ดวงใจภวินท์ - บทที่ 429 ไม่หวั่นไหวต่อเขา
เธอจดจำได้อย่างชัดเจน วันก่อน ตอนเธออยู่กับภวินท์บนรถ เธอได้กดรับวิดีโอคอลของอีธานเอลล่าที่โทรศัพท์เข้ามาหา เวลานั้นเขาได้พูดมาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าเอาไว้วันหลังจะไปสระว่ายน้ำเป็นเพื่อนกับพวกเขา
ซึ่งในเวลานี้ คนที่มาว่ายน้ำเป็นเพื่อนเธอกับอีธานเอลล่าไม่ใช่เขา แต่เป็นธีทัต พอเขารู้เรื่องเข้า ฉะนั้นจึงได้มาลักพาตัวพวกเขาอย่างโกรธเคืองขนาดนี้
นี่เป็นเหตุผลที่เธอคิดว่าน่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันสบตาดวงตาดำขลับของชายหนุ่มคู่นั้น จึงปลุกความกล้าหาญเพื่อเอ่ยปากถามทันที “ภวินท์ ในใจของคุณคงไม่ได้ยังมีฉันอยู่ใช่มั้ย? ถึงเกิดความรู้สึกไม่อยากให้ฉันอยู่กับทัต”
เมื่อภวินท์ได้ยิน สีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย นัยน์ตาฉายความรู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย
ทั้งที่เพิ่งเห็นรูปในวินาทีนั้น ในใจของเขาเองก็ไม่สบายจริงๆ แต่คำพูดอันยั่วยุของสิงโตนั้นยิ่งไปกระตุกต่อมโกรธของเขาให้เพิ่มขึ้น เขาก็อยากจะรีบมั่นใจให้โดยเร็วว่าพวกเขาปลอดภัยดีแล้วซึ่งไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วเธอกลับคิดแบบนี้
เขาเบนสายตาไปทางอื่น พลันพูดเสียงเรียบเฉย “ถ้าคุณคิดแบบนี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว”
ญาธิดาได้ยินพลันหัวเราะเสียงเย็นเฉียบ “ก่อนหน้านี้ฉันได้พูดกับคุณแล้ว ฉันมีครอบครัวของตนเอง คุณเองก็มีครอบครัวเป็นของตนเอง นอกจากเรื่องงาน พวกเราควรรักษาระยะห่างกันไว้ดีมั้ยคะ?”
เธอพูด พร้อมทั้งหันไปมองคนขับรถทางด้านหน้า น้ำเสียงพูดอย่างหนักแน่น “คุณคะ รบกวนช่วยเปิดประตูให้หน่อยค่ะ ฉันต้องการลงจากรถ”
คนขับรถทำเป็นหูหนวก ทำเป็นไม่ได้ยิน
ญาธิดาโกรธเคือง พลันกัดฟันพร้อมทั้งแหงนหน้ามองด้านข้างผู้ชาย น้ำเสียงเข้มงวดอย่างเป็นทางการ “ปล่อยฉันลงจากรถ”
พอภวินท์ได้ยิน สีหน้าไร้ความหวั่นไหวใด ๆ พร้อมทั้งเอ่ยปากกำชับคนขับรถ “ขับรถออกไป”
วินาทีนั้น ความโกรธเคืองในใจของญาธิดายิ่งชัชวาลขึ้นกว่าเดิม เธอกัดฟันแน่น พลางใช้สายตามองถามชายหนุ่ม “คุณทำแบบนี้มันสนุกมากมั้ย?”
“ภวินท์ ทำไมเมื่อก่อนฉันถึงไม่รู้สักแอะว่าคุณเป็นคนใจแคบขนาดนี้นะ?”
“คุณก็เห็นว่าครอบครัวของเรามีความสุขจึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาใช่มั้ย?”
ญาธิดาโกรธจัดจึงได้พูดโพล่งคำพูดเหล่านี้ออกมา เดิมตั้งใจจะยั่วโมโหให้ภวินท์เปิดประตูรถ โดยไม่คิดเลยเธอพูดพรวดออกไปหลายประโยค การแสดงออกของชายหนุ่มไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
“ภวินท์ ถึงแม้ว่าในใจคุณยังมีฉันอยู่ ฉันก็ไม่มีวันหวั่นไหวกับคุณอย่างแน่นอน!”
เมื่อพูดคำพูดนี้ออกไป สีหน้าของภวินท์เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย พลันหลุบตามองมาหาเธอ สายตาเพ่งมองเนินหน้าอกอันขาวเกลี้ยงเกลาของหญิงสาว
หลังจากผ่านความโกลาหลมาสักระยะ สูทที่คลุมตัวเธอก็เผยออก จนเผยให้เห็นลำคอระหงและไหล่อันเรียวยาวอันหอมติดผิวที่เผยออกมาครึ่งหนึ่ง
นัยน์ตาภวินท์หม่นหมองลงมา ลำคอตีบตัน คำพูดของหญิงสาวเมื่อครู่มันกระตุ้นต่อความต้องการเอาชนะของเขา เขายื่นมือออกไป พลันคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ พลางดึงเธอมาหาตัวเอง
ญาธิดาไม่ได้เตรียมป้องกัน บวกกับตัวคนก็เบามาก จนถูกดึงจนกระโจนเข้าแผงอกของเขา เธอตกใจทันที พลันนั่งลงบนหน้าตักของเขาทันที
ความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจนทำให้เธอตั้งสติไม่ทัน หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เธออยากจะเว้นระยะห่างของคนสองคนเอาไว้ ใครเล่าจะรู้ว่าฝ่ามือของชายหนุ่มกดตรงหัวไหล่ของเธอเอาไว้ จนเธอนั่งไม่ติด
จนเกิดความวิตกกังวลและอาการตื่นตระหนกในใจฉายขึ้น “ปล่อยฉันนะ…”
ในวินาทีนี้ เขาแต่งตัวเรียบร้อย ส่วนเธอทั้งหน้าอกท่อนแขนและเรียวขายาวสองข้างต่างเปิดเผยอยู่ท่ามกลางอากาศ การถูกสายตาของเขาจับจ้องจนแผ่นหลังเย็นเฉียบขึ้นมา
ภวินท์ขมวดคิ้วขึ้น จู่ๆ ก็เขยิบเข้าใกล้ข้างใบหูของเธอพลางกล่าวออกมา “ผมยังแปลกใจมากว่าตกลงว่าคุณหวั่นไหวอยู่หรือเปล่า”
ลมหายใจของชายหนุ่มเป่ารดต้นคอของเธอ พร้อมทั้งข่มขู่ออกมาเล็กน้อย จนทำให้ญาธิดาเริ่มลงไม้ลงมืออย่างฉับพลัน
ถัดจากนั้นตามมาติดๆ ไม่รู้ว่าภวินท์ไปกดโดนจุดไหนเข้า จนฉากกั้นอันหนึ่งที่กั้นระหว่างด้านหน้ารถและด้านหลังรถมันค่อยๆ เพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งเป็นกระจกแผ่นหนึ่งสีน้ำชา ซึ่งเป็นการกีดกั้นสายตาของคนขับรถทางด้านหน้า
ญาธิดาตกใจทันที พร้อมทั้งคาดไม่ถึงเลยว่ารถยนต์ของเขายังติดตั้งแบบนี้เอาไว้ด้วย ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นยืน เอวคอดกิ่วก็โดนท่อนแขนของชายหนุ่มรัดไว้แน่น
จู่ๆ แขนเขารัดแน่น เธอโดนกอดรัดแน่นทั้งตัว ช่องว่างระหว่างร่างกายของทั้งสองคนไม่มีสักนิด ทุกอณูต่างแนบชิดติดหนึบหากัน
ผิวของชายหนุ่มเริ่มร้อนผ่าวผ่านทางสัมผัสของเนื้อผ้าทั้งสองชั้น ญาธิดาตระหนักได้ทันที ว่าตนเองขึ้นเรือโจรสลัดแล้ว!
เธอกัดฟันแน่น พร้อมทั้งโมโหทั้งหงุดหงิด และบังคับให้สงบสติอารมณ์พลันพูดเสียงเข้ม “ภวินท์ ถ้าคุณกล้าทำอะไรกับฉัน ฉันไม่มีวันปล่อยคุณไปแน่!”
ภวินท์ส่งเสียงพึมพำ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบการถูกข่มขู่ของเธอสักนิด มืออีกข้างของเขาประกบบนแผ่นหลังอันเกลี้ยงเกลาเนียนผุดผ่องของเธอ พลันพูดเสียงเข้ม “ใช่ว่าไม่เคยทำนี่ กลัวอะไรครับ?”
คำพูดของชายหนุ่มน้ำพาความหมายแอบซ่อนอย่างแรงกล้าที่สุด จนทำให้หน้าแดงทันควัน
วินาทีต่อมา มือทั้งสองข้างของเธอกลับถูกฝ่ามือใหญ่อีกข้างตรึงไว้แน่น จนขยุกขยิกไม่ได้สักนิด ถัดจากนั้นตามมาติดๆ เขาหลุบตาต่ำพลันโน้มตัวลง และประกบริมฝีปากสวยงามอันอ่อนโยนของเธอ
“คุณ…ลุกขึ้น!”
ญาธิดาย่นคิ้วหากันเพื่อเป็นการปฏิเสธ แต่คำพูดที่เหลือกับถูกเขาปิดไว้แน่น เธอกัดฟันหน้าไว้แน่น เขาดูดเม้มริมฝีปากของเธออย่างไม่รีบไม่ร้อน…
ซึ่งไม่นานนัก ร่างกายญาธิดาก็ร้อนผ่าวมาอย่างไม่รู้ตัว ราวกับถูกพิษเช่นนั้น ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย
ท่ามกลางความรู้สึกเลือนราง เธอลืมเลือนการปฏิเสธไปเสียสนิท พร้อมทั้งลืมการต่อต้าน ความรู้สึกการต่อต้านการโจมตีของเขาทั้งหมดต่างมลายกลายเป็นแอ่งน้ำไปแทน
ท่ามกลางหมอกควัน ชายหนุ่มทาบทับด้านหน้าแผงอกของเธอ พร้อมทั้งเปล่งเสียงแหบแห้งออกมาเล็กน้อย “หัวใจเต้นเร็วขนาดนี้ แถมยังพูดว่าไม่หวั่นไหวอีกเหรอ?”
ชั่วขณะนั้น สตริงอันตึงเครียดที่อยู่ในหัวสมองของญาธิดาเส้นนั้น มันส่งเสียงขาด “ดึ๋ง” ทันที…
แท้จริง สามารถโกหกคนอื่นได้ แต่ไม่สามารถโกหกตนเองได้ ทุกครั้งที่ได้เจอเขาทำให้หัวใจหวั่นวิตก จนเริ่มวิตกกังวลอย่างไม่รู้ตัวแถมยังไม่สามารถควบคุมความสนใจในตัวของเขาได้ จนทำให้เธอจำต้องยอมรับ ว่าภวินท์เป็นเจ้าข้าวเจ้าของที่ครอบครองพื้นที่ในหัวใจของเธอตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเวลานี้
ชั่วขณะที่การถกเถียงกันขั้นสุดท้ายของทั้งสองคนกำลังดำดิ่งลง รถยนต์ก็หยุดอย่างกะทันหัน พลันหยุดลง
ร่างกายญาธิดาเกร็งชา สติปัญหาในหัวสมองกลับคืนดังเดิม จนตื่นตัวขึ้นมาอย่างทักท้วง
ภวินท์ขมวดคิ้ว สายตาเบนออกจากร่างกายของหญิงสาว พลันเหลือบมองนอกกระจก ถึงได้ค้นพบว่ารถยนต์มาจอดตรงหน้าประตูแกรนด์ บูเลอวาร์ด
ญาธิดารีบรักษาระยะห่างของทั้งสองคน พลันดึงสูทตัวนอกของชายหนุ่มมาคลุมร่างกายของตนเอง พลันพูดทันควัน “ปล่อยฉันลงไป”
ภวินท์สงบนิ่งลงกว่าเดิม พร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันชูมือกดปุ่ม เพื่อเอาฉากกั้นลงมา พร้อมทั้งกำชับคนขับรถ “เปิดประตู…”
เมื่อคนขับได้ยิน พลันกดเปิดปุ่มล็อกประตูให้ทันควัน
ญาธิดารีบผลักประตูลงจากรถทันควัน
ถ้าช้าไปอีกไม่กี่วินาที เกรงว่าเธอคงตกหลุมพรางและฉุดตัวเองขึ้นมาไม่ได้
เธอกัดฟันแน่น พอลงจากรถก็หันหน้าช้อนตามองด้านหลังรถคันนั้นอย่างทันควัน เธอก้าวฝีเท้าเดินไปทางด้านหน้า จนมองเห็นอีธานกับเอลล่าลงมาจากรถอย่างปลอดภัยไร้อันตรายแต่อย่างใดถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
“พวกหนูไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
ญาธิดาเดินไปทางด้านหน้าอย่างตึงเครียดอยู่บ้าง พลันเอื้อมมือออกไปดึงเด็กน้อยสองคนเข้าสู่อ้อมอก
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณอาดีกับพวกเราเป็นอย่างมากค่ะ…”
“ใช่ครับ คุณอาพายุใจดีมากครับ…”
เด็กน้อยทั้งสองคนต่างพูดยกยอพายุไม่หยุดปากคนนั้นทีคนนี้ที ญาธิดาแหงนหน้าขึ้น จึงมองเห็นพายุยืนยิ้มอยู่ทางด้านข้าง ความรู้สึกวิตกกังวลในใจก็มลายหายไปอยู่ไม่น้อย
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันจูงอีธานกับเอลล่า และพูดเสียงแผ่วเบา “โอเคนะ เรากลับบ้านกันเถอะ”
เด็กน้อยทั้งสองคนบอกลาพายุอย่างรู้เรื่อง จากนั้นก็เดินตามญาธิดาเข้าแกรนด์ บูเลอวาร์ดไปพร้อมๆ กัน
ชั่วขณะเวลาที่กลับมาถึงบ้านนั้น อาการประสาทตึงเครียดของญาธิดาถึงได้ค่อยๆ ผ่อนคลายลงเยอะ
พลันพาเด็กน้อยกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องนอน เธอถึงได้รับรู้ว่ากระเป๋าของตนเองกับโทรศัพท์ถูกทิ้งไว้ที่สระว่ายน้ำแล้ว!
อีกฝั่ง ด้านในสระว่ายน้ำ
ธีทัตกลับเข้ามาในสระว่ายน้ำ ก็เห็นผู้คนทางขอบสระต่างถกเถียงกัน พลันควานหารูปร่างอันคุ้นเคยวนรอบหนึ่งแล้ว พลันฉายความรู้สึกวิตกกังวลออกมาในใจ
ครูฝึกทางด้านข้างเดินเข้ามา พลันมองเขาและมีอะไรต้องการจะพูดออกมา “คุณธีทัตครับ เมื่อครู่…”
ธีทัตเลิกคิ้ว พลันวางแก้วน้ำผลไม้ในมือลง “มีอะไรหรือเปล่าครับ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ?”
ทำไมพอเขากลับมา จึงไม่เห็นธิดากับเด็กน้อยทั้งสองคนแล้ว?