ดวงใจภวินท์ - บทที่ 413 ขี่ม้าเขตชานเมือง
บทที่ 413 ขี่ม้าเขตชานเมือง
เกล้าแก้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แววตาฉายความสงสัยออกมาเล็กน้อย แต่ยังพยักหน้า พลันกล่าวรายงานทันที “จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“อืม ทำได้ดีมาก”
ภูผายื่นมือออกไป พลางโอบรั้งเอวคอดกิ่วของหญิงสาวเอาไว้ทันที จากนั้นก็ก้มศีรษะสูดดมกลิ่นมะลิจางๆ ที่ศีรษะของเธอ บริเวณหัวคิ้วดูอ่อนโยนขึ้นมาก
เกล้าแก้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนอดเอ่ยถามไม่ได้ “คุณภูผาคะ ทำไมคุณถึงให้ฉันทำแบบนั้นล่ะคะ?”
เธอไม่เข้าใจ เมื่อห้าปีก่อนก็แบบนี้ วันนี้ก็ทำแบบนี้อีก ทุกครั้งที่ภูผาให้เธอทำเรื่องเหล่านี้ตอนที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับภวินท์และญาธิดานั้น เธอจับต้นชนปลายไม่ถูกจริงๆ
บางครั้งก็เหมือนเป็นการช่วยเหลือ บ้างก็เหมือนเป็นการสร้างปัญหา ดังนั้นเธอที่ไม่รู้เรื่องตกลงว่าภูผากำลังแสดงละครที่รับบทบาทแบบไหนอยู่ในเกมนี้
จู่ๆ มือชายหนุ่มที่อยู่บริเวณของเอวของหญิงสาวมีอาการเกร็ง พริบตาเดียว เขาก็พูดโดยไร้ความรู้สึกทางสีหน้า “คุณพยาบาลครับ สักวันหนึ่งคุณจะเข้าใจเองครับ”
คำพูดแบบเดิมอีกแล้ว
เกล้าแก้วอึ้งทันที แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ
ตลอดห้าปีนี้ เธออยู่ข้างกายภูผามาโดยตลอด ซึ่งอยู่ในสถานะที่ไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัด ทั้งสองคนสนิทกันมาก เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งครู เป็นทั้งคนรักเป็นเหมือนญาติมิตร แต่ระหว่างพวกเขานั้นมันมีกระดาษบางๆ ที่คอยขวางกั้นเอาไว้อีกชั้นอยู่เสมอ
ลักษณะคล้ายว่าใครกระเถิบเพิ่มอีกก้าว ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นทุกอย่างจะกลับสภาพแบบเดิมไปโดยปริยาย
ดังนั้น เธอจึงเรียกเขาว่า “คุณภูผา” มาโดยตลอด ซึ่งเขาก็ยังเรียกเธอว่า “คุณพยาบาล” เหมือนเดิมเช่นกัน ซึ่งเฉกเช่นกับเมื่อห้าปีก่อนทุกอย่าง
ทว่า เธอปฏิบัติต่อเขา ซึ่งมีความหวั่นไหวจริงๆ ดังนั้น ทุกครั้งที่เขาให้เธอไปทำเรื่องบางอย่างนั้น เธอก็ไร้วิธีปฏิเสธ ทำได้แต่ก้มหน้าทำให้
ซึ่งในเวลานี้ สิ่งที่เธอทำลงไปทุกอย่าง ตราบใดที่ไม่ได้ไปทำร้ายญาธิดาเพื่อนเก่าด้วยกันของเธอ เธอเต็มใจที่จะทำเพื่อภูผา
หลายวันจากนั้น ญาธิดาใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวน หลังจากผ่านเรื่องการพิสูจน์DNAมาแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นธีทัตก็รีบบึ่งกลับมาจากต่างจังหวัดทันที เมื่อเข้าใจในสถานการณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคอยอยู่ข้างกายเธอและเจ้าเด็กน้อย กินอยู่ด้วยกัน โดยไม่ละไปจากไหนแม้เพียงก้าวเดียว
หลายวันที่ผ่านมา ภวินท์ก็ไม่ได้ติดต่อพวกเขาเลย และไม่ได้มาหาพวกเขา ราวกับทุกอย่างกลับไปยืนอยู่จุดเดิม วันเวลาค่อยๆ กลับคืนสู่ความปกติดังเดิม
“คุณแม่ อาทิตย์หน้าก็ต้องกลับไปทำงานแล้วใช่มั้ยครับ?”
หลังจากทั้งครอบครัวกินข้าวเสร็จแล้ว พวกเขาก็นั่งดูโทรศัพท์อยู่บนโซฟา อีธานหันหน้ามาด้วยความรู้สึกน่าเบื่อมาก โดยที่นิ้วก็ยังเล่นผมของญาธิดาอยู่ และเอ่ยปากสอบถาม
ญาธิดาพยักหน้า และจิ้มลงบนปลายจมูกของเขาอย่างแผ่วเบา พลางพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู “ใช่จ้ะ ยังมีถ่ายรูปอีกเซทที่ยังถ่ายไม่เสร็จเลยนะ ถึงเวลานั้นก็คงต้องใช้เวลาสองวันติด คงยุ่งมากๆ เลยแหละ”
เซทถ่ายรูปครั้งที่แล้วเป็นรูปสุดท้ายภาพสัตว์ป่ากับงูเหลือมเป็นเพราะเอลล่าโดนงูกัดจนกรีดร้องเลยหยุดถ่ายทำ เธอพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมาสักระยะ กองถ่ายก็ได้เปลี่ยนสัตว์ล็อตสุดท้ายเป็นฟลามิงโกแทน พอเอลล่าออกจากโรงพยาบาล การถ่ายภาพย่อมต้องดำเนินการต่อ
แต่ว่า เป็นเพียงการถ่ายรูปเซทเดียวเท่านั้นเอง อย่างมากที่สุดก็ใช้เวลาสองวันก็จบสิ้นแล้ว ญาธิดาก็คิดว่าพยายามถ่ายให้เสร็จไวๆ จะได้พาพวกเขาไปจากเมืองJสักที
ระยะนี้ เพราะว่าเกิดเรื่องขึ้นอย่างอลหม่าน พวกเขาเสียเวลามากเกินควรแล้ว
ญาธิดาหันศีรษะมา พลันมองเอลล่าทางด้านข้าง ปัดผมของเธออย่างแผ่วเบา พลันเอ่ยปากถาม “เอลล่าคะ อาทิตย์หน้าจะถ่ายต่อแล้วนะ หนูไหวไหมคะ?”
ตอนออกจากโรงพยาบาลเธอตั้งใจพาไปหาหมอเจ้าของคนไข้เพื่อสอบถามการรักษา เพราะว่าเอลล่าอายุยังน้อย การได้ประสบพบเจอกับเรื่องเหล่านี้อาจจะหลงเหลือสภาพจิตใจอันย่ำแย่ ดังนั้นเธอไม่เต็มใจจะบังคับให้เธอไปทำเรื่องที่ตนเองไม่ชื่นชอบ ทุกอย่างก็ต้องให้ลูกเป็นคนยินยอมพร้อมใจถึงจะถูก
ใครจะรู้ว่า เอลล่าทำตัวเฉกเช่นคนที่ไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน ที่กำลังนั่งแทะแอปเปิล ตาก็จับจ้องอยู่ที่โทรทัศน์ตาไม่กะพริบ ปากก็พูดไม่ชัด “หนูไหวค่ะ…นอนโรงพยาบาลมันน่าเบื่อจะแย่ หนูอยาก “เสกเงินมาไวๆ” ”
พอได้ยินคำฮิตติดปากมาจากอินเทอร์เน็ตออกจากปากของเธอ ญาธิดาอดหัวเราะไม่ได้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ต้องเป็นเพราะว่าอันอันพาเสียคนอย่างแน่นอน
เธอหัวเราะร่า พลันลูบไล้ศีรษะเจ้าตัวน้อยทันที พลันช้อนตาเหลือบมองธีทัตทางด้านข้าง
ธีทัตกำลังหัวเราะตอนมองพวกเขา สายตาอบอุ่นเหลือเกิน
“ธิดา อาศัยว่าอาทิตย์นี้ทุกคนว่างพอดี เราไปเที่ยวแถบชานเมืองเป็นไง?”
พอญาธิดาได้ยิน ถึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าหลายวันก่อนหน้านี้เธอได้ตกปากรับคำกับธีทัตเอาไว้ว่าจะไปกับเขา เรื่องที่จะพาเจ้าตัวน้อยสองคนนี้ไปเที่ยวแถบชานเมือง
“ตกลงค่ะ แถบชานเมืองมีอะไรให้เที่ยวหรือคะ?”
“แถวนั้นเพิ่งจะเปิดฟาร์มม้า เราไปดูกัน ดีมั้ยครับ?”
เมื่อญาธิดาได้ยิน จู่ๆ ก็ฉุกคิดถึงตอนที่เธอกับธีทัตเคยไปฟาร์มม้าตอนที่อยู่ต่างประเทศได้ขึ้นมา ภายใต้การกำกับม้าของเขาเทคนิคการขี่ม้าของเธอไม่ถือว่าเก่งฉกาจนัก แต่เรื่องการขี่ม้าเดินทำนองนี้ถือว่าไม่มีปัญหาอะไร
“ตกลงค่ะ”
ประจวบเหมาะก็การไม่ได้ขี่ม้ามานานแล้ว ก่อนหน้าเจ้าเด็กสองคนยังเคยเรียนขี่ม้ามา แถมยังสนใจมากด้วย สู้ฉวยจังหวะนี้ไปผ่อนคลายสักหน่อย
เมื่อเห็นว่าญาธิดาตอบตกลงแล้ว นัยน์ตาธีทัตก็คลี่ยิ้มมากขึ้น พลันตอบเสียงแผ่วเบา “ตกลงครับ งั้นขอจองล่วงหน้าไว้เลยนะ”
ซึ่งในเวลานี้เขาทำงานหนักมากว่าขึ้น เวลาที่จะมาอยู่กับพวกเขาก็ยิ่งน้อยลงเต็มที โอกาสเช่นนี้ ถือว่ายากมากจริงๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงวันหยุด
เช้าตรู่ ธีทัตได้จัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ครบครัน พร้อมทั้งพาญาธิดาอีธานเอลล่ามุ่งหน้าไปยังฟาร์มม้าที่อยู่เขตชานเมือง
ที่นี่เป็นฟาร์มม้าที่หรูหรามีระดับที่เพิ่งเปิดใหม่ของเมืองJ เมื่อสามปีก่อน ซึ่งที่นี่จะมีแต่ลูกค้าผู้ทรงอิทธิพลที่มีอำนาจและบารมีทั้งนั้น ธีทัตพาพวกเขาไปยังเขตใส่อุปกรณ์ป้องกัน จนพบเจอกับผู้คนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ไม่น้อย
พอได้พบเจอคนรู้จักกัน ก็ย่อมกล่าวทักทายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากยิ่ง บางคนพอพูดได้ก็พูดไม่หยุด จนเสียเวลาไปสิบกว่านาทีอย่างไม่รู้ตัว
ทั้งสองคนยืนอยู่ทางด้านข้าง พอได้ยินบทสนทนาที่แสนน่าเบื่อ ก็หมดสนุก พลันขยี้ตาแสดงอาการง่วงเหงาหาวนอนทันที ญาธิดาหมดวิธี จึงทำได้แต่บอกกล่าวกับธีทัต และพาตัวเจ้าตัวน้อยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
จุดเปลี่ยนเสื้อผ้าแยกชายหญิง แต่อีธานแค่คนเดียว ญาธิดาก็ไม่วางใจ จึงได้แจ้งกับพนักงานถึงเหตุผล และพาเขาเข้าไปในห้องสตรี
เขาหยิบชุดขี่ม้าของอีธานเอลล่าออกมา โดยเพิ่งเปลี่ยนชุดให้เอลล่าเสร็จ และกำลังใส่เสื้อให้อีธาน จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังมาทางด้านข้าง
มีผู้หญิงคนหนึ่งตกใจจนหน้าซีดเผือด พร้อมทั้งใช้สายตามองมาทางนี้ราวกับมองสัตว์ประหลาด “นี่…เด็กผู้ชายคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!”
ญาธิดาหัวใจบีบรัดแน่น พลางลุกขึ้นทันควัน พร้อมทั้งมองผู้หญิงคนนั้น และโค้งตัวให้เธอ พร้อมทั้งกล่าวขอโทษทันที “ขอโทษค่ะ ลูกชายฉันเพิ่งจะสี่ห้าขวบเอง เขาแค่เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวจะรีบออกไปแล้วค่ะ”
พอผู้หญิงคนนั้นได้ยินดังนั้นแล้ว พลันถลึงตาโตใส่ทันที พร้อมทั้งแสดงท่าทางพูดมะนาวไม่มีน้ำ “พูดได้ไงว่าเด็กสี่ห้าขวบ! ตอนนี้เด็กผู้ชายสี่ห้าขวบรู้อะไรหมดแล้วใช่มั้ยล่ะ? คุณรีบเอาตัวเขาออกไปเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นฉันจะตะโกนเรียกพนักงานเข้ามา!”
ญาธิดาขมวดคิ้ว และไม่คิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
บุคคลที่เข้ามาที่นี่โดยส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลมีหน้ามีตาทั้งนั้น ร่ำรวยมั่งคั่งเป็นผู้รากมากดี แต่ผู้หญิงคนนี้กลับมีแต่กลิ่นอายความหยาบคายไปทั่วตัว จนทำให้คนรู้สึกอึดอัดขึ้นมาจริงๆ
เธอสูดลมหายใจเข้าๆ ลึกๆ พร้อมทั้งก้มศีรษะลงเหลือบมองอีธานผู้บริสุทธิ์ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาอยู่ในใจอยู่บ้าง เธอหันศีรษะไปมองผู้หญิงคนนั้น พลันถอยหลังพูด “ฉันขอติดกระดุมเสื้อให้เขาก่อนแล้วจะพาเขาออกไปค่ะ”
“ยังจะติดกระดุมอะไรอีกล่ะ!” ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้าหาโดยความโกรธเคือง พร้อมทั้งถลึงตาจ้องมองเธอ “อยากให้ฉันเรียกรปภ.มาใช่มั้ย? รีบออกไป ข้างในยังมีคนอาบน้ำอยู่มั้ย? ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักนิดเลย!”
ในฐานะคนเป็นแม่ ลูกก็คือจุดอ่อนของแม่ และเป็นที่มาพละกำลังของแม่เช่นเดียวกัน พอญาธิดาได้ยินคำพูดเชือดเฉือนไม่ไว้หน้าของผู้หญิงคนนั้น พลันย่นหัวคิ้วหากันอย่างไม่รู้ตัว
อีธานดึงชายเสื้อของเธอ พลันกระซิบถามทันที “คุณแม่ครับ ผมทำผิดอะไรรึเปล่า?”
หัวใจญาธิดาอ่อนยวบยาบทันที เธอก้มหน้ามองเจ้าตัวน้อยแวบหนึ่ง พลันยื่นมือออกมาลูบศีรษะของเขา พร้อมทั้งพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เปล่าครับ ลูกไม่ได้ทำอะไรผิดครับ”