ดวงใจภวินท์ - บทที่ 442 ตกหลุมกับดัก
ชะงักอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่ได้คำตอบ ดวงตาของภวินท์จึงเผยหมดความอดทนออกมา สายตาของเขาจ้องตรงมาที่คุณบิ๊ก
เขาไม่ได้เปล่งเสียงใด ๆ แต่ทว่าพลังในสายตานั้นก็ได้กดดันคุณบิ๊กแล้ว
คุณบิ๊กอ้าปากรับลมเย็น ๆ “คุณธิดา ยังอยู่บนเขาครับ”
เมื่อประโยคนี้เปล่งออกมา สีหน้าของภวินท์ก็ถอดสีทันที “อะไรนะ”
คุณบิ๊กสีหน้าดูแย่ แล้วกล่าวอย่างจนปัญญา “เดิมทีพวกเรานั้นก็อยู่ด้วยกัน ต่อมาเธอบอกอยากจะไปหาสถานที่ถ่ายทำใหม่ ๆ จึงได้ออกไปคนเดียว เมื่อพวกเราลงมา เธอก็ยังไม่กลับมา!”
ทันใดนั้น บรรยากาศรอบ ๆ ตัวของภวินท์ก็เปลี่ยนเป็นความเย็นเยียบ เขาขมวดคิ้ว สายตาที่จ้องมองไปทางคุณบิ๊กประหนึ่งกับใบมีด มองเชือดเฉือนมาทางเขาอย่าง“ฟืดฟัด——”
คุณบิ๊กรู้ตัวว่าผิด จึงรีบกล่าวอย่างยอมรับ “คุณภวินท์ เป็นความผิดของผมเองครับ เป็นผมที่ประมาทเลินเล่อ……”
ไม่รอให้เขาได้พูดจบ ภวินท์ได้หันหลังฉับพลันแล้ว จากนั้นก้าวเท้ายาวเดินออกไปทางประตูอย่างรวดเร็ว กำชับลูกน้องที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ส่งคนขึ้นไปบนเขา!”
ด้านนอกฝนตกใหญ่มาก เสมือนผ้าพันแผลชั้นดีที่บดบังวิสัยทัศน์การมอง ไอหมอกปกคลุม มองเห็นได้ไม่ชัดเจน
เขาเทียบฟ้าที่อยู่ไม่ไกล ก็ยิ่งถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศแบบนี้ เย็นเยียบไปทั่ว
สีหน้าของภวินท์ที่ดูเครียดมาก มองเขาเทียบฟ้าที่ขนาดใหญ่แล้วขมวดคิ้วฉับพลัน
เขาลูกใหญ่ขนาดนี้ คนคนหนึ่งติดอยู่ในเขาเช่นนี้ก็ประหนึ่งก้อนหินขนาดเล็ก จะเริ่มหาจากตรงไหน?
และในเวลานี้ คุณบิ๊กพาไม้รีบเดินมาด้านหน้า “คุณภวินท์ครับ พวกเรารู้ตำแหน่ง พวกเราขะไปหาคุณธิดาด้วยกัน!”
ภวินท์มองเขาอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร แล้วก้าวเท้าเดินตรงไปขึ้นรถ
ไม่กี่นาที รถก็ได้มาถึงทางเข้าปีนเขาของเขาเทียบฟ้า หลังจากอธิบายสถานการณ์ให้เจ้าหน้าที่ฟังเสร็จ ก็พาลูกน้องตรงขึ้นไปบนเขา
แม้ว่าบ่ายวันนี้ทางทีมถ่ายทำจะไม่ได้ปีนทางบันไดที่เปิดไว้ก่อนแล้ว แต่ว่าทางบันไดกับทางถนนนั้นขนานกัน ตอนนี้ฝนตกและถนนลื่น พวกเขาจึงจำเป็นต้องปีนขึ้นทางบันไดที่เปิดไว้อยู่แล้ว
เมื่อปีนขึ้นไปได้ประมาณครึ่งทางถึงตำแหน่งคร่าว ๆ ไม้ก็ชี้ไปทิศทางหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น “ตรงนั้น! ตรงนั้นคือที่ที่พวกเรากางเต็นท์กันในวันนี้!”
ภวินท์ได้ยินดังนั้น ก็เงยหน้ามองไป ไม่พูดไม่จา รีบปีนบันไดมุ่งหน้าเดินทางนั้น
ฝนโปรยปรายยังคงไม่มีทีท่าว่าจะซาลง ถึงแม้ว่าบนตัวของพวกเขาจะสวมเสื้อกันฝนไว้ แต่ทว่าก็เปียกชุ่มไปเกือบทั้งตัว
เมื่อถึงสถานที่ที่ไม้บอก ภวินท์ก็ขมวดคิ้วแล้วมองดูรอยกางเต็นท์และรอยเท้าด้านข้างที่ดูยุ่งเหยิง“ญาธิดาไปทิศทางไหนกันแน่นะ!”
ในเมื่อพบสถานที่ที่ทีมถ่ายทำกางเต็นท์ในวันนี้แล้ว อย่างนั้นขอเพียงเดินตามหาทิศทางที่ญาธิดาจากไป บางทีอาจจะพบอะไรบางอย่างก็ได้
ไม้ยกมือขึ้นชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ทางนั้น”
ภวินท์ได้ยินดังนั้น ขมวดคิ้วแล้วก็รีบมุ่งเดินไปทางนั้นทันที ถึงแม้ว่าเส้นทางจะลื่น แต่ฝีเท้าของเขาทั้งยาวและก็เร่งรีบ ไม่มีการชะลอตัวเลยด้วยซ้ำ
ในเวลานี้ เขาทั้งกังวลและกระวนกระวายใจอย่างมาก
ในสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ หากญาธิดาเจอเข้ากับอันตรายจริง ๆ ……
ภวินท์ขมวดคิ้วแน่น ไม่กล้าที่จะคิดต่อไป
ในขณะเดียวกัน เท้าของเขาก็เร่งความเร็วอย่างต่อเนื่อง เร็วขึ้น เร็วขึ้นอีก เร็วมากจนทิ้งระยะห่างไกลออกไปกับคนที่เดินตามอยู่ด้านหลัง
เส้นทางบนเขาและฝนที่โปรยปรายสำหรับเขาแล้วขี้ปะติ๋วมาก เพราะเขาเคยฝึกฝนในลักษณะที่คล้ายกันเช่นนี้มาก่อน แต่ว่าเขากลัว กลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะอดทนกับความพายุลมฝนที่ทรหดนี้ไม่ได้
ในขณะเดียวกัน
อีกฝั่งหนึ่ง ญาธิดาที่ไม่รู้หมดสติไปนานเท่าไหร่ ได้ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ พบว่าตัวเองนั้นนอนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ และเจ็บระบมไปทั้งตัว……
เมื่อสักครู่นี้หากไม่ใช่ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ขวางเธอไว้ เกรงว่าเธอก็คงจะกลิ้งตกลงไปจนไม่รอดชีวิตแน่
ญาธิดาสูดลมหายใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พยุงร่างให้ลุกขึ้นมานั่งพิงอยู่กับต้นไม้แล้วหายใจแรง ๆ
ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่และหนามาก หลบอยู่ด้านล่างต้นไม้สามารถกันฝนกันลมได้ แต่ว่าสถานที่แบบนี้อยู่นานไม่ได้ เพราะเป็นพายุฝนฟ้าคะนอง หากเกิดฟ้าผ่าลงมา เธออาจจะเสียชีวิตได้
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และมองไปยังรอบ ๆ หาสถานที่ที่สามารถหลบฝนได้ แต่หลังจากกวาดมองรอบ ๆ แล้ว นอกจากก้อนหินใหญ่ที่ลาดเอียงเล็กน้อยที่พอจะกำบังได้ ก็ไม่มีสถานที่อื่นที่สามารถหลบฝนได้เลย
จึงได้ไปหลบฝนอยู่ด้านหลังก้อนหิน เธอรู้สึกมีความเจ็บปวดลอยมาจากตรงน่อง เธอถึงได้สังเกตเห็นว่าตรงน่องนี้ไม่รู้ไปถูกครูดตอนไหนจนกางเกงขาด และมีรอยคราบเลือดยาว มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา มองดูสัญญาณที่มีไม่ถึงครึ่งขีด จึงเกิดความหวิว ๆ ขึ้นในใจ
หากว่าวันนี้เธอติดอยู่ที่นี่ทั้งคืน จะเกิดอะไรขึ้นจากนั้น เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่ว่าตอนนี้ ฝนไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาลงเลย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ร่างของเธอหนาวสั่นไปหมด เธอหยิบคุ้กกี้ที่พกมาด้วยจากกระเป๋า ยัดเข้าไปในปาก แต่ว่าร่างกายยังคงไม่รู้สึกความอบอุ่น
และในเวลานี้ นอกจากเสียงฝนตกที่ซู่ซ่าแล้ว ที่ไกล ๆ เธอยังได้ยินเสียงเรียกดังก้องกังวานขึ้นพร้อมกับเสียงฝน ที่เหมือนเป็นเสียงเรียกของคน
เธอจึงรีบเอียงหูฟังอย่างตั้งใจทันที ฟังเสียงที่ค่อย ๆ เข้ามาใกล้
เป็นเสียงเรียกของคนจริง ๆ ด้วย!
เธอลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจทันที แต่ทันทีที่น่องของเธอออกแรง ความเจ็บปวดก็ลอยมาอย่างฉับพลัน ขาเธอจึงอ่อนลง จนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น
“ญาธิดา!”
เสียงเรียกจากไกล ๆ ได้ใกล้เข้ามา เมื่อฟังเสียงเรียกนั้นอย่างชัดเจนแล้ว ตัวของญาธิดาเกิดความดีใจขึ้นทันใด
คิดไม่ถึงว่าจะมีคนออกมาตามหาเธอ!
เธอกัดฟันฝืนตัวให้ลุกขึ้นมา อยากจะตอบรับเสียงนั้น แต่ว่าเสียงที่เปล่งออกมานั้นกลับถูกเสียงฝนกลบลงทันที
“ญาธิดา!”
เสียงเรียกอันทรงพลังนั้นได้ลอยมา ตัวของญาธิดาหยุดชะงัก รู้สึกเสียงเรียกนั้นช่างคุ้นหูมากอย่างอธิบายไม่ถูก
เมื่อเสียงเรียกดังลอยมาอีกครั้ง เธอก็ฟังออกทันทีว่านั่นเป็นเสียงของภวินท์!
เธอจึงลุกขึ้นโดยไม่สนใจความเจ็บปวดตรงน่องอีก รีบเดินไปยังทิศทางของเสียงนั้น เดินใกล้เข้าไป
“ฉันอยู่ตรงนี้!”
เธอใช้แรงที่มีทั้งหมดตอบกลับเสียงนั้น มองหาร่างนั้นท่ามกลางความมืดอย่างร้อนรน
“ญาธิดา!”
เสียงดังกังวานและทรงพลังของภวินท์ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ดังใกล้ชัดเจนมากขึ้น
ทันใดนั้น ญาธิดาก็มองเห็นร่างราง ๆ ร่างหนึ่งปรากฏอยู่ไม่ไกล วินาทีนั้น ดูเหมือนจะมีแสงที่ส่องประกายความหวังให้กับเธอในทันที
ภวินท์ก็มองเห็นเธอ วินาทีที่ดวงตาทั้งคู่ประสานกัน หัวใจที่พะว้าพะวังของทั้งคู่ต่างโล่งขึ้นทันที
เธอรีบเดินไปหาเขาอย่างรวดเร็ว เขารีบสาวเท้าก้าวเดินมาทางเธอ แววตาต่างอบอุ่น ระยะทางของทั้งคู่ค่อย ๆ ใกล้กันขึ้น วินาทีนั้นพวกเขาต่างเป็นแรงประคองและความหวังของกันและกัน
ทันใดนั้น ขาของญาธิดาเกิดลื่นถลาล้มลงไปกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอกรีดร้องและร่างของเธอได้ไถลลงไปตามทางลาดเนินเขา!
เนินเขานี้ชันกว่าลูกที่เธอกลิ้งลงเมื่อสักครู่ บวกกับฝนที่ตกหนักเช่นนี้ ดินบนเนินเขาจึงนิ่มและลื่น เธอเสียการควบคุมตัว และลื่นไถลลงไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น ข้าง ๆ มีบางสิ่งกระโจนเข้ามา ญาธิดาถูกภวินท์โอบไว้ในอ้อมอก ทั้งคู่กอดกันแล้วกลิ้งตกลงไปตามเนินเขา
เสียงดัง “ตูบ!” ร่างของพวกเขากลิ้งลงในไปหลุมลึกขนาดใหญ่
หน้าคว่ำคะมำอยู่กับพื้น ญาธิดามึนงงอยู่ครึ่งค่อนวัน ถึงได้สติคืน เห็นภวินท์ที่รองร่างตัวเองอยู่ด้านล่าง จึงตกใจ แล้วรีบลุกขึ้นมา
ภวินท์ขมวดคิ้วเบา ๆ เม้มริมฝีปากบาง สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย
ญาธิดาสูบลมหายใจเข้าลึก ค่อนข้างเป็นกังวล “คุณเป็นอะไรไหม”
ภวินท์ส่ายหน้า พยุงร่างตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง แหงนหน้ามองบนยอดของหลุมที่สูงสองสามเมตร แล้วก็มองผนังหลุมซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการขุดจากฝีมือคน ดวงตาหม่นลงเล็กน้อย “นี่เป็นกับดักล่าสัตว์”
สถานการณ์ตอนนี้ ค่อนข้างไม่สู้ดี