ดวงใจภวินท์ - บทที่ 423 ไม่ใช่เรื่องเอามาเปรียบเทียบ
บทที่ 423 ไม่ใช่เรื่องเอามาเปรียบเทียบ
เรื่องนิวรากรีดข้อมือ ไม่รู้ว่าข่าวลือไปถึงหูของตระกูลวรโชติได้ยังไงกัน
ชนัดพลพาคุณพิมและปริญ กระหืดกระหอบรีบบึ่งมายังโรงพยาบาลทันที เมื่อเห็นสภาพของนิวราแล้ว ก็เกิดอาการมีปากมีเสียงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตกับภวินท์กันยกใหญ่
แต่ไม้ซีกไม่สามารถงัดข้อกับไม้ซุงได้อยู่แล้ว ธุรกิจของบริษัทวรโชติพึ่งพาบารมี STN อยู่ ชนัดพลตำหนิติเตียนหมดยกแล้ว ก็สวมบทบาทพ่อตาอารมณ์ฟึดฟัด และแสดงท่าทางยกโทษให้อย่างตรงไปตรงมา
ก่อนจะกลับ เขายังเอ่ยถึงใบสั่งซื้อขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ ภวินท์ไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการโทรศัพท์หาที่บริษัท เพื่อจัดการเรื่องใบสั่งซื้อโอนตรงไปอยู่ที่บริษัทวรโชติ
จังหวะตอนขึ้นรถ ออกจากโรงพยาบาล พายุอดถามไม่ได้ “คุณภวินท์ ทั้งๆ ที่คุณรู้อยู่เต็มอกว่าทางชนัดพลทำเพื่ออะไร ทำไมถึงยังยอมตกปากรับคำจากเขาอีก โดยเอาใบสั่งซื้อนี้มอบให้บริษัทวรโชติ ซึ่งทางเราไม่ได้รับผลประโยชน์เลยสักนิด”
“ฉันรู้ดี”
ภวินท์นั่งอยู่เบาะด้านหลัง พลันหยิบแท็บเล็ตเพื่อดูทิศทางแนวโน้มตลาดหุ้น พลันพูดอย่างเฉยเมย “ที่เขามาครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อลูกสาวหรอก ถ้าไม่ได้ผลประโยชน์จากคนอื่น เขาไม่มีวันกลับแน่”
ชนัดพลให้ความสำคัญกับผู้สืบสกุลแต่ดูถูกลูกสาว ในสายตาเขานิวราก็เป็นเพียงบ่อเงินบ่อทองก็เท่านั้นเอง เขาก็ไม่ได้โง่ดักดานที่จะเอาเรื่องเสียหายในครอบครัวทุกอย่างเที่ยวโพนทะนาไปทั่ว
ติดอยู่แค่ สิ่งที่แปลกใจมากที่สุดคือ คนในตระกูลวรโชติรู้ได้ยังไงว่านิวรากรีดข้อมือ
เขาเข้าใจนิวราดี เรื่องพรรค์นี้เธอไม่ใช่คนเก่งกาจอะไรที่จะเอาไปโพนทะนาไปทั่ว และไม่บอกทางตระกูลวรโชติเองแน่ แต่ทางตระกูลวรโชติกลับรู้เรื่องนี้ ตอนที่พวกเขาตาลีตาเหลือกมาถึงนิวราก็ตกใจคล้ายว่าไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ
ทุกเรื่องมันติดขัดอยู่ตรงนี้ จนคิดไม่ออก
ทันใดนั้น พลันมีเสียงโทรศัพท์สั่นสองครั้ง หลุยส์ส่งข้อความมาหา “เตรียมของไว้เรียบร้อยแล้ว มาห้องเก็บไวน์ด้วย”
แววตาภวินท์หม่นหมองลง พลันออกคำสั่งให้พายุเลี้ยวรถกลับเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บไวน์ทันควัน
ซึ่งในเวลานี่เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของสิงโต ส่วนเรื่องของตระกูลวรโชติ ปล่อยให้พวกเขาก่อกวนต่อไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นทุกข์ร้อนอะไร
หลังจากนั้นหลายวันติดต่อกัน ญาธิดาก็ไม่ได้รับการแจ้งข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องการทำงานแต่อย่างใด
นอกจากไปโพสต์ถ่ายรูปอินดอร์คอลเลคชั่นใหม่ที่สตูดิโอของเจนนิเฟอร์แล้ว ที่เหลือเธอก็อยู่บ้านเป็นเพื่อนกับอีธาน เอลล่า
บ้างก็พาเจ้าเด็กน้อยสองคนไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ เธอดูเหมือนไม่มีอะไรให้ทำ
ท้ายที่สุด ตั้งแต่วันจันทร์ลากยาวมาถึงวันศุกร์ ในที่สุดเธอก็ได้รับสายจากคุณบิ๊ก
หลังจากรีบบึ่งมายังสตูดิแล้ว ผู้ช่วยก็รีบเชิญเธอไปยังห้องทำงานทันควัน
เมื่อเธอเดินมาถึงตรงประตูสตูดิโอนั้น เธอย่อมฉุกคิดตอนที่เธอมาที่นี่ขึ้นได้เมื่อครั้งที่แล้ว ที่ผลักประตูเข้าไปก็เห็นภวินท์อยู่ในห้อง จึงเกิดอาการตระหนกอยู่ในใจ
ผู้ช่วยเคาะบานประตู พลันผลักประตูเข้าไป ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งก้าวฝีเท้าเดินไปยังด้านหน้า พร้อมทั้งช้อนสายตามองทิศทางโต๊ะทำงาน เมื่อมองเห็นคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงานคือคุณบิ๊กซึ่งไม่ใช่ภวินท์นั้น หัวใจของเธอก็ไม่ได้ดีใจขนาดนั้นตามที่ได้จินตนาการเอาไว้
“ธิดามาแล้วเหรอ! มานี่เร็ว!”
ตอนที่คุณบิ๊กมองเห็นญาธิดา พลันลุกขึ้นและกวักมือให้เธอทันที
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งก้าวฝีเท้าเดินไปยังด้านหน้า พร้อมทั้งยิ้มให้เขา “สวัสดีค่ะคุณบิ๊ก”
คุณบิ๊กส่งสัญญาณให้เธอมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความตื่นเต้น “รีบดูเร็วนี่เป็นรูปอีธาน เอลล่าที่ผ่านพิจารณาเป็นครั้งสุดท้าย มีการปรับเรียบร้อยแล้ว!”
ญาธิดามองแวบเดียว บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดสิบหกนิ้วเป็นรูปในการถ่ายทำครั้งสุดแล้ว มองแค่แวบเดียว ญาธิดารู้สึกทึ่งทันที
ทุ่งหน้าสีเหลือง อีธานเอลล่ายื่นอยู่ระหว่างกลางของช้างทั้งสองเชือก พร้อมทั้งยิ้มจนมีความรู้สึกซึมซับตามอย่างที่สุด
ป่าเถื่อน มีชีวิตชีวา และสามัคคีกลมเกลียว
ญาธิดาพยักหน้าอย่าอดเสียไม่ได้ พลางคลิกเมาส์เพื่อดูรูปถัดไป และถัดไปเรื่อยๆ ….
จนดูภาพหมดอัลบั้ม เธอกลับแสบจมูกเล็กน้อย
เธอยอมรับตรงๆ ว่าเธอตื่นตระหนกกับรูปภาพประชาสัมพันธ์การกุศลเซทนี้ พร้อมทั้งซึมซับความรู้สึกตามไปด้วย
ราวกับรูปภาพเป็นภาพนิ่งที่ไม่สามารถพูดคุยได้ แต่กลับทำให้คนเรามีการต่อสู้กับความเงียบงันและการเรียกหา
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งพยักหน้า “ยอดเยี่ยมมากค่ะ”
คุณบิ๊กยิ้มพลันเอ่ยตอบ “แน่นอนครับ สไตล์รูปภาพกับรายละเอียดต่างๆ มีคุณภวินท์ตรวจสอบด้วยตนเอง สองสามวันที่ผ่านมานี้พวกเราต่างทำงานโอทีเพื่อแก้ไขฟิล์มกัน”
เมื่อญาธิดาได้ยิน หัวใจบีบรัดแน่นทันที
ซึ่งสองสามวันที่ผ่านมานี้ ภวินท์ไม่ได้โทรศัพท์หาเธอ หรือส่งข้อความหาเธอเลย เงียบกริบราวกับหายตัวไปเช่นนั้น ซึ่งทำให้เธอรู้สึกปรับตัวไม่ค่อยได้
เมื่อเธอรู้สึกหวั่นไหว จนโพล่งถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “คุณภวินท์ล่ะคะ? ช่วงนี้ไม่ได้มาเหรอคะ?”
คุณบิ๊กส่ายหน้า แถมยังพูดและยิ้มกึ่งล้อเล่นด้วย “ไม่มาครับ ผมได้ข่าวมาว่าช่วงนี้เขาอยู่บ้านเป็นเพื่อนภรรยาคนสวย ทั้งสองคนรักกันมากครับ แล้วยังจะมีกะจิตกะใจมาหาผมที่นี่ได้ยังไง”
เมื่อญาธิดาได้ยิน หัวใจบีบแน่น จนเกิดความรู้สึกเจ็บปวดตีขึ้นมาถึงขั้นหัวใจ
เธอฝืนยิ้มให้ แต่ไม่ได้พูดว่าอะไร จากนั้นก็พูดคุยกับคุณบิ๊กตามพิธี พลันฉุกคิดถึงเรื่องคลิปวิดีโอการกุศลสั้นๆ จึงเอ่ยปากสอบถามทันที “คุณบิ๊ก เรื่องคลิปการกุศลสั้นๆ คุณภวินท์ได้แจ้งคุณหรือยังคะ?”
“แจ้งมาแล้วครับ แต่เรื่องรายละเอียดในการถ่ายยังไม่ได้สรุปความเป็นที่แน่นอน รอแจ้งกลับไปนะครับ”
คุณบิ๊กพูด พร้อมทั้งยื่นมือให้ญาธิดา “หวังว่าพวกเราร่วมมือกันทำงานอย่างมีความสุขครับ”
ญาธิดายิ้มให้ และจับมือเขาด้วยความรู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นก็คุยสัพเพเหระกันอยู่สักพัก จึงได้ออกมาจากสตูดิโอ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ซึ่งผ่านไปสองวันแล้ว ทางภวินท์ก็ยังไม่มีข่าวคราวหรือการแจ้งใดๆ กลับมาดังเดิม
ญาธิดาอาศัยเวลาอีธานกับเอลล่าที่กำลังว่างอยู่ไปลงเรียนวิชาว่ายน้ำ ส่วนตัวเองนั้นก็อยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำ
ช่วงสายของเช้าวันที่สาม หลังจากส่งเด็กๆ ไปเรียนแล้ว ญาธิดานั่งอยู่บนรถ พลันครุ่นคิดอยู่สักพัก และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อขับรถมุ่งหน้าไปยัง STN Group
เมื่อเห็นท้องถนนที่คุ้นเคยและแปลกตาไป ความทรงจำก่อนหน้านี้ตีขึ้นมาในขั้วหัวใจอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ภาพที่เธอนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาทำงานเมื่อห้าปีก่อนมันฉายภาพขึ้นมาอยู่ด้านหน้าเธอ จนเห็นชัดเต็มสองตา
ตึกSTN ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ในศูนย์กลางของพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดดังเดิม จนทำให้คนสามารถมองแวบเดียวก็มองเห็นได้ทันที
ญาธิดานำรถยนต์มาจอดอยู่ตรงประตูของSTN Group พลันหวนระลึกถึงชั่วเวลาหนึ่ง เธอผลักประตูและลงจากรถอย่างไม่รู้ตัวและเดินตรงไปยังประตูใหญ่ทันที
ซึ่งมียามเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู และมีพนักงานเดินเข้าออกประตูใหญ่กันอย่างขวักไขว่ เมื่อมองเห็นป้ายชื่อบริเวณหน้าอก ญาธิดาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในใจ
ใครจะไปคิดว่า เมื่อเธอได้กลับมาอีกครั้ง ตั้งแต่สาวน้อยดรุณีแรกรุ่นในเวลานั้นจะกลายเป็นคุณแม่ลูกสองไปเสียแล้ว?
จนเธอรู้สึกแสบจมูก น้ำตาคลอเบ้าตา ยังคิดจนไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างแน่ชัด ตรงบริเวณประตูก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากประตูใหญ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่คนหนึ่ง
ญาธิดากะพริบตาปริบๆ เมื่อจับจ้องอยู่นาน ก็เบิกตาโตอย่างตกใจทันที
ชมพู่! เธอผมยาวแล้ว แถมดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลทั้งตัว
ญาธิดาทั้งตกใจและดีใจ แต่ก็กลัวว่าเธอจะจำได้ ด้วยความตื่นเต้นในเวลานั้น เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันหันหลังและเดินก้มหน้าถอยออกไป
แต่ใครจะไปรู้ว่าเพิ่งจะเดินได้ไม่กี่ก้าว ร่างกายก็ชนเข้ากับกำแพงมนุษย์อย่างไร้การปกป้อง
มีเสียง “ปึก!” ดังแผ่วเบา กะโหลกเธอเจ็บอย่างรุนแรง เธอยื่นมือออกไปถูตามสัญชาตญาณ พอเงยหน้าขึ้น ประจวบเหมาะกับมองเห็นใบหน้าที่เย็นชาสุขุม
ภวินท์!
เธอ…อยู่ดีๆ จะมาพบเจอเขาที่นี่ได้ยังไงกัน!
โดยที่ไม่รอให้เธอตั้งสติได้ทัน แววตาของชายหนุ่มก็เหลือบมองเธอ และมองไปทางประตูใหญ่ทางนั้น
หลังจากนั้นพริบตาเดียว เขาถอนสายตากลับมา พร้อมทั้งคลี่ยิ้มและพูดเสียงเรียบเฉย “ไปทำเรื่องอะไรผิดเหรอครับ?”
ญาธิดาส่ายหน้าตามสัญชาตญาณทันที “ป่าวค่ะ…แค่ผ่านมาพอดี มาดูเฉยๆ …”
“เหรอครับ?” ภวินท์ไม่เชื่อ “แต่ทำไมผมรู้สึกว่าคุณตั้งใจมาหาผมโดยเฉพาะเลยล่ะครับ?’
ราวกับญาธิดาถูกจี้จุดอ่อน จนแสดงท่าทางข่มขู่พลางตอกกลับทันที “ใครบอก? ใช่ที่ไหนล่ะ!”
“ไม่เป็นไรครับ พอดีเลยไปสถานที่แห่งหนึ่งเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ”
เขาพูด พร้อมทั้งยื่นมือออกมา คว้ามือเธอเอาไว้ และลากเธอให้เปลี่ยนทางเดินไปยังตำแหน่งรถยนต์
เธอยังตั้งสติไม่ทัน แต่ร่างกายก็ถูกจับยัดใส่รถยนต์เรียบร้อยแล้