ดวงใจภวินท์ - บทที่ 430 คิดบัญชีเก่าและใหม่ทบต้นทบปลาย
สีหน้าของครูฝึกหนุ่มดูแย่มาก ราวกับไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรกับเขาให้ชัดเจนดี ทางครูฝึกผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างเดินมาทางด้านหน้า พลันพูดแนะนำ “ให้เขาไปดูกล้องวงจรปิดเถอะค่ะ”
ธีทัตขมวดคิ้วนิ่วหน้า ใบหน้าความอ่อนโยนที่มีมาตลอดฉายความเย็นชาออกมา พลันก้าวเท้าเดินไปยังห้องกล้องวงจรปิดตามครูฝึกทันควัน
หลังจากนั้นสิบกว่านาที เขาเหลือบมองภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์ ฝ่ามือใหญ่กุมมือไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว พร้อมทั้งยกมือขึ้นมาทุบลงหน้าโต๊ะอย่างรุนแรง
“ปึง!” เสียงดังลั่น พนักงานทางด้านข้างตกใจจนหน้าซีดเผือด แต่กลับไม่มีสักคนที่กล้าจะเอ่ยปากพูดเกลี้ยกล่อมเขา
เรื่องปัญหาอันสับสนยุ่งเหยิงภายในครอบครัว ความรู้สึกคลุมเครือพัวพันกันเช่นนี้ ซึ่งทำให้คนพูดไม่ออกมากที่สุดแล้ว นอกจากนี้เมื่อแต่งงานกันแล้ว ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้มาเกลี้ยกล่อมเขาแต่กลับเป็นการราดน้ำมันลงในกองเพลิงแทน
หลังจากนั้นผ่านไปชั่วครู่ ธีทัตค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงกลับมาเป็นดังเดิม เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันหันไปมองครูฝึกทางด้านข้าง พลันพูดเสียงเข้ม “ขอบคุณมากครับ”
เมื่อพูดทิ้งท้ายประโยคนี้เอาไว้ เขาก้าวฝีเท้ายาวๆ เพื่อเร่งเดินออกจากห้องวงจรปิด
เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เขาสามารถปิดตาไว้ข้างลืมตาไว้ข้างทำไม่รู้ไม่ชี้ไป ก็เพื่อไม่ให้ญาธิดาจากเขาไป เขายอมรอคอยอย่างช้าๆ แต่ว่าตอนนี้ ภวินท์หลอกล่อภรรยาในนามของเขาอยู่ใต้จมูกของเขา แล้วเขาจะกลืนความโกรธเคืองเรื่องนี้ไว้ได้ยังไงกัน?
กระทั่งภวินท์ไม่ไว้หน้าเขา งั้นวันนี้ฤกษ์งามยามดีที่ต้องคิดบัญชีเก่าและบัญชีใหม่ทบต้นทบดอกพร้อมกันเลยทีเดียว!
เมื่ออยู่บนถนนทางกลับบริษัท ภวินท์หยิบแท็บเล็ตขึ้นมา พลันมองเอกสารในการประชุมเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ปกติใช้เวลาสิบนาทีก็สามารถอ่านจบแล้วแต่ว่าเขาใช้เวลายี่สิบนาทีก็ยังอ่านไม่จบสักที
เขายกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว พร้อมทั้งโยนแท็บเล็ตไปอีกทางอย่างหงุดหงิด
เขาชะงัก พลันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เพื่อกดโทรออกไป “หลุยส์ มาหาฉันที่บริษัทหน่อย”
ซึ่งมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในเวลานี้ จนเปลี่ยนเป็นสับสนขึ้นเรื่อย เพื่อปกป้องความปลอดภัยของญาธิดาและอีธานเอลล่า จึงจำเป็นต้องเตรียมการเอาไว้เนิ่นๆก่อนถึงจะถูก
รวดเร็วมาก รถยนต์ก็เดินทางมาถึงที่หมาย พลันจอดรถทางด้านหน้าบันไดตึกของSTN Group
ภวินท์ผลักบานประตูลงจากรถ พร้อมทั้งก้าวฝีเท้ามุ่งหน้าเดินไปยังประตู
ใครจะรู้ว่าเพิ่งจะเดินมาถึงประตู ทางด้านข้างก็มีเงาหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน ถัดจากนั้นมาติดๆ มีคนคว้าบริเวณคอเสื้อด้านหน้าอกของเขาเอาไว้ทันที
ธีทัตดวงตาแดงก่ำทั้งคู่ นัยน์ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเคืองอย่างหนักแน่น พลันเรี่ยวแรงที่มือแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาด “แกเอาตัวญาธิดาไปไว้ไหน!”
ภวินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย โดยคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาหาถึงที่นี่ พลันมองผู้ชายทางด้านหน้า แววตาฉายความเย้ยหยันออกมาเล็กน้อย
ทุกครั้งที่ญาธิดามีอันตราย ธีทัตดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไหร่
ธีทัตตามจับความรู้สึกที่อยู่ในนัยน์ตาของเขาเอาไว้ได้ ราวกับโดนคนต่อยเข้ามาหมัดหนึ่งอย่างรุนแรง จนอารมณ์โกรธเคืองโชติช่วงมากกว่าเดิม “ภวินท์ ทำไมแกถึงได้ชอบหลอกล่อเมียคนอื่นแบบนี้!”
เสียงเขาดังมาก ซึ่งคนที่อยู่โดยรอบต่างได้ยินกันอย่างชัดเจน ซึ่งทางด้านข้างต่างเป็นพนักงานของSTN Groupเดินขวักไขว่กันไปมา พลันมองเห็นท่านประธานของตัวเองถูกคนคว้าคอเสื้อ ย่อมอดมองหลายครั้ง
เสียไม่ได้
ซึ่งเวลานี้ได้ยินธีทัตตะคอกอย่างสุดแรงเกิดออกมาเช่นนี้ พวกเขาต่างก็ทยอยเหลือบมองทางด้านข้างมากขึ้นกว่าเดิม
พายุเดินมาทางด้านหลัง เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นแล้ว จึงเดินดักหน้าเพื่อเข้ามาห้ามปรามทันควัน ทว่าธีทัตกำลังโกรธสุมหัว จึงไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อม ยังไงก็ไม่ยอมปล่อยมือ
“ตอบฉันมา แกทำอะไรกับธิดา!”
นัยน์ตาภวินท์หม่นหมองลงเล็กน้อย พลันพูดเสียงแข็ง “พาพวกเขาไปยังสถานที่ปลอดภัยก็เท่านั้นเอง คุณธีทัตไม่มีความจำเป็นต้องเสียทรงขนาดนั้นเลยครับ”
“สถานที่ปลอดภัย?” ธีทัตส่งเสียงเย้ยหยัน “สำหรับพวกเขาแล้ว สถานที่ไม่มีคุณถึงได้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด!”
เมื่อคำพูดนี้หลุดปากออกไป สีหน้าภวินท์พลันหม่นหมองลงอย่างหนักหน่วง แววตาฉายความโกรธเคืองดำวูบที่อัดอั้นเอาไว้ออกมา มือที่วางข้างตัวของเขาเริ่มกำแน่นขึ้นเรื่อย
เมื่อมองเห็นการทะเลาะเบาะแว้งของชายหนุ่มทั้งสองคนที่เตรียมจะระเบิดออกมา จู่ๆ ทางด้านข้างก็มีเสียงหัวเราะของชายหนุ่มดังขึ้นมา “นี่เป็นอะไรกันไปเนี่ย?”
หลุยส์ยิ้มพร้อมทั้งเดินมาทางด้านหน้า พลันยื่นมือออกมากุมหมัดของธีทัตที่วางอยู่คอเสื้อของภวินท์ พลันเอ่ยปากพูดเกลี้ยกล่อม “เป็นคนมีหน้ามีต่างกันทั้งนั้น มาลงมือลงไม้กันในเหตุการณ์นี้เนี่ยนะ คือจะไม่ไว้หน้ากันจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย?”
เขาพูดขนาดนี้แล้ว ธีทัตยังคงไม่ได้แสดงความหมายว่าจะลดมือแต่อย่างใด
หลุยส์หัวเราะร่า พลันพูดต่ออย่างไม่เร่งร้อน “ตัวเองไม่รักษาหน้าตาเอาไว้ยังพอทน คิดถึงคนที่บ้านด้วย ยังมีเด็กห้าขวบอยู่อีกสองคน ถ้าก่อเรื่องจนเป็นข่าวครึกโครมขึ้นมา แล้วมันส่งผลกระทบไปถึงใครมากที่สุด ในใจพวกคุณน่าจะชัดเจนดีอยู่แล้วใช่มั้ย?”
คำพูดลอยของหลุยส์เพียงสองประโยค พลันทำให้สีหน้าของธีทัตเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อครู่ความโกรธเคืองสุมหัว จนเขาคาดไม่ถึงว่าจะมีด้านนี้อยู่ด้วย ซึ่งตอนนี้ได้ยินหลุยส์พูดเช่นนี้ เขาถึงฉุกคิดได้ว่าถ้าเรื่องนี้ทะเลาะกันจนเป็นเรื่องใหญ่โต คนที่ได้รับผลกระทบไปมากที่สุดก็คือญาธิดากับอีธานเอลล่า!
เขาไม่เต็มใจให้พวกเขาตกเป็นขี้ปากความคิดคาดเดาต่างๆ นานาของชาวเน็ต และยิ่งไม่อยากให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบถึงความรู้สึกระหว่างพวกเขาอีกด้วย
เขาแหงนหน้า แววตาเหลือบมองภวินท์แวบหนึ่งอย่างเย็นชา จึงได้ปล่อยมือทันที
หลุยส์หัวเราะร่า เฉกเช่นผู้สร้างสันติสุข “เรื่องเสียหายภายในบ้านอย่าเที่ยวป่าวประกาศออกไป มีเรื่องอะไรเราไปหาห้องสักห้อง มานั่งจับเข่าคุยกัน คุณธีทัต ตอนนี้คุณคงจะพอมีเวลาอยู่ใช่มั้ย?”
แววตาธีทัตหม่นหมอง แต่กลับไม่ได้พูดว่าอะไร
หลังจากนั้นสิบนาที พวกเขาทั้งสามคนก็มาถึงห้องรับแขกที่อยู่ทางด้านข้างห้องทำงาน
เมื่อบานประตูปิดลง หลุยส์เดินไปนั่งลงทางด้านข้างเอาเอง แสดงตนเป็นคนล่องหน โดยเหลือคำพูดตรงกลางให้พวกเขา
ภวินท์นั่งลงอย่างไม่เดือดไม่ร้อน พลางยื่นมือออกไปเทน้ำชาให้ธีทัตแก้วหนึ่ง และดันมาให้ทางด้านหน้าของเขา พลันพูดเสียงแผ่วเบา “คุณธีทัต ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องมีปากมีเสียงจนต้องแข็งข้อกันแบบนี้”
แววตาอันเย็นเฉียบของธีทัต ซึ่งไม่ตกหลุมพรางนี้ “งั้นทำไมคุณต้องคอยล่อลวงภรรยาของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบไม่สิ้นสักทีล่ะ?”
ภวินท์พูดเสียงเข้ม “คงไม่ถึงขั้นล่อลวงหรอก ก็แค่ทนดูไม่ได้เลยยื่นมือเข้าไปช่วยเท่านั้นเอง”
ถ้าเวลานี้สิงโตอยากลงมือกับญาธิดา อีธานและเอลล่า แม้ว่าธีทัตจะอยู่ข้างๆ ก็ไม่ช่วยอะไรไม่ได้
“คุณหมายความว่ายังไง?”
ภวินท์หัวเราะอย่างดูแคลน นัยน์ตาฉายความเย้ยหยันออกมาเล็กน้อย “ในความทรงจำของผม ดูเหมือนว่าคุณไม่เคยทำหน้าที่ของสามีที่ควรทำเลยสักครั้ง”
ประโยคนี้ ราวกับกองเพลิง ที่จุดความโกรธเคืองของธีทัตให้ลุกโชนขึ้นใหม่อย่างฉับพลัน
ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูด สีหน้าของภวินท์กลับเข้าสู่สภาวะจริงจังดังเดิม พลางพูดเน้นย้ำเสียงเย็นเฉียบทุกถ้อยคำ “เอลล่าถูกงูกัด ญาธิดาหล่นจากหลังม้า ครั้งไหนเหรอที่คุณปกป้องพวกเธอเอาไว้ได้? ธีทัต คุณรู้สึกว่าคุณมีคุณสมบัติมากพอที่ควรอยู่ในฐานะสามีและพ่อผู้บังเกิดเกล้าจริงๆ ใช่มั้ย?”
ประโยคเดียว ราวกับมีดสั้นอันคมคมกริบ ทะลุทะลวงเข้าสู่กลางหัวใจของเขาตรงๆ อย่างเต็มแรง
ความหมายในคำพูดของภวินท์ ยามเมื่อเขาฉุกคิดขึ้นมาก็รู้สึกเป็นตำแหน่งที่หดหู่ทุกครั้งไป
ราวกับไม่ว่าจะเป็นครั้งไหนก็ตาม เขาก็ช้ากว่าภวินท์เพียงก้าวเดียว นี่ถือว่าเป็นปมในใจของเขา และมากไปกว่านั้นมันเป็นการหยามเกียรติที่เขาไม่เต็มใจที่จะพูดอธิบายออกมา!
“คุณสามารถรับประกันได้มั้ยว่าคุณจะไปถึงข้างกายพวกเขาโดยเร็วที่สุดเพื่อปกป้องพวกเขาก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุต่างๆ เกิดขึ้น?”
“……”
ธีทัตย่นคิ้ว ลำคอตีบตัน แต่พูดไม่ออก
เขาอยากจะพูดว่า “ฉันทำได้” ออกมาสองคำ แต่สองคำนี้มันติดอยู่ที่ปลายลิ้น ท้ายที่สุดก็ไม่มีความมั่นใจและเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะพูดออกมาได้
ธีทัตกำหมัดแน่น หลังจากนั้นก็ยอกย้อนกลับเสียงแข็ง “งั้นคุณใช้สถานะไหนที่ปรากฏอยู่ข้างกายภรรยาและลูกๆ ของผม?”
ภวินท์พูดอย่างไม่มีการลังเล “ผมอาศัยที่ผมเป็นเจ้านายของพวกเขา ผมมีสิทธิ์ที่จะรับประกันความปลอดภัยของพนักงานของผม”
ธีทัตปฏิเสธทันควัน “การถ่ายทำของอีธานเอลล่าก็เสร็จงานแล้ว เมื่อความร่วมมือเสร็จสิ้น ตอนนี้คุณก็ไม่ถือว่าเป็นเจ้านายของพวกเขา”
เมื่อภวินท์ได้ยินดังนั้น พลางหรี่ตาเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็เอ่ยปากพูดอย่างเรียบเฉย “ดูเหมือนว่า ญาธิดาไม่ได้บอกคุณว่าเธอรับงานถ่ายคลิปสั้นการกุศลของบริษัทของเรา”
“อะไรนะ?” ธีทัตเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างกะทันหัน
ภวินท์พูดเพิ่มเติมอย่างแผ่วเบา “งานชิ้นนี้จะมีความคืบหน้าในสัปดาห์หน้า ประมาณหนึ่งเดือนจึงจะแล้วเสร็จ”
ธีทัตตะลึงอยู่กับที่ ไม่กล้าจะเชื่อหูตนเองเลย
ญาธิดาเซ็นสัญญาลงนามครั้งใหม่กับภวินท์ แล้วทำไมถึงไม่บอกเขา?