ดวงใจภวินท์ - บทที่ 478 ไม่เป็นไร
บทที่ 478 ไม่เป็นไร
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า ญาธิดานั่งรออยู่ที่โซนพักผ่อนตรงประตูลิฟต์ ที่นี่เป็นทางผ่านขึ้นลิฟต์ไปห้องผู้ป่วยอัญมณี หากพายุมา ก็จะต้องผ่านตรงนี้อย่างแน่นอน
ประตูลิฟต์เปิดออกแต่ละครั้ง ในที่สุดลิฟต์ก็หยุดที่ชั้นนี้อีกครั้ง ประตูค่อยเปิดออก ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้ามองไป เห็นพายุเดินออกมาจากข้างในพอดี
สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจมากที่สุดก็คือ เขาไม่ได้มาคนเดียว ภวินท์ออกมาจากลิฟต์ตามหลังเขาด้วย
หัวใจญาธิดากระตุก นึกถึงคำพูดที่ธีทัตนั้นบอกกับเธอก่อนหน้านั้น ทันใดนั้น ความรู้สึกเกลียดชังและความรู้สึกต่อต้านเกิดขึ้นในใจ ทำให้เธอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
เมื่อพายุเห็นเธอ ก็เดินเข้ามาแล้วจะพูดแต่ก็หยุดไป “อันอันเธอ……..”
ตอนนี้ ทุกคนล้วนอยากได้ยินข่าวดี แต่ก็ไม่อาจจะทำใจรับสิ่งเลวร้ายที่สุด
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พาเขาเดินไปตรงหน้าต่างข้างๆ ที่คนค่อนข้างน้อย แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “วันนี้คุณหมอบอกฉันว่า ตอนนี้อาการของอันอันไม่ค่อยดี เธออาจจะตื่นขึ้นมา และก็อาจจะไม่ตื่นก็ได้ กลายเป็น.….เจ้าหญิงนิทรา”
พูดพลาง เธอก็อดที่จะแสบจมูกสะอื้นเล็กน้อย
พายุตกตะลึงอยู่กับที่อยู่เนิ่นนานไม่พูดอะไร ในที่สุด เขาขยับสายตา ดึงสติคืนมา “เจ้าหญิงนิทราหรือ?”
ญาธิดาพยักหน้า
ทันใดนั้น รอบข้างราวกับหยุดนิ่ง พวกเขาทั้งสามคนไม่มีใครพูดอะไร
ในที่สุด พายุค่อยได้สติคืนมา ดวงตาแดงเล็กน้อย “สามารถรักษาได้ไหม?”
ญาธิดาตอบเสียงเบา “ทัตบกว่าได้หาหมอจากต่างประเทศแล้ว มีโอกาสดีขึ้น แต่รายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นต้องรอหมอมาถึงแล้วถึงจะยืนยันได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาพายุเป็นประกาย พยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นว่า “ไม่ว่าอย่างไร ผมจะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป ”
น้ำเสียงของเขาเบามาก แต่แน่วแน่ผิดปกติ ปนไปด้วยท่าทางที่ยากจะต่อต้าน
พูดพลาง พายุเงยหน้าขึ้น มองดูเธอแล้วกล่าวขึ้นว่า “ผมไปดูเธอก่อน ”
พูดจบ เขาหันหลัง เดินตรงไปทางห้องผู้ป่วยของอัญมณี
มองดูเงาหลังของชายหนุ่มที่จากไป ญาธิดารู้สึกเจ็บจี๊ดในหัวใจ เธอดูออกว่า พายุนั้นปฏิบัติกับอันอันด้วยความจริงใจ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เธอดึงสติคืนมา หันหน้าไปโดยไม่ตั้งใจ สายตาประสานเข้ากับดวงตาของภวินท์ที่อยู่ข้างๆ เธอสะดุ้งเล็กน้อย ครู่หนึ่ง ขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร หันหลังจะเดินไปทันที
เมื่อภวินท์เห็นเช่นนั้น ขมวดคิ้ว ยกเท้าเดินตามเธอขึ้นไป สองสามก้าวก็เดินไปถึงตรงหน้าเธอ ขวางทางของเธอไว้ทันที “ญาธิดาระหว่างเราไม่จำเป็นจะต้องเป็นแบบนี้ ”
ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากันเหมือนศัตรูทุกครั้งที่พบกัน ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นความสัมพันธ์ที่พูดคุยกันสักคำก็คิดว่ามากเกินไป และไม่จำเป็นต้องทำให้กลายเป็นแข็งกร้าวแบบนี้
ญาธิดากัดริมฝีปากแน่น ไม่ยอมพูด
ภวินท์เดินตามเธอไปเรื่อย แล้วกล่าวขึ้นว่า “ทำไมไม่ถ่ายหนังสั้นการกุศลแล้วหรือ? ยังมีสร้อยเส้นนั้น ทำไมคุณถึงให้คุณบิ๊กเอามาให้ผม?”
เมื่อได้ยินเนนั้น ญาธิดาหรี่ตาลง ในใจพอจะเข้าใจแล้ว ภวินท์น่าจะเคยไปที่กองถ่ายมาแล้ว และคุณบิ๊กก็ย่อมต้องส่งมอบของเหล่านั้นให้เขาอยู่แล้ว
หากตามแผนเดิม ตอนนี้เธอกับธีทัตได้พาลูกแฝดไปฝรั่งเศสแล้ว แต่วันตอนนี้ เพราะเรื่องของอันอัน พวกเขาต้องอยู่ต่อ ดังนั้นแผนการเดินทางทั้งหมดได้เลื่อนออกไป
ญาธิดากัดริมฝีปากแน่น ยังคงไม่ยอมพูดสักคำ
ในที่สุด ภวินท์ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย เขายื่นมือออกมา คว้าแขนของเธอไว้ แล้วดึงไปทางประตูลิฟต์ทันที
ญาธิดาตกตะลึง เสียงตะโกนเรียกเกือบหลุดออกมาจากในปาก “ภวินท์ คุณทำอะไร?”
เธอพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ก็ไม่ได้ผล แขนเหล็กของชายหนุ่มล็อกแขนเธอไว้แน่นๆ ไม่ให้โอกาสเธอได้ดิ้นหลุดเลย
พอดีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เธอถูกเขาดึงเข้าไปในลิฟต์ แล้วกดปุ่มลงไปหนึ่งชั้นทันที
ญาธิดาอายจนโกรธ จ้องมองเขาแล้วกล่าวว่า “คุณทำแบบนี้จะได้อะไร??”
เมื่อภวินท์ได้ยินเช่นนั้น เลิกคิ้วเล็กน้อย “ในที่สุดก็ยอมพูดแล้วหรือ?”
“หาที่สงบ เราค่อยๆ คุยกัน ”
ญาธิดาโกรธจนจะระเบิดออกมา ดิ้นรนไปมา ใครจะรู้ว่าจู่ ๆ ภวินท์ก็โผลเข้ามาหาเธอ กดเธอไว้ตรงผนังลิฟต์ทันที
ลิฟต์สั่นเล็กน้อย หัวใจญาธิดา “ตุ้มๆ ต่อมๆ ” ประหม่าเล็กน้อย
ภวินท์ก้มหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “ขยับอีก ลิฟต์ก็จะเสีย เราไม่ต้องออกไปแล้ว ”
คำพูดนี้ได้ผลอย่างไม่คาดคิด ญาธิดาตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับอีก
ไม่นาน ลิฟต์ถึงชั้นหนึ่ง ประตูค่อยๆ เปิดออก ภวินท์ดึงเธอก้าวเดินออกไป ดึงเธอเดินไปถึงสวนดอกไม้หลังโรงพยาบาลทันที
หลังจากเดินไปตามทางที่ปูด้วยหินสักระยะแล้ว ในที่สุดญาธิดาก็ได้โอกาส ใช้แรง ดิ้นหลุดจากมือของเขา ถอยหลังไปสองก้าว มองดูเขาด้วยสายตาระมัดระวัง “จะพูดอะไร พูดตรงนี้เถอะ ”
ภวินท์หันหลัง ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองดูเธอ เขาหยุดไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า “หนังสั้นการกุศลไม่คิดจะถ่ายแล้วหรือ?”
ญาธิดาก็ไม่อยากจะอ้อมค้อม ยอมรับทันที “อืม ไม่ถ่ายแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าภวินท์มีประกายความประหลาดใจ ครู่หนึ่ง เขาเดินเข้าไปชิดเธอเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “ไม่อยากได้คลิปนั่นแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ญาธิดายิ้มเยาะ มองดูเขาด้วยสายตาเย็นชา “ภวินท์ นอกจากใช้คลิปนี้มาแบล็กเมล์ฉันแล้ว คุณยังทำอะไรเป็นบ้าง!”
เธอกัดฟันแน่น พูดต่อทีละคำทีละประโยคว่า “คลิปนั้น ฉันไม่สน คุณอยากจะเอาไปเปิดเผยก็ดี จะทำลายก็ช่าง ฉันไม่สนแล้ว ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ภวินท์ขมวดคิ้วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เขาไม่คิดว่า ท่าทีของญาธิดาจะกลายเป็นแข็งกร้าวแบบนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าอย่างน้อยสามารถใช้คลิปนี้เพื่อรั้งเธอไว้ข้างกายได้ชั่วคราว แต่วันนี้ท่าทีที่เปลี่ยนไปนั้นอยู่นอกความคาดหมายของเขา
หลังจากรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว ภวินท์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามขึ้นว่า “คุณคิดจะไปจากเมืองJหรือ?”
ญาธิดากัดฟัน ยอมรับโดยตรง “ใช่ ”
ไปจากเมืองJ ไปจากเขา เป็นสิ่งที่เธอคิดมาตลอด แต่ตอนนี้เพราะนิวรา แผนทั้งหมดเปลี่ยนไปหมดแล้ว!
พูดไปแล้ว ทั้งหมดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับภวินท์!
นึกถึงอัญมณีที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ญาธิดายิ่งขุ่นเคือง เธอกัดฟันแน่น มองดูชายหนุ่มตรงหน้า จู่ ๆ คิดอะไรขึ้นมาได้ อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าคุณไปตรวจสอบเรื่องที่ฉันถูกลักพาตัวครั้งก่อนด้วย ”
ภวินท์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าเธอจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้รวดเร็วขนาดนี้
หยุดไปครู่หนึ่ง เขาตอบรับ “อืม”
ญาธิดาเจ็บจี๊ดที่หัวใจ มือที่วางอยู่ข้างลำตัวกำแน่นโดยไม่รู้ตัว แล้วถามต่อว่า “สรุปแล้วอย่างไร?คนที่ลักพาตัวฉันเป็นใคร?”
ทันใดนั้น สีหน้าภวินท์เปลี่ยนไป ท่าทางจริงจังขึ้นมา
รออยู่เนิ่นนาน ไม่ได้คำตอบจากเขา ญาธิดาอดที่จะยิ้มเยาะเย้ยไม่ได้ “ดูไปแล้ว คุณรู้แล้วว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแล้ว ”
ภวินท์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “เรื่องนี้ผมจะจัดการเอง แล้วผมจะให้ความยุติธรรมกับคุณ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ญาธิดายิ้มเยาะเย้ยออกมา
เธอเดามานานแล้ว ภวินท์ไม่ยอมพูดอย่างแน่นอน
และเธอ ก็มั่นใจบางอย่างจากปฏิกิริยาของเขาแล้ว คนที่ทำให้ภวินท์สามารถปกป้องได้ขนาดนี้ นอกจากนิวรา น่าจะไม่มีคนที่สองแล้ว?
แล้วเรื่องอุบัติเหตุรถของอันอันครั้งนี้ ภวินท์ก็น่าจะรู้ด้วยเหมือนกัน เขาไม่ยอมพูด ก็เพื่อจะปกป้องนิวรา
ทันใดนั้น หัวใจญาธิดาเย็นวาบ เธอมองดูชายหนุ่มตรงหน้า ในใจเต็มไปด้วยความผิดหวัง
สุดท้าย เธอส่ายหัวไปมา “ภวินท์ พวกเราจบกันแค่นี้เถอะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อย่าเจอกันอีกเลย”
พูดจบ เธอหันหลังก็จะเดินจากไป