ดวงใจภวินท์ - บทที่ 491 ให้เธอเผยพิรุธ
บทที่ 491 ให้เธอเผยพิรุธ
ญาธิดาลำคอเกร็ง ตามด้วยหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ คำพูดของเขาราวกับคำสาป ทำให้เธอสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก
เขาบอกว่ารอเธออยู่ตั้งนานแล้ว แต่ข้อความที่เธอได้รับจากเขา ไม่น่าจะเกินยี่สิบนาทีก่อนหน้านี้ หรือว่าเขามาถึงตั้งนานแล้ว
เธอชะงักครู่หนึ่ง ได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ บนตัวของเขา จึงเกิดความลังเล จากนั้นเอ่ยปากถาม “รอนานแค่ไหนแล้ว”
“ชั่วโมงกว่าๆ” ภวินท์ตอบรับแบบลวกๆ จากนั้นก็ยืนตัวตรง มองเธอแล้วกล่าว “อยากจะเจอเธอ ก็เลยมา”
เวลานี้ ภวินท์พูดจาไม่อ้อมค้อมแล้ว ตรงไปตรงมา ญาธิดาได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าววูบวาบอย่างอธิบายไม่ถูก
เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองไปทางเขา แล้วกล่าว “พูดแผนการเถอะ”
ภวินท์พยักหน้า สีหน้าเริ่มจริงจัง จากนั้นกล่าวทีละคำ “วันมะรืนนี้ ผมจะพานิวราไปที่ร้านอาหารเก็นติ้ง……”
ขณะเดียวกัน บนระเบียงห้องนอนชั้นสองของวิลล่าที่อยู่ไม่ไกล ธีทัตยืนอยู่ตรงนั้น จ้องมองภาพฝั่งนั้นอย่างจดจ่อ ปลายนิ้วที่จับแก้วน้ำไว้ได้กลายเป็นขาวซีดอย่างช้าๆ
เพียงแวบเดียว เขาก็มองออกว่าชายหนุ่มนั้นคือภวินท์ สามารถทำให้ญาธิดายอมออกมาพบในเวลาเช่นนี้ได้ นอกจากภวินท์แล้ว ก็ไม่มีคนใครอื่นแล้ว
ธีทัตรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ก้นบึ้งหัวใจ พร้อมกับความกังวล เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จากนั้นโยนแก้วน้ำในมือทิ้งลงไปในถังขยะที่อยู่ด้านข้าง แล้วเบิกตามองไปทิศทางนั้นอีกครั้ง โดยไม่ขยับเขยื้อน
หลายปีมานี้ เขาไม่เคยทำอะไรที่เสียใจต่อญาธิดากับลูกแฝด แต่ว่าเธอกลับดุจดั่งภูเขาน้ำแข็ง ที่ต่อให้อบอุ่นแค่ไหนก็ไม่ยอมละลาย ส่วนภวินท์กลับเข้าหาเธอ เข้าใกล้เธอได้อย่างง่ายดาย!
ความโกรธเต็มไปทั่วหัวใจ อยู่เป็นเวลานานและไม่จางหาย ทันใดนั้น เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินออกไปด้านนอก……
ใต้ต้นไทรต้นใหญ่ ญาธิดาฟังภวินท์อธิบายถึงแผนการของเขาหนึ่งรอบ ในใจเข้าใจคร่าวๆ แล้ว เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าสบตากับคู่ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้น จากนั้นกล่าวเบาๆ “ฉันเข้าใจแล้ว”
แผนการที่ภวินท์กล่าวมา ถึงแม้จะไม่สามารถยืนยันได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถทำให้นิวราเผยพิรุธออกมาได้ ขอเพียงพวกเขาสามารถจับพิรุธได้ ก็สามารถสืบหาความจริงได้
แผนการนี้ยังเป็นแผนที่มีความเป็นไปได้ สำหรับพวกเขาที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากในตอนนี้
“อย่างนั้นพวกเราก็ดำเนินการตามแผน” ญาธิดาชะงักครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “เอาล่ะ ฉันขอตัวก่อน คุณก็กลับเถอะ”
เมื่อกล่าวจบ เธอก็เหลือบมองภวินท์แวบหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ หันหลังไป ใครจะไปรู้ ทันใดนั้นข้อมือของเธอถถูกรัดแน่นขึ้น ถูกคนคว้าไว้
“ญาธิดา”
ภวินท์ก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าวดึงเธอไว้
ญาธิดาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในร่างกายของเขาอย่างชัดเจน ลมหายใจของชายหนุ่มได้ห่อหุ้มตัวเธอไว้ การหายใจของเธอก็เริ่มผิดปกติเล็กน้อย
เขาเอ่ยปากกล่าว “อยู่คุยเป็นเพื่อนผมหน่อย”
ญาธิดาใจบีบรัดขึ้น ไม่รู้ว่าควรจะตกลงหรือปฏิเสธดี ทันใดนั้น โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อคลุมได้ดังขึ้น
เธอหยิบออกมาดู เห็นที่หน้าจอกะพริบชื่อ “ธีทัต” ลังเลครู่หนึ่ง แล้วก็กดรับสาย “ฮัลโหล”
“ธิดา คุณอยู่ไหน อีธานตกเก้าอี้!”
ได้ยินดังนั้น ญาธิดาก็ใจสั่นขึ้น กล่าวอย่างลนลาน “อะไรนะ!”
เสียงเคร่งขรึมของธีทัตลอยดังขึ้น “หัวเข่าของเขาถลอก ตอนนี้ผมกำลังจัดการแผลให้กับเขา…”
ทันใดนั้น ญาธิดาก็ผุดความรู้สึกผิดในใจ จากนั้นกล่าวรัวๆ “ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้!”
พลางพูดเธอพลางวางสาย แล้วหันไปมองภวินท์ที่อยู่ข้างๆ “มีอะไรค่อยคุยกันครั้งหน้านะ”
กล่าวจบ เธอก็หันหลังแล้วสาวเท้าวิ่งไปทางคฤหาสน์ทันที
ภวินท์ยืนอยู่ด้านหน้ารถ มองดูร่างของเธอที่ยิ่งเดินยิ่งไกลออกไป สายตาหม่นลงเล็กน้อย
ครู่หนึ่ง มองดูร่างของหญิงสาวหายลับไปจากประตูคฤหาสน์ เขาถึงได้หันหลังขึ้นรถไป
หลังจากปิดประตูรถ เขาก็หยิบกล่องออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดออก ด้านในนั้นเป็นสร้อยคอไพลินเส้นนั้น
เดิมที เขาอยากจะคืนให้กับเจ้าของเดิม
เพราะสร้อยคอเส้นนี้ ในความคิดของเขา แต่เดิมเป็นของญาธิดา
ช่างเถอะ ค่อยให้เธอครั้งหน้าก็แล้วกัน
เขาเก็บสร้อยคอเงยหน้าขึ้นมองไปด้านหน้า จากนั้นกล่าวกำชับคนขับรถให้เคลื่อนรถออก
ในคฤหาสน์
ทันทีที่ญาธิดาเข้าประตูมา เธอไม่แม้แต่จะเปลี่ยนรองเท้า ก็กวาดมองรอบๆ ไม่เห็นร่างของพวกเขา จึงรีบขึ้นไปบนห้องนอนที่อยู่ชั้นสองทันที
กำลังจะถึงหน้าบันได เธอก็ได้ยินเสียงเบาๆ มาจากห้องเด็ก เธอจึงรีบเดินไปข้างหน้าแล้วผลักประตู ก็เห็นอีธานนั่งอยู่บนเก้าอี้ และธีทัตกำลังช่วยเขาพันบาดแผล เอลล่านั่งอยู่ข้างๆ ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
ญาธิดาหัวใจบีบรัดขึ้น รีบเดินหน้ามาทันที “เกิดอะไรขึ้น”
ธีทัตได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมองญาธิดา ดวงตาประกายแสงสีดำหม่น “ธิดา คุณกลับมาแล้วเหรอ”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก พยักหน้า ก้มหน้ามองตรงไปที่หัวเข่าของอีธานเห็นมีรอยบาดแผลแดงที่ขนาดเท่าเหรียญบาท จึงขมวดคิ้วขึ้น “นี่ล้มยังไง”
อีธานมองญาธิดาด้วยความหวาดกลัว “แม่ครับ หนูขอโทษ หนูปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ ไม่ทันระวังจึงตกลงมาครับ”
ญาธิดาขมวดคิ้ว ขยับริมฝีปาก กำลังคิดอยากจะตำหนิเขาสักหน่อย ธีทัตที่อยู่ข้างๆ ได้เอ่ยปากขึ้น “เรื่องนี้ความจริงแล้วต้องโทษผม หากตอนนั้นผมเห็นเขาปีนเก้าอี้ ผมคงจะห้ามเขาไว้ และเขาก็คงจะไม่ตกลงมา”
ญาธิดาทั้งสงสารทั้งโมโห มองดูธีทัตแล้วก็มองท่าทางที่หวาดกลัวของลูกแฝด ทำให้ไม่สามารถเปล่งคำตำหนิที่ติดอยู่ริมฝีปากออกมาได้
เธอชะงักครู่หนึ่ง “ไม่โทษพวกคุณหรอก รีบจัดการบาดแผลเถอะ”
หากจะถามหาว่าเป็นความผิดของใครแล้วจริงๆ อย่างนั้นเธอก็คงจะหนีไม่พ้นเช่นกัน หากว่าเมื่อสักครู่เธอไม่ออกไปพบภวินท์ คอยอยู่ข้างๆ พวกเขาตลอดเวลา เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
อีธานเห็นญาธิดาไม่โกรธ จึงแอบถอนใจโล่งอก
ธีทัตได้ยินดังนั้น นัยน์ตาก็หม่นลงเล็กน้อย ไม่เปล่งเสียงใดๆ ก้มหน้าก้มตาพันแผลอย่างรวดเร็ว
อันที่จริง เขาเห็นตอนที่อีธานปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ และก็รู้ด้วยว่าขาเก้าอี้นั้นไม่มั่นคง แต่ว่าวินาทีนั้น เมื่อนึกถึงเรื่องที่ญาธิดาออกไปพบภวินท์ เขาก็รู้สึกเซ็งข้างในอย่างอธิบายไม่ถูก เขาจึงไม่อยากจะเตือนเขา ห้ามเขา และมองดูเขาตกลงมาด้วยตาปริบๆ
วินาทีที่เห็นอีธานตกลงมาที่พื้น ในใจของเขากลับมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก
จากนั้น เขาก็ไม่พูดอะไร รีบโทรศัพท์เรียกญาธิดากลับมา
ทันทีที่เห็นเธอปรากฏตัวอยู่ที่ประตู หัวใจที่พะว้าพะวังก็ได้เบาลง
เขารีบพันบาดแผลให้เสร็จอย่างรวดเร็ว คอยอยู่ข้างๆ ญาธิดาในการปลอบโยนอีธานให้สงบ จากนั้นถึงได้จากห้องเด็กๆ ไปพร้อมกับเธอ
ปิดประตูห้องแล้ว เขาเหลือบมองด้านข้างของหญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วก็ถามขึ้น “ธิดา เมื่อกี้คุณไปไหนมา ผมคิดว่าคุณอยู่ในห้องนอนเสียอีก”
ญาธิดาหลบสายตาอย่างไม่รู้ตัว “เปล่า ฉันออกไปเดินเล่นมา…”
เวลานี้เธอจำเป็นต้องโกหกธีทัต เพราะถ้าเธอยอมรับว่าเธอออกไปพบภวินท์ ธีทัตจะต้องเข้าใจผิดแน่ๆ และเพื่อทำการอธิบาย เธอจะต้องเล่าเรื่องที่ร่วมมือกับภวินท์ออกมา
เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด รอให้แผนการของเธอกับภวินท์ดำเนินเสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที
ธีทัตได้ยินดังนั้น ฉับพลันแววตาก็หม่นลงเล็กน้อย ความผิดหวังใต้ดวงตาค่อยๆ จางหายไป พยักหน้เบาๆ แล้วก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่องสนทนา “วันนี้คุณเจมส์บอกกับผมว่า ถ้าสถานการณ์ราบรื่น พวกเราก็จะเริ่มเดินทางกันสัปดาห์หน้า”
ได้ยินดังนั้น ญาธิดาก็พยักหน้า “ค่ะ สองสามวันนี้ฉันก็จะเริ่มเก็บข้าวของ คุณก็เข้านอนเร็วๆ นะคะ”
พลางพูดเธอพลางเดินไปยังห้องนอนของตัวเอง
ทันใดนั้น ด้านหน้าได้มืดฉับพลัน ธีทัตเดินมาที่ด้านหน้าของเธอ แล้วขวางทางของเธอไว้ จากนั้นก็จับของเธอขึ้น
สายตาของชายหนุ่มที่จริงใจรักใคร่เสน่หา “ธิดา หลังจากจัดการเรื่องของอันอันเสร็จแล้ว พวกเราจัดงานแต่งงานย้อนหลังกันดีไหม”