะเสียงเย็นชาออกมา พร้อมทั้งพูดเน้นย้ำทุกถ้อยคำ “มีบางคำนะอย่ามั่นใจเกินควร ผมอยากจะบอกกับคุณ มันก็มีวิธีที่สามารถหักหน้าคุณได้นะครับ”
เขาพูดจบ พร้อมทั้งเงยศีรษะเล็กน้อย ปลายคางแตะปลายจมูกของเธอ วินาทีนั้น ญาธิดารู้สึกว่าร่างกายของตนเองร้อนผ่าว
แต่วินาทีต่อมา จู่ๆ ตรงข้อมือที่ถูกเกาะกุมก็ค่อยๆ ผ่อนแรงลง ภวินท์หันหลังกลับ และเดินก้าวออกไป แผ่นหลังตรงสง่างาม
ส่วนญาธิดานั้น ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม และเวลาผ่านพ้นไปยาวนานก็ยังไม่สามารถเรียกสติกลับมา
คำพูดคำจาและพฤติกรรมของชายหนุ่มเมื่อครู่นี้ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเสพติดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว และยับยั้งชั่งใจไม่ได้
ซึ่งไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เธอถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองทันควัน และรีบตบหน้าของตนเองทันที เพื่อเรียกสติ!
เธอไม่สนใจว่าภวินท์จะมีวิธีทางอะไร อย่างไรเธอก็ต้องยับยั้งตนเองให้ได้ และไม่มีวันตกหลุมพรางของเขาเป็นอันขาด
เมื่อกลับมาถึงห้องพัก เอลล่านอนหลับสนิทไปแล้ว
ญาธิดาแอบถอนหายใจโล่งอก และนั่งลงบนเก้าอี้ในห้อง พร้อมทั้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และเปิดดูไปเรื่อยเปื่อย
สองสามวันมานี้ แม้ว่าเธอจะดูแลเอลล่าอยู่ในห้องพักผู้ป่วยมาโดยตลอด แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังไม่ลืมเรื่องที่ต้องตรวจสอบ
ซึ่งในวันนี้ คนร้ายยังไม่สามารถชี้ตัวได้ เธอย่อมไม่สามารถสงบจิตสงบใจลงได้ ถ้าถึงเวลานั้นพวกเขาลงมืออีธานกับเอลล่าอีกครั้ง แค่กลัวว่าจะป้องกันได้ยากกว่าเดิม
ญาธิดาทำได้แค่คิดง่ายๆ เช่นนี้ จู่ๆ ก็เกิดสันหลังเย็นวาบขึ้นมา เธอกัดฟันแน่น พร้อมทั้งลุกขึ้นเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย และกดโทรศัพท์ออกทันที
ไม่นานนัก ทางนั้นก็กดรับสาย ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งเอ่ยปากสอบถาม “ฮัลโหล? ทัตคะ เรื่องชยิน ตรวจสอบไปถึงไหนแล้ว?”
“อื้อ เพิ่งได้รับการยืนยันมาเมื่อกี้เอง เรือนจำทางนั้นแจ้งมาแล้ว เนื่องจากเขาปฏิบัติตัวดีตอนอยู่ในคุก บวกกับมีคนมาประกันตัว ก็เลยได้รับการปล่อยตัวก่อนเวลากำหนดครับ”
จู่ๆ มือของญาธิดากำโทรศัพท์แน่นกว่าเดิม “อะไรนะ?”
แม้ว่าเธอสงสัยมาตลอดว่าเรย์คนนั้นก็คือ ชยิน แต่เมื่อเรื่องมันได้รับการยืนยันเป็นขั้นเป็นตอนแบบนี้แล้ว เธอไร้ความสามารถในการยอมรับสิ่งเหล่านี้
เรื่องมันผ่านมาห้าปีแล้ว ถึงแม้ว่าระหว่างพวกเขาจะมีความบาดหมางอันใหญ่หลวง ก็ควรลดหย่อนลงบ้างถึงจะถูกสิ แต่พอชยินออกจากคุก ก็ลงมือกับเอลล่าทันที บุคคลที่เป็นตัวอันตรายเช่นนี้ เธอไม่กล้าจะจินตนาการมากจริงๆ
หรือว่า เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้นิวราเป็นคนบงการงั้นเหรอ?
ร่างกายญาธิดาสั่นเทา พร้อมทั้งรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
เวลานั้นเอง มีเสียงธีทัตดังอยู่ปลายสาย “ผมรู้สึกว่า คนที่อยู่ในรูปใบนั้น น่าจะเป็นชยิน”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพยายามสงบจิตสงบใจอารมณ์ให้มั่นคง หลังจากนั้นหลายวินาที ถึงได้เอ่ยปากถามทันที “มีวิธีจับตัวเขามั้ย?”
“ผมส่งคนไปตรวจสอบแล้ว”
แม้ว่าจะพูดแบบนี้ออกไป แต่ญาธิดาก็ยังไม่สบายใจ ธีทัตที่อยู่อีกฝั่งก็จับสัมผัสได้ทุกอย่าง จึงพูดต่อทันที “ธิดาอย่ากลัวเลย ตอนนี้ผมกำลังไปหาคุณที่โรงพยาบาล เราค่อยคุยตอนเจอกันนะครับ”
ญาธิดาตอบรับ “ตกลงค่ะ”
ธีทัตกดโทรศัพท์วางสาย จึงค้นพบว่าฝ่ามือของตนเองนั้นมีเหงื่อผุดออกมาเป็นชั้นๆ โดยไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงแล้ว ธีทัตก็มาถึงโรงพยาบาล พร้อมทั้งบอกสถานการณ์ตามความจริงกับญาธิดา
ที่แท้ ชยินออกมาจากคุกแล้ว ซึ่งแค่ไม่กี่วันนี้เอง
ซึ่งเมื่อเอามาเปรียบเทียบกับร่องรอยทุกอย่างนี้แล้ว ชยินตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุดจริงๆ
ญาธิดากัดฟัน มือทั้งสองข้างกำแน่น จนรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย
จู่ๆ ธีทัตก็เอื้อมมือขึ้น พร้อมทั้งโอบไหล่ของเธอเอาไว้ “อย่ากลัวไปเลย มีผมอยู่ทั้งคน”
ญาธิดาพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร
“อ้อใช่สิ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หลังจากนี้อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานเลี้ยงของคุณย่าตระกูลสถิรานนท์ วันนี้บัตรเชิญส่งมาถึงบริษัท โดยเชื้อเชิญให้เราสองคนไปงาน ถ้าคุณไม่อยากไป ผมก็จะให้ผู้ช่วยบอกปัดไปทันที”
พอญาธิดาได้ยิน สีหน้าก็หม่นหมองทันที จู่ๆ ในหัวสมองก็ฉายใบหน้าที่เป็นมิตรขึ้นมาทันที
เมื่อหวนคิดกลับไป เธอไม่ได้เจอคุณย่ามาห้าปีกว่าแล้ว และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้คุณย่าร่างกายเป็นยังไงบ้างแล้ว
เมื่อธีทัตมองเห็นอาการลังเลของญาธิดา จึงเอ่ยปากสอบถามอย่างทะนุถนอม “คุณอยากไปใช่มั้ย?”
ญาธิดาครุ่นคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างอดใจไม่ไหว พร้อมทั้งกระซิบเสียงแผ่วเบา “ไปค่ะ”
ก่อนหน้านี้คุณย่าได้ปฏิบัติกับฉันเป็นหลานสาวแท้ๆ คนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เธออยู่ในเมือง J ก็ควรจะหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนท่านบ้าง
จู่ๆ ในห้องพักผู้ป่วยก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา หัวใจของญาธิดารัดแน่น พร้อมทั้งพุ่งเข้าไปหาทันที
เมื่อผลักประตูเข้าไป ก็เห็นเอลล่ากำลังกรีดร้องกู่ก้องอยู่บนเตียง ซึ่งแสดงให้เห็นเต็มตาว่ามีอาการฝันร้าย เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปหาทันที พร้อมทั้งยื่นมือออกไปกอดเธอเข้าไว้
“เอลล่าเป็นอะไรไปคะ? ฝันร้ายใช่มั้ยลูก?”
“แม่อยู่นี่ลูก อย่ากลัวอย่ากลัวนะ…”
“เด็กดี อย่ากลัวนะคะ…:
“……”
เธอคอยพูดปลอบโยนเอลล่าอยู่ตลอด ผ่านไปสักพัก เอลล่าถึงได้สงบสติอารมณ์ลงได้ และผล็อยหลับต่อ
จากเหตุการณ์นี้ ระยะสองสามวันนี้เกิดอาการแบบนี้ขึ้นมาอยู่หลายครั้ง
ทุกครั้งที่เห็นเอลล่าฝันร้ายแล้วร้องไห้ฟูมฟายพร้อมทั้งแหกปากตะโกนลั่น หัวใจของญาธิดาแหลกเหลวเป็นชิ้นๆ