ดวงใจภวินท์ - บทที่ 453 เธอคือฮีโร่
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน แพลตฟอร์มสื่ออย่างเป็นทางการของคิริน ได้ออกมาประกาศว่า ด้วยเหตุผลเรื่องตารางงาน พวกเขาได้ยุติสัญญาเพียงฝ่ายเดียว ยกเลิกงานถ่ายพรีเซนเตอร์ แล้วแสดงออกว่าหากมีโอกาสครั้งหน้าค่อยร่วมมือกันอีก
เพียงครู่เดียว เรื่องที่คิรินฉีกสัญญาก็กลายเป็นประเด็นร้อน กลบข่าวหุ้นร่วงของ STN Group ทันที
ทันทีทันใด ญาธิดาได้วิดีโอประชุมกับคุณบิ๊กสั้น ๆ ให้เขาแจ้งพนักงานทุกคนว่าเริ่มงานกันพรุ่งนี้ การถ่ายทำภาพยนตร์สั้นดำเนินตามแผนเดิม
วันรุ่งขึ้น เมื่อมาถึงกองถ่าย หลังจากที่พักผ่อนมาสองสามวัน คำบ่นพึมพำของพนักงานได้ลดลงไปแล้ว และเมื่อรู้ว่าหนิงหนิงได้ยุติการร่วมมือกับบริษัท พีพีมีเดีย ทุกคนต่างโล่งอก และทุ่มเทให้กับการทำงาน
ช่วงบ่ายวันแรกของการเริ่มงาน ญาธิดาคิดไม่ถึงว่าภวินท์จะมา
“เริ่มฉากนี้อีกครั้ง ปรับตำแหน่งการเดิน……”
ญาธิดานั่งอยู่หน้ากล้องมองภาพในเครื่องจับภาพ และชี้แนะนักแสดงที่อยู่ในฉากด้วยสีหน้าที่จริงจัง โดยที่ไม่รู้ว่าเยื้อง ๆ ด้านหลังมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจ้องมองเธออยู่นานแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดก็ถึงเวลาพัก ร่างที่ตึงเครียดของเธอได้ผ่อนคลายลง แล้วหยิบแก้วน้ำที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่มสองกึก
ข้าง ๆ มีคนเรียกขึ้น “คุณธิดา……”
“หือ”
ญาธิดาหันหน้าตามเสียง บังเอิญประสานตาเข้ากับคู่ดวงตาคมเข้มของชายหนุ่มพอดี หัวใจเธอหยุดชะงัก แล้วก็เต้นเร็วขึ้น
ภวินท์ยืนอยู่ไม่ไกล มองดูเธออย่างเกียจคร้านและผ่อนคลาย มุมปากยังมีรอยยิ้มจาง ๆ ท่าทีปฏิกิริยานั้น ช่างทำให้เธอหัวใจของเธอเต้นแรงจริง ๆ
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วปรับอารมณ์สีหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นเดินเข้าไปหา กล่าวทักทายอย่างตรงไปตรงมา “ สวัสดีค่ะคุณภวินท์”
“ตามผมมา”
ภวินท์เลิกคิ้วเบา ๆ เหลือบมองเธอแล้วก็หันหลังไป ก้าวเท้าตรงไปที่ห้องรับรอง
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก ลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สาวเท้าก้าวเดินตามไป
เดินเข้าไปในห้องรับรอง เธอหันไปมองด้านหลังไม่เห็นมีใครอื่น จึงได้เอ่ยปากถาม “จะให้เรียกคุณบิ๊กมาไหม”
“ไม่ต้อง” ภวินท์นั่งอยู่บนโซฟากล่าวอย่างใจเย็น “ผมมาหาคุณโดยเฉพาะ”
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เขาเน้นคำว่า “โดยเฉพาะ” ทำให้ญาธิดาใจสั่นขึ้น หันหน้าไปมองเขา “หาฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ”
ภวินท์หยุดชะงักครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “เรื่องวันนั้น……”
เขายังไม่ทันได้พูดจบ ญาธิดาก็รู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไรแล้ว
ครั้งก่อนที่พวกเขาเจอกัน ก็อยู่ในห้องนี้ เขากำชับกับเธออย่างจริงจังว่า อย่าได้ไว้ใจใครง่าย ๆ สงสัยว่าคิรินกับภูผานั้นจะสมรู้ร่วมคิดกัน และไม่กี่วันต่อมา เรื่องราวทั้งหมดได้พิสูจน์แล้วว่าเขาคิดผิด
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวเบา ๆ “คนเรามักจะมองผิดพลาดกันได้ ฉันเข้าใจ”
ได้ยินดังนั้น ภวินท์เม้มริมฝีปากบางเบา ๆ “คุณโกรธเหรอ”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ๆ “เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้ ไม่มีค่าพอที่ทำให้ฉันต้องโกรธ”
“ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ฉันไปทำงานก่อนนะ”
พลางพูดเธอพลางสาวเท้าจะเดินไป
“เดี๋ยวก่อน” ภวินท์ลุกยืนขึ้น เดินมาที่ข้าง ๆ เธอแล้วจับมือของเธอขึ้น “ผมมีของจะให้คุณ”
ญาธิดางุนงงเล็กน้อย เห็นเขาหยิบกล่องกำมะหยี่ที่ประณีตสีดำออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยื่นให้เธอจากนั้นกล่าว “พรุ่งนี้ผมต้องไปดูงานนอกสถานที่ จึงอยากมอบของขวัญวันเกิดล่วงหน้าให้คุณ”
ของขวัญวันเกิด?
ญาธิดาตะลึงครู่หนึ่ง นึกวันที่ขึ้นได้ ถึงได้รู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเธอ! และสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจยิ่งกว่าคือ ขนาดตัวเธอเองยังลืม แต่ภวินท์กลับจำได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเธอ!
เธอเงยหน้าขึ้น แล้วถามเขาด้วยสีหน้างง ๆ “คุณรู้ได้อย่างไร……”
ไม่รอให้เธอได้พูดจบ ชายหนุ่มก็ได้กล่าวตรง ๆ ด้วยเสียงเบา ๆ “ลองใส่ดูสิ”
ญาธิดาลังเลครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือมารับกล่องจากนั้นเปิดออก เส้นสร้อยคอไพลินทรงหยดน้ำวางอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีดำ ราวกับหยดน้ำตาที่กระจ่างใสแวววาว
หัวใจเธอสั่นขึ้น ตาเป็นประกายเล็กน้อย
เป็นสร้อยคอที่สวยมาก เธอชอบมาก
แต่ครึ่งวินาทีต่อมา เธอก็ตระหนักได้จึงรีบปิดกล่องทันที “ของแพงเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีความรู้เรื่องอัญมณี แต่พลอยแบบนี้ ราคาต้องไม่ถูกอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นภวินท์ให้อีก
ภวินท์กล่าวเบา ๆ “คุณคู่ควร”
ได้ยินดังนั้น การกระทำของญาธิดาก็หยุดชะงักชั่วขณะ และตกตะลึงอยู่กับที่
ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มยื่นมือมาหยิบสร้อยคอออกจากกล่อง แล้วอ้อมไปทางด้านหลังของญาธิดา สวมใส่ให้เธอ
ญาธิดารู้สึกเย็นที่คอ ก้มหน้ามองไพลินวาวใสวางอยู่เงียบ ๆ ระหว่างกระดูกไหปลาร้า ส่องประกายระยิบระยับแยงตา
ภวินท์มองดูเธอครู่หนึ่งแล้วกล่าวเบา ๆ “อย่าปฏิเสธเลย นี่คือสิ่งที่คุณควรได้รับ”
เดิมทีภูผาอยากจะใช้เรื่องของหนิงหนิงมาก่อกวนความวุ่นวาย สร้างเรื่องทำให้ STN Group ยิ่งวุ่นวายมากขึ้น แต่ใครจะไปรู้ สุดท้ายหนิงหนิงจะเลือกยุติการร่วมมือกับบริษัท พีพีมีเดีย โดยที่ไม่มีใครคาดคิด
เดิมทีเป็นศึกความคิดเห็นมติมหาชน แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นตัวเองที่เสียเปรียบ ทางฝั่งภูผาจึงทำได้เพียงยุติการโจมตี หยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว
และการต่อสู้อันเงียบสงบนี้ ญาธิดาก็คือฮีโร่
เผชิญหน้ากับการจ้องมองของหญิงสาว ภวินท์จึงกล่าวออกมาทีละทำ “รอผมกลับมาจากทำงาน”
รอเขากลับมา มีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ
พลางพูดพลางยื่นมือไปดึงประตู ทำท่าจะจากไป
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก เอื้อมมือออกไปคว้าแขนของเขาไว้ “รอเดี๋ยว……”
เธอยังไม่ทันได้พูดจบ ก็เห็นชายหนุ่มขมวดคิ้วฉับพลัน แขนที่ถูกเธอจับไว้ได้ดึงหดไปด้านหลังทันที
รู้สึกถึงความผิดปกติ ญาธิดาก้มหน้ามองแขนของภวินท์ แล้วกล่าวถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“เปล่า” ภวินท์สีหน้าดูปกติ เขาก็ดึงแขนของเขาออกจากมือของเธอ “เรื่องภาพยนตร์สั้นฝากคุณแล้วนะ ทางฝั่งคุณบิ๊ก ผมจะให้เขา……”
ญาธิดาไม่มีกะจิตกะใจฟังเขากำชับ เธอก้มหน้า แล้วมองแขนของภวินท์ ถึงได้พบว่าแขนของเขาข้างนี้หนากว่าอีกข้างหนึ่ง เหมือนกับถูกพันรอบด้วยบางอะไรบางอย่าง
เธอขมวดคิ้ว ยื่นมือออกมาและดึงแขนเสื้อขึ้นโดยไม่พูดอะไร ถึงได้พบว่าแขนของเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ”
ภวินท์ขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นชา “ไม่มีอะไร แค่ไปแตะโดนโดยไม่ทันระวัง”
ได้ยินดังนั้น ญาธิดาไม่เชื่อ มองเขาด้วยสายตาสงสัย “จริงเหรอ”
พลางพูดพลางยื่นมือไปปลดกระดุมแขนเสื้อเขาออกแล้วดึงขึ้น ผ้าพันแผลสีขาวพันแขนเขาเกือบทั้งแขน แสดงว่าบาดแผลนั้นยาวแค่ไหนกัน
ญาธิดาใจสั่นขึ้นทันที จมูกฟืดฟัด ปวดใจอย่างอธิบายไม่ถูก เธอเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่ขึ้นจมูก “คุณไปทำเรื่องที่อันตรายมาอีกแล้วใช่ไหม”
รู้จักเขามาตั้งนาน เธอจะไม่รู้ได้อย่างไร มีบางครั้งสิ่งที่เขาเผชิญนั้นอันตรายกว่าที่เธอคิด
“แผลเล็กน้อย”
ภวินท์ดึงมือของเขากลับอย่างใจเย็น หรี่ตามองหญิงสาวที่ดวงตาแดงก่ำ ใต้ดวงตาฉับพลันก็กระพือขึ้น “เป็นห่วงผมเหรอ”
ได้ยินดังนั้น ญาธิดาก็รีบปรับอารมณ์ทันที แล้วกล่าวอย่างใจเย็น “เปล่า เป็นเพียงมารยาทการถามไถ่ในฐานะผู้มีบุญคุณในการช่วยเหลือชีวิตเท่านั้น”
เขาเทียบฟ้าครั้งก่อน เธอยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย พูดตรง ๆ เขาคือผู้มีบุญคุณในการช่วยเหลือชีวิตของเธอ
“มารยาท?” ภวินท์ยิ้มเบา ๆ ยกมือขึ้นปิดประตูห้องรับรองอีกครั้ง แล้วหันมามองเธอ “ในเมื่อเป็นมารยาท แล้วคุณตาแดงทำไม”
เมื่อสักครู่ที่ตาของเธอแดงก่ำประหนึ่งเหมือนกับกระต่ายน้อยถูกคนรังแก เห็นแล้วเขาใจเต้นแรงปากแห้งอย่างอธิบายไม่ถูก
ญาธิดาแสร้งทำเป็นนิ่ง แล้วเอ่ยปากกล่าว “ฉันไม่ได้……”
เธอยังไม่ทันได้พูดจบ วินาทีต่อมา คางของเธอก็ถูกนิ้วที่เรียวยาวของชายหนุ่มเชยยกขึ้น
ฉับพลัน คู่สายตาของทั้งสองประสานกัน
และดวงตาของเธอเหมือนดั่งที่เขากล่าว แดงก่ำราวกับจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ