ดวงใจภวินท์ - บทที่ 416 ไม่กล่าวโทษคุณจริงๆ
บทที่ 416 ไม่กล่าวโทษคุณจริงๆ
การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ขึ้นในสนามม้า ถือว่าเป็นอุบัติเหตุใหญ่หลวง
ผู้จัดการที่มีหน้าที่รับผิดชอบสนามม้าพอได้ยินข่าวก็รุดมาถึงที่ทันที ญาธิดากับภวินท์ถูกส่งเข้าห้องทันที เพื่อดำเนินการตรวจร่างกายอย่างเร่งด่วน
เพราะว่าเป็นสนามม้าระดับไฮเอ็นด์ ดังนั้นจึงมีอุปกรณ์ทุกอย่างครบครันมาก รวมถึงมีนายแพทย์ชั้นเลิศอีกด้วย
หลังจากที่คุณหมอได้ตรวจเช็กญาธิดาอย่างง่ายดาย ก็ได้จัดการทำความสะอาดบาดแผลบนตัวของเธอ และให้ยาทาเอาไว้จากนั้นก็เดินออกไป
คุณหมอเพิ่งเดินไปถึงประตู ธีทัตกับอีธานเอลล่าที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็พุ่งเข้ามาหาอย่างทนรอไม่ไหว
“คุณแม่!”
เด็กน้อยทั้งสองคนน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาแดงก่ำ ราวกับผีเสื้อน้อยๆ สองตัวกระพือปีกกระโจนมาอยู่ข้างเตียงพลันแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างเต็มเปี่ยม
“คุณแม่ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ?”
“ขอหนูดูหน่อยนะคะว่าตรงไหนได้รับบาดเจ็บมาบ้าง…”
ญาธิดารู้สึกอบอุ่นใจ พลันเอื้อมมือออกมาลูบศีรษะพวกเขาอย่างแผ่วเบา พลันกระซิบพูด “ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ แม่ไม่เป็นไรนะ”
เธอไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากนักจริงๆ ตอนที่ตกลงมาจากหลังม้าในเวลานั้น ภวินท์กอดเธอไว้แน่น และดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
นอกจากแผลถลอกภายนอกเหล่านี้แล้ว กระดูกกระเดี้ยวบนตัวเธอก็ไม่ได้หักและไม่ได้เคลื่อนแต่อย่างใด
เธอพูด พร้อมทั้งช้อนตาขึ้น พลันเหลือบมองสีหน้าของธีทัตที่มีแต่ความสงสัยที่อยู่ทางด้านข้าง จึงขยับปาก และกระซิบพูดกับเขา “ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ…”
มุมปากธีทัตเผยให้เห็นรอยยิ้มของความขมขื่นออกมาเล็กน้อย พลันก้มศีรษะเหลือบมองเจ้าตัวน้อยสองคน จากนั้นก็โน้มตัวลงเพื่อพูดเกลี้ยกล่อมเสียงแผ่วเบา “คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอหลังจากได้เจอคุณแม่แล้วจะเชื่อฟัง? งั้นเด็กๆ ไปที่ห้องรับแขก ให้พ่อได้พูดคุยอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ได้มั้ยครับ?”
อีธานกับเอลล่าสบตากัน พลันมองญาธิดาจนเกิดความรู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้าง สุดท้ายก็ยอมอ่อนข้อลง จากนั้นก็พยักหน้าแล้วก็จูงมือเดินออกไป
บานประตูปิดลง พริบตาเดียว ภายในห้องนอนก็เหลือแค่พวกเขาสองคน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ซึ่งเมื่อเอามาเปรียบเทียบกับเมื่อครู่แล้ว บรรยากาศกลับหม่นหมองเย็นเฉียบหนักลงกว่าเดิม
ธีทัตไม่ยอมพูดยอมจา แต่กลับนั่งข้างเตียงอย่างเงียบเชียบ หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ยื่นมือออกไป พลันเอามืออันอ่อนนุ่มของหญิงสาวกุมไว้ในอุ้งมืออย่างแผ่วเบา
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที…
เวลาล่วงเลยผ่านไปนาน สุดท้ายเขาก็เงยหน้าขึ้น ความอ่อนโยนบนใบหน้าที่แสดงต่อทุกคนตามวันปกติกลับหายไป แต่กลับมีความละอายใจเพิ่มมากขึ้น
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาแดงก่ำ เมื่ออ้าปากพูด เสียงก็เริ่มแหบพร่าเล็กน้อย
“ธิดา ขอโทษครับ ที่ผมดูแลคุณได้ไม่ดี”
สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น ซึ่งในตอนสุดท้ายคนที่เข้ามาช่วยเธอให้หลุดพ้นจากอันตราย กลับไม่ใช่เขา แต่เป็นภวินท์เสียนี่!
เมื่อเห็นลักษณะท่าทางเช่นนี้ของเขา จู่ๆ ความเชื่อมั่นของญาธิดาบีบรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งรีบพูดเกลี้ยกล่อมทันควัน “เรื่องนี้โทษคุณไม่ได้หรอกค่ะ…”
จู่ๆ ม้าสีขาวเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิดกันมาก่อน เธอเองก็ไม่ได้หาเหตุผลที่ไปกล่าวโทษเขา
เธอกัดฟันพูด พร้อมทั้งพูดอย่างร้อนใจ “ทัตคะ ฉันไม่ได้กล่าวโทษคุณจริงๆ ค่ะ…”
แต่ยิ่งเธอเป็นแบบนี้แล้ว ในใจธีทัตยิ่งละอายใจเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายแล้ว อารมณ์ของเขาค่อยๆ สงบลงมาเรื่อยๆ พลันแหงนหน้าเหลือบมองเธอ พร้อมทั้งพูดเสียงแผ่วเบา “คุณพักผ่อนเถอะครับ ถ้ามีอะไรที่ต้องการก็เรียกผมได้ทันที”
ธีทัตพยักหน้าเล็กน้อย และไม่ได้พูดออกมาสักครึ่งคำ เธอเหลือบมองธีทัตเดินออกไป ถึงได้ค่อยๆ เอนหลังนอนลงบนเตียง
ญาธิดาจ้องมองฝ้าเพดานที่อยู่เหนือศีรษะ เธอรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เหมือนกับกำลังฝันอยู่ ช่างกะทันหันและเหมือนอยู่ในห้วงความฝัน…
เธอหลับตาลง ฉับพลันจึงมีภาพต่างๆ นานาลอยอยู่เบื้องหน้าของเธอ ซึ่งก็เป็นวินาทีที่เธอตกมาจากหลังม้า
วินาทีนั้น หัวใจของเธอราวกับกระเด็นออกมาจากคอ แต่วินาทีต่อมา เธอก็ถูกกกกอดด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่นอ่อนโยน และไม่ได้รับอาการบาดเจ็บแม้แต่น้อย
หัวใจของเธอ “ตึกตัก!” “ตึกตัก!” เฉกเช่นวินาทีนั้น เต้นอย่างบ้างคลั่งจนกระแทกชนกับผนังแผงอก
แต่ว่า…ตอนนี้สภาพของเขาเป็นยังไงบ้างนะ?
เขากอดเธออยู่ในอ้อมกอด หลังจากตกจากหลังม้า ก็กลิ้งอยู่หลายตลบ เขาต้องได้รับบาดเจ็บมากกว่าเธอแน่!
เวลานั้น หัวใจทั้งดวงของญาธิดาถูกแขวนขึ้นมาทันที จนเกิดความรู้สึกไม่สบายมากขึ้นอยู่ในก้นบึ้งหัวใจ
เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก จึงควานหาโทรศัพท์ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเรียกความกล้าหาญกดโทรเบอร์นั้นออกไป ในที่สุด เธอกดหาเบอร์ของพายุ พลันกัดฟัน และกดโทรออก
ซึ่งทางนั้นกดรับสายทันที ซึ่งเป็นเสียงของพายุเป็นจำพวกเครื่องกลอันเย็นชาที่เป็นแบบนี้มาตลอดดังขึ้นมา “ฮัลโหลครับ?”
เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก จึงควานหาโทรศัพท์ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเรียกความกล้าหาญกดโทรเบอร์นั้นออกไป ในที่สุด เธอกดหาเบอร์ของพายุ พลันกัดฟัน และกดโทรออก
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งเรียกความกล้าหาญในการเอ่ยปากถาม “ภวินท์… ตอนนี้อาการของเขาเป็นยังไงบ้างคะ?”
ปลายสายชะงักเล็กน้อยจนเห็นได้ชัด พริบตาเดียว พลันมีเสียงเครื่องกลดังขึ้นอีกครั้ง “ท่านประธานอาการไม่ค่อยดีครับ”
ญาธิดาตกใจจนกรีดร้องเสียงหลง “อะไรนะ! เขาเป็นอะไร!”
พายุยืนอยู่หน้าประตู พลางเหล่ตามองผู้ชายที่กำลังได้รับการรักษาอยู่บนเตียง พลันหยุดชะงักและเอ่ยพูดอีกครั้ง “เกรงว่าไม่สะดวกจะเปิดเผยให้ทราบได้ครับ”
ญาธิดาร้อนใจขึ้นมาทันที พลันพลั้งปากพูดทันที “พายุ ตอนแรกฉันยังอยากเป็นคนกลางให้คุณกับอันอันคืนดีกันนะ แต่ไม่คิดเลยว่า…”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค พายุที่อยู่ปลายสายก็มีอาการใจสั่น พลันขยับฝีปาก และกระซิบพูดเสียงทุ้มต่ำ “ท่านประธานกระดูกหักครับ”
“อะไรนะ!” ญาธิดากรีดร้องด้วยความตกใจอีกครั้ง เธอลุกนั่งพรวดทันที “อาการบาดเจ็บหนักมั้ย?”
พายุมองไปทางเตียง และเหลือบมองคุณหมอสองคนที่ล้อมอยู่ทางด้านข้าง พลันพูดทันที “หนักมากครับ”
พอญาธิดาได้ยิน ก็รู้สึกนั่งอยู่ไม่สุขแล้ว
ซึ่งคาดไม่ถึงเลยว่า เพื่อช่วยเหลือเธอ ภวินท์ไม่เพียงแต่บาดเจ็บจนอาการหนักมาก แถมยังกระดูกหักอีก!
วินาทีนั้นเธออยู่ไม่ติดแล้ว แม้ว่าตัวคนจะไม่มีการขยับเขยื้อน แต่หัวใจทั้งดวงก็โบยบินไปตั้งนานแล้ว
“คุณญาธิดา คุณยังมีธุระอื่นอีกมั้ยครับ?”
พอญาธิดาได้ยิน จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งพูดกำชับพายุด้วยเสียงจริงจัง “ฉันก็แค่โทรมาถามอาการเท่านั้นค่ะ เรื่องที่ฉันโทรศัพท์หาคุณ จำไว้นะคะอย่าไปบอกกับภวินท์”
เธอพูดจบ ก็ตัดสายทันที และเก็บโทรศัพท์ลง พลางเอนตัวลงบนเตียง แต่ก็ไม่สบายใจ
เมื่อครู่ตอนที่ยังไม่รู้ว่าอาการเป็นไงบ้าง เธอก็แค่เป็นห่วงด้วยจิตใจบริสุทธิ์ แต่เวลานี้รู้อาการบาดเจ็บของภวินท์แล้ว เธอกลับไม่สบายใจหนักกว่าเก่า
ซึ่งในเวลาเดียวกัน ภายในห้องนอนของภวินท์
คุณหมอทั้งสองคนได้จัดการสิ่งสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ได้แจ้งข้อควรระวังทุกอย่างให้เขาแล้ว จึงออกมาจากห้อง เวลานั้น ภายในห้องเหลือแค่เขากับพายุอยู่สองคน
ดวงตาของชายหนุ่มสะลึมสะลือ สีหน้าแสดงความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง เขาหยุดนิ่ง จากนั้นก็หันมองมาทางพายุ พลันเอ่ยถาม “เมื่อกี้ใครโทรมา”
พายุชะงักเล็กน้อย จากนั้นพริบตาเดียว ก็เริ่มพูด “คุณญาธิดาครับ”
การที่ภวินท์สอบถามเช่นนี้ ก็หมายความว่าเขาน่าจะเดาได้แล้ว เช่นนั้นเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังต่อไป
พอภวินท์ได้ยิน พลันเลิกหัวคิ้วทันที มุมปากโค้งงอขึ้น “เธอพูดว่าไงบ้าง?”
“ถามถึงอาการคุณเป็นยังไงบ้าง” พายุชะงักเล็กน้อย พลันพูดต่อ “แถมยังไม่ให้ผมบอกคุณว่าเธอโทรมาด้วยครับ”
วินาทีนั้น นัยน์ตาภวินท์ฉายรอยยิ้มอันลึกซึ้งเพิ่มมากขึ้น
“ยัยผู้หญิงซื่อบื้อเอ๊ย”
เขาขยับริมฝีปาก พลันพลั้งปากพูดคำพวกนี้มา ราวกับเป็นการบ่นพึมพำกับตัวเอง
ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปหน้าไปหาพายุอีกครั้ง และเอ่ยปากถาม “ยังมีเรื่องอื่นอีกมั้ย?”
“ทางคุณนิว เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยครับ…”
ภวินท์ขมวดคิ้วแน่น “เธอเป็นอะไร?”
พายุกล่าวรายงานไปตามความจริงทุกกระเบียดนิ้ว “ได้ข่าวว่าตอนที่เธอเห็นคุณตกมาจากหลังม้าแล้ว ก็ตกใจจนเป็นลมล้มพับไปทันที จากนั้นก็ถูกส่งกลับมาที่ห้อง ไม่ทราบว่าตื่นหรือยังครับ”
สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งขรึมลงเล็กน้อย เมื่อได้ยินเขาพูดจาเช่นนี้ ริมฝีปากพลันเม้มเป็นเส้นขีด และไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อยู่นาน
ผ่านไปสักพักแล้ว เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งพูดกำชับเสียงเรียบเฉย “เดี๋ยวคุณออกไปดูหน่อยว่าเธอตื่นหรือยัง ถ้าเธอต้องการอะไร ก็ให้เธอไป”
โดยไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน ระยะห่างระหว่างเขากับนิวรานับวันยิ่งเหินห่างกันไปทุกที แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะเห็นเธอต้องมาน้อยอกน้อยใจ ซึ่งสิ่งที่เขาสามารถปฏิบัติต่อเธอได้ก็มีแค่พยายามชดใช้คืนให้อย่างเต็มที่
พายุส่งเสียงตอบรับ พลันหันหลังถอยออกไป
เวลานั้น ภายในห้องอันความเวิ้งว้างว่างเปล่าเหลือภวินท์อยู่คนเดียว
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้น และกดหาเบอร์โทรศัพท์ของญาธิดาอย่างไม่รู้ตัว หลังจากลังเลอยู่นาน นิ้วมือตัดสินใจไม่ได้จึงไม่ได้กดโทรออกไป
ในที่สุด เขาก็โยนโทรศัพท์ไปด้านข้าง พร้อมทั้งถอนหายใจยาวๆ
มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ ที่เขาเปลี่ยนเป็นคนไม่แน่ไม่นอนแบบนี้?