ดวงใจภวินท์ - บทที่ 438 ไสหัวจากSTN Group
บทที่ 438 ไสหัวจากSTN Group
เสียงของเขาดังสะท้อนทรงพลัง ก้องกังวาน
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนในห้องประชุมต่างก็จ้องมองที่บัญชีนั้น ต่างคนก็ต่างความคิด
ภูผาสีหน้าเป็นปกติ ไม่มีแม้แต่ความตื่นตระหนก เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้ครามที่อยู่ด้านข้าง ครามรับทราบ พยักหน้าแล้วเดินไปหยิบสมุดบัญชีกับคอมพิวเตอร์วางไว้ด้านหน้าของเขา
3 นาทีผ่านไป สีหน้าของภูผายังคงเหมือนเดิม เขาเงยหน้าเล็กน้อย มองไปที่ภวินท์ น้ำเสียงเย็นขึ้น “พี่ใหญ่ พ่อเพิ่งออกไปได้ไม่กี่วัน พี่ก็ร้อนอกร้อนใจอยากที่จะใส่ร้ายผม?”
คำพูดนี้ ทำให้ภวินท์สีหน้าเปลี่ยนในทันใด ความโกรธหมุนวนอยู่ภายในดวงตาของเขา ผ่านไปไม่กี่วินาทีเขาก็พึมพำเสียงเย็นชา แล้วหันไปสั่งคนที่อยู่ด้านข้าง ว่า “ส่งข้อมูลไปให้รองประธานหนึ่งชุด”
ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นว่า
“ภายในเวลา 3 วัน หาเงินเอามาใช้หนี้ฉันให้ครบทุกบาททุกสตางค์”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน กำลังจะออกไป
“พี่ใหญ่!”
ภูผาเรียกเขาเอาไว้ “ถ้าหากให้พ่อรู้ เพื่อลิดรอนสิทธิของผมพี่เลยกล่าวหาผมแบบนี้ เขาจะผิดหวังขนาดไหน!”
“ผิดหวัง?” ภวินท์ชะงักฝีเท้า สายตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา”
พูดพลาง เขาก็ส่งสัญญาณมองไปที่พายุ “พาตัวเข้ามา”
พายุเดินออกจากห้องประชุมทันที ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาก็กลับมาอีกครั้ง มีชายคนหนึ่งเดินตามมาอยู่ด้านหลัง
“คุณโอ ถ้าเช่นนั้นคุณลองพูดหน่อย ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร”
ดวงตาของชายผู้นั้นเคลื่อนไหว สายตากวาดไปมองที่ภูผา มองไปที่ภวินท์แล้วพูดว่า “คุณภวินท์ มีปัญหาเรื่องรายการบัญชีเหรอครับ?”
ภวินท์นิ่งเงียบไม่ตอบ สายตาจ้องเขาอย่างเคร่งขรึม
โอถูจมูก เขาเดินไปข้างหน้า พอเห็นสมุดบัญชีเข้า สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้านข้าง เป็นรายการบัญชีที่ตรวจสอบแล้ว จำนวนเงินที่ขาดหายไปทั้งหมดปรากฏให้เห็นในพริบตา
โอยืนอยู่ตรงนั้น เหงื่อออกบริเวณปลายจมูก
ในตอนนี้ ต่อให้เขามีสิบปาก ก็ไม่สามารถใช้พูดออกมาได้
หลักฐานพวกนี้ เป็นสิ่งของจริงไม่เจือปนปรากฏชัดเจน ไม่มีทางปลอมแปลงขึ้น เขาเองก็ไม่สามารถหลบหนีข้อกล่าวหานี้ได้
ภวินท์จ้องเขา เขาพูดออกมาสองคำด้วยเสียงเย็น “พูดมา”
ร่างของโอสั่นเทาเล็กน้อย สีหน้าขาวซีด เขาพูดอะไรไม่ออก
ภวินท์จ้องเขา หัวคิ้วขมวดแน่น ความอดทนทั้งหมดของเขาหมดลงทีละน้อย
เวลานี้ตอนนี้ พูดได้เลยว่าเขาหมดความอดทนแล้ว
เมื่อรอไปได้อีก2 นาที เขาขมวดคิ้วแล้วมองไปที่กล้า ลูกน้องที่อยู่ด้านข้าง
กล้ารับทราบ ก้าวไปข้างหน้าทันที เขาพูด “คุณโอ ถ้าหากผมจำไม่ผิดล่ะก็ ลูกชายของคุณ เพิ่งฉลองวันเกิดครบรอบ 5 ปีเมื่อครึ่งเดือนก่อนไม่ใช่เหรอ?”
พอพูดถึงลูกชาย สีหน้าของโอก็เปลี่ยนทันที “……ใช่”
กล้าพูดทีละคำทีละประโยคว่า “เพิ่งจะอายุ 5 ขวบเอง ยังเด็กอยู่แท้ๆ ยังไม่ทันจะได้ออกไปดูโลกเลยด้วยซ้ำ……”
“พวกคุณจะทำอะไร!”
โอก็พลันตื่นตระหนกขึ้นมาทันที มองไปที่คนด้านข้างอย่างตั้งรับ
เขาอายุกว่า 40 ปีแล้วเพิ่งจะมีลูกตอนแก่ เขารักลูกชายคนนี้มาก แต่ตอนนี้……
กล้ายิ้มและพูดว่า “พวกเราจะทำอะไร คุณก็คิดเอาเองสิ”
ภูผาที่อยู่ข้างๆ คิ้วขมวด เขามองไปที่ภวินท์แล้วพูดเสียงเย็นว่า“พี่ใหญ่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ภวินท์ถามกลับเสียงเย็น “นายยังไม่รู้อีกเหรอ?”
เขาแค่เอาเขามาสั่งสอนเท่านั้น
กล้าที่อยู่ด้านข้างหยิบโทรศัพท์เครื่องหนึ่งขึ้นมา โยนไปที่ข้างหน้าของโอ บนหน้าจอฉายภาพวิดีโอ ได้ยินเสียงรางๆ ของเด็กน้อยเรียกว่า “คุณพ่อ”
ญาธิดาที่นั่งมองดูเหตุการณ์อยู่ในห้อง ในใจก็รู้สึกเย็นเยือกอย่างอธิบายไม่ถูก
แต่แผ่นหลังของเธอ กลับเต็มไปด้วยเหงื่อ
เธอไม่เคยคิดเลย ว่าภวินท์จะเอาเด็กมาข่มขู่โอ!
“พวกคุณจะทำอะไร!” โอตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย “ลูกชายของผม ไปอยู่ในมือพวกคุณได้ยังไง!”
ภวินท์พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ตอนแรกที่คุณทำบัญชีปลอมขึ้นมา ควรที่จะนึกได้ว่าจะต้องมีเหตุการณ์แบบวันนี้เกิดขึ้น ลูกชายของคุณถ้าจะหายไปจริงๆ ก็โทษตัวเองเถอะ”
คำพูดของเขาไร้ซึ่งความรู้สึก ในน้ำเสียงราวกับตะกรันน้ำแข็ง ที่ทิ่มแทงเข้ามาหัวใจของโอ ขณะเดียวกันก็เสียบแทงเข้าไปที่หัวใจของญาธิดาด้วย
เป็นเพียงแค่เด็กอายุ 5 ขวบเท่านั้น อายุเท่ากับอีธานเอลล่า ต่อให้พ่อแม่ทำเรื่องที่ผิด แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็คือผู้บริสุทธิ์
ชั่วขณะหนึ่ง ญาธิดารู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ มองไปที่ข้างในสายตาของภวินท์ที่เย็นลงเล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้โหดเหี้ยมมากกว่าที่เธอคิดเสียอีก!
ทางห้องประชุมนั้น ฝีเท้าของโอสะเปะสะปะ มองไปที่ภูผาซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
กล้ามองโอ แล้วพูดต่อ “คุณมีเวลาแค่ 3 นาที พูดสิ่งที่คุณรู้ออกมาให้หมด ถึงจะสามารถรับรองความปลอดภัยของลูกชายคุณได้ ถ้าหากไม่พูดผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็โทษตัวเองเถอะ”
แต่เขาก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร ภวินท์ขมวดคิ้ว พยักหน้าไปทางกล้าเบาๆ
กล้าไม่รีรอ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกำลังจะกดต่อสาย
“ผม…ผมจะพูด!”
โอร่างกายสั่นเทา เงยหน้าขึ้นมองไปที่ภูผาด้วยความตื่นตระหนก กัดฟันแล้วพูดว่า “คือ…คือคำสั่งของคุณภูผา……”
ภูผาที่นั่งอยู่บนรถเข็น ได้ยินดังนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาสว่างมองไปที่โออย่างพิจารณา ผ่านไปไม่กี่วินาที ก็ส่งเสียงหัวเราะเย็น “แสดงได้ยอดเยี่ยมมาก”
“ประทานโทษครับ คุณภูผา!”
โอพูดพลางหยิบอะไรบางอย่างจากในกระเป๋าเสื้อออกมาอย่างเงอะงะ สองมือส่งไปที่ภวินท์ “คุณ……คุณภวินท์ นี่คือหลักฐานที่ผมเก็บไว้ก่อนหน้านี้ คุณลองดู”
แฟลชไดรฟ์อันเล็กหนึ่งอัน เรืองแสงสีเงิน ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วข้างในคืออะไร
ภวินท์ส่งสัญญาณให้กล้ารับไว้ เขาเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์และโอนย้ายข้อมูลออกมา
สิ่งที่อยู่ด้านในต่างก็สามารถพิสูจน์ได้ทั้งหมดว่าเรื่องพวกนั้นเป็นฝีมือของภูผา
เรื่องมาจนถึงตอนนี้ ภูผาก็ถอยหลังไม่ได้แล้ว
เขาเองไม่เคยคิดเลยว่าโอคนนี้ จะเปิดโปงเขาได้ไวขนาดนี้!มันยังตั้งใจเก็บเอาหลักฐานก่อนหน้าไว้ในแฟลชไดรฟ์อีก
“เรื่องมาถึงตอนนี้ นายยังมีอะไรจะพูดอีกไหม?” ภวินท์ดันคอมพิวเตอร์ไปทางเขาอย่างเรียบเย็น
ภูผาไม่มีคำพูดใด
ขณะนี้ ละครฉากนี้มาถึงขั้นนี้ปิดฉากลงแล้ว
ภวินท์ลุกขึ้น ส่งสัญญาณให้กล้า นำตัวโอไป แล้วมองภูผาอย่างเย็นชา สั่งเสียงเย็นว่า “ภายในเวลา 3 วัน เอาเงินมาใช้หนี้ให้ครบทุกบาททุกสตางค์”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “แล้วก็ไสหัวไปจากSTN Group!”
ภูผาพูดเสียงเย็นชา “พี่ใหญ่ พวกเราสองคนตัดขาดกันขนาดนี้ ไม่มีประโยชน์ต่อฝ่ายใดเลย”
หากเรื่องพวกนี้แพร่ออกไป กลัวว่าชื่อเสียงของSTN Groupที่อยู่สูงส่งจะตกต่ำลงเหว แล้วก็อาจจะกระทบต่อหุ้นอีกด้วย
นี่เป็นเรื่องเล็ก ขอแค่เพียงภวินท์มีใจจะทำ เรื่องทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็สามารถปิดเอาไว้ได้
ภวินท์หันหน้ากลับทันที จ้องเขาด้วยสายตาเย็นขรึม “ภูผา นายเห็นSTN Groupเป็นอะไรไปแล้ว?”
หลายปีมา เขาหาประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่การงานของตนเอง ยักยอกเงินมากมายขนาดนี้ ในเมื่อตอนนี้ถูกตรวจเจอแล้ว จะใช้เล่ห์เหลี่ยมปกปิดความผิดของตนเองได้เหรอ?
“ฝันกลางวัน”
เมื่อสิ้นคำ ภวินท์ก็ก้าวเท้าออกไป
พอเขาเดินมาถึงปากประตู ภูผาก็พูดทันที “ดังนั้นนี่พี่ใหญ่จะประกาศสงครามกับผมใช่ไหม?”
ฝีเท้าของภวินท์หยุดชะงัก ผ่านไปไม่กี่วินาทีเขาก็หันกลับมา จ้องเขาอย่างเย็นชา “ถ้าคุณคิดว่าใช่ นั่นก็คือใช่”
ระหว่างเขาและภูผา ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วยังไงก็ต้องเกิดการปะทะกันอยู่แล้ว ตอนนี้ด้วยเหตุผลเพราะเรื่องนี้ ระหว่างพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอุบเอาไว้แล้ว ต่างเปิดเผยออกมาก็พอ
ในขณะนั้นเอง ภูผาก็พลันส่งเสียงหัวเราะออกมา “ถ้าเช่นนั้นผมก็จะคอยดู ว่าพี่ใหญ่จะเก่งกล้าสักแค่ไหน ”
เมื่อประโยคนี้จบ เขาก็หันหน้ามองไปที่คราม ครามรับทราบ เข็นรถเข็นพาเขาออกจากห้องประชุมไป