ดวงใจภวินท์ - บทที่ 503 เขาคือคนของภูผา
หลังจากกระซิบกระซาบข้างหูกันแล้ว ภูผาก็มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม พูดเบาๆว่า “เรื่องนี้สำหรับเธอแล้ว น่าจะไม่ยาก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเกล้าแก้วเจื่อนลงเล็กน้อย ดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ “แบบนี้ ก็ได้แล้วเหรอคะ”
ภูผาค่อยๆพยักหน้า “อืม”
เป็นเรื่องที่ง่ายมากเรื่องหนึ่ง สำหรับเกล้าแก้วในตอนนี้ มันง่ายจนแทบไม่ต้องออกแรง แต่กลับทำให้เขาเอาภวินท์ได้อยู่หมัด สิ่งที่ภวินท์ติดค้างเขา ติดค้างสิงโต ก็ควรจะต้องจบสิ้นเสียที
เขาเงยหน้า มองเกล้าแก้วด้วยสีหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง มือที่วางบนเอวเธอค่อยๆจับแน่นขึ้น เลื่อนผ่านเอวคอดกิ่วของเธอ เอ่ยเบาๆ เป็นการเตือนว่า“ต้องกลับไปแล้วใช่มั้ย”
เกล้าแก้วดึงสติกลับมา เหลือบมองดูเวลา ก็รีบตั้งสติ “ใช่ค่ะ ควรจะต้องกลับไปแล้ว!”
พูดพลาง เธอก็ผลักประตูลงจากรถ ใครจะไปรู้ว่าจู่ก็ถูกชายหนุ่มดึงกลับมา เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกเขาประทับริมฝีปากลงมาแล้ว
จูบอันอบอุ่นและลมหายใจที่สอดประสานกัน ทำให้เธอไม่อยากจะตื่นขึ้นมาจากช่วงเวลาหวานชื่นไปชั่วขณะ ขณะที่ทั้งสองคนแทบจะอดใจไม่ไหวนั้นเอง เกล้าแก้วผลักเขาออก พูดด้วยใบหน้าแดงเรื่อว่า “พอแล้ว ฉันต้องกลับไปแล้วค่ะ!”
เห็นท่าทางเขินอายจนหน้าแดงของเธอ ภูผาก็หัวเราะเบาๆ สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือ
เกล้าแก้วผลักประตูลงจากรถ หันกลับไปมองเขาอีกครั้ง แล้วจึงปิดประตูเดินจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
เธอตกอยู่ในความรักอันแสนหวานของเด็กสาวตัวเล็กๆคนหนึ่ง ดึงเสื้อผ้าให้เรียบ ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปในโรงพยาบาลอย่างรวเร็ว โดยที่ไม่ได้สังเกตรอบๆเลย
อีกด้านของประตูโรงพยาบาล ภวินท์กับพายุเดินตามกันออกมา ภวินท์สีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย หลังจากเดินมาสองสามก้าว จู่ก็ขมวดคิ้ว เขาเหลือบมอง เห็นรถสีดำเพิ่งสตาร์ทที่อยู่ข้างทางฝั่งตรงข้าม นัยน์ตาก็มีความระแวดระวังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
พายุเองก็สัมผัสอะไรบางอย่างได้อย่างว่องไว สายตาจับจ้องไปที่ป้ายทะเบียนของรถคันนั้น “นั่นเหมือนรถของคุณภูผาเลยครับ”
ภวินท์สีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย พูดอย่างเยือกเย็นว่า “เขามาทำอะไร”
พายุนิ่งเงียบ
ภวินท์หันไป มองเห็นผู้หญิงที่สวมชุดพยาบาลคนนั้นในห้องโถง เกิดความสงสัยในใจ เขาสั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไปลองสืบดูหน่อย”
ภูผาไม่มีทางมาปรากฏตัวที่นี่โดยไม่มีเหตุผลเด็ดขาด เขาเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่รู้ว่ากำลังเคลื่อนไหวและวางแผนอะไรอยู่ ดังนั้นต้องระมัดระวังตัวไว้ก่อน
พายุรับคำ นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ พูดด้วยท่าทีลังเลว่า “งั้นทางคุณญาธิดา ต้องนัดเธอออกมามั้ยครับ”
คลิปกรีดข้อมือของนิวราที่ถูกเผยแพร่ออกมาในครั้งนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับญาธิดา พวกเขามาก็เพื่อที่จะมาดูลาดเลา แต่จู่ๆภวินท์ก็จากไปแบบนี้ เท่ากับว่ามาเสียเที่ยวแล้ว
สีหน้าภวินท์เย็นยะเยือกลงอย่างเห็นได้ชัด แฝงด้วยความเฉยชาเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง “ตอนนี้ยังไม่ต้อง”
เรื่องนี้ สักวันเขาต้องไปหาญาธิดาอีก ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน พอในหัวนึกถึงภาพแห่งความสุขของครอบครัวสี่คน ในใจเขาก็เหมือนมีสิ่งของอะไรบางอย่างมาอุดกั้นเอาไว้อย่างนั้น
เวลานี้เอง เสียงโทรศัพท์มือถือของพายุก็ดังขึ้นมา เขารับสาย พูดสองสามประโยค ไม่นานก็มารายงานสถานการณ์กับพายุ “ท่านประธาน ถ้าเป็นแบบที่คุณคิด พวกของชนัดพลคงนั่งไม่ติด คนของเราบอกว่าพวกเขานัดเจอกับพวกผู้ถือหุ้นทั้งรายเล็กรายใหญ่”
แววตาภวินท์ดำดิ่งลง ในชั่วพริบตา ส่งเสียงฮึ่มพูดว่า “ชนัดพลจะวุ่นวายมากเกินไปแล้ว ฉันจะคอยดู ว่าเขาคิดจะทำอะไร!”
ไม่สามารถเอาสิ่งที่ตนเองต้องการจากเขาได้ ชนัดพลก็จำเป็นต้องใช้วิธีการอื่น
สองวันนี้ ความขัดแย้งที่เกี่ยวกับSTN Groupและบริษัทวรโชติก็ยังคงสะสมต่อมาเรื่อยๆ
หุ้นของบริษัทวรโชติร่วงลง ชนัดพลนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว เขาจึงนัดผู้ถือหุ้นแต่ละคนของSTN Groupมาพูดคุย ตีกอล์ฟ แข่งม้า อาบอบนวด เล่นไพ่…การสันทนาการต่างอีกมากมาย
พวกเขาประมาทเลินเล่อภายใต้สายตาของภวินท์ ภวินท์ทำเป็นมองไม่เห็น ไม่พูดอะไร ไม่ได้ทำอะไรเลย
พวกผู้ถือหุ้นของSTN Groupจากที่กล้าๆกลัวๆในตอนแรก ต่อมาก็ปล่อยวางความหวาดระแวงลง เมื่อแต่ละคนได้รับการปรนเปรอจากทางชนัดพลนั้นแล้ว ทุกคนก็เปลี่ยนเป็นทำตามอำเภอใจโดยไม่ยำเกรงใคร
วันที่สาม บนโต๊ะอาหาร ในที่สุดชนัดพลก็แบไต๋ออกมา เขาดื่มอวยพรให้รอบโต๊ะก่อน จากนั้นลุกขึ้นอย่างโงนเงน “ทุกท่าน หลายวันนี้ ให้ทุกท่านได้สนุกเป็นเพื่อนกับผม ไม่เคยพูดคุยเรื่องงานเลย ไม่เคยพูดอย่างเป็นงานเป็นการ แต่วันนี้ ผมมีเรื่องจำเป็นต้องพูดกับทุกท่าน”
บนโต๊ะอาหาร มีคนให้ความร่วมมือ “คุณชนัดพล มีเรื่องอะไรก็บอกมาตรงๆได้เลยครับ”
“ใช่ครับ พูดมาตรงๆเลยเถอะครับ!”
“ได้!” ชนัดพลก้มหน้าดื่ม “อย่างนั้นผมก็พูดอย่างไม่ปิดบังเลยแล้วกันนะ! พวกคุณเองก็น่าจะรู้ดี ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของผมกับคุณภวินท์ของพวกคุณ ผมเป็นพ่อตาเขา ลูกสาวผมเป็นภรรยาเขา แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนทำให้ผมเสียหน้าอย่างมาก!”
พูดพลาง เขาก็ยื่นมือขวาออกมา ตบหน้าตัวเองอย่างแรง
ผู้คนต่างค่อยๆนิ่งเงียบ มองดูเขา ไม่มีใครพูดอะไร
ในวันนี้ความขัดแย้งของSTN Groupและบริษัทวรโชติเป็นเรื่องที่พูดถึงกันอย่างมาก นี่เป็นความจริงที่ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ เรื่องที่หลายวันก่อนชนัดพลพาพวกนักเลงอันธพาลไปทุบทำลายห้องโถงของSTN Groupแม้จะไม่ได้เป็นข่าวโด่งดังอะไร แต่ในวงในก็มีคนรู้เรื่องไม่น้อย
ช่วงสองสามวันนี้ เขาแสดงท่าทีเป็นมิตรและเอาใจผู้ถือหุ้นของSTN Group ยิ่งเป็นการแสดงความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างชัดเจน ทุกคนต่างก็รู้ดี แต่ก็ต้องเล่นสนุกเป็นเพื่อนเขาต่อไป คนที่จงรักภักดีกับบริษัทวรโชติอยากจะดูว่าชนัดพลคิดจะทำอะไรกันแน่ ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยบางคนต้องการดูว่าพวกเขาจะได้ผลดีอะไรหรือไม่
“ผมชนัดพล ไม่ได้มีข้อดีอะไร แต่ก็มีนิดหน่อย คือผมแบ่งแยกความรักความเกลียดชังอย่างชัดเจน ผ่านมาจนถึงวันนี้ ผมก็มองเห็นได้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า ถ้า STN Groupต้องการความเจริญก้าวหน้าในอนาคต ก็ต้องเปลี่ยนผู้นำ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวของตระกูลสถิรานนท์ พวกคุณเข้าใจมั้ยครับ”
เขาพูดพลาง ยกแก้วเหล้าขึ้นมา กวาดสายตามองไปรอบๆ
คำพูดของเขาพูดอย่างกระจ่างชัด คนส่วนใหญ่ต่างก็เข้าใจได้ เขากำลังจะบอกว่าภวินท์ผู้นำของSTN Groupไม่ได้เรื่อง อีกอย่างยังมองข้ามอีกทางเลือกหนึ่งด้วย
ตระกูลสถิรานนท์นอกจากภวินท์แล้ว อีกคนที่มีคุณสมบัติเป็นทายาทสืบทอดกิจการก็มีเพียงภูผา
เขาพูดขนาดนี้แล้ว ผู้คนต่างก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคนของฝ่ายไหน
การต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังของภวินท์และภูผาไม่เคยยุติเลย มาวันนี้ที่เขาพูดแบบนี้ แค่ต้องการซื้อใจคนอื่นแทนภูผา
“ถ้าจะให้ผมพูด สู้ทุกคนลองดูเองจะเข้าใจได้มากกว่า STN Group ภายใต้การนำของผู้นำคนใหม่ ต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่งขึ้นแน่นอน และคนที่เคยสนับสนุนเขา ล้วนเป็นวีรบุรุษ!”
ทันใดนั้น ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ ผู้คนต่างเงียบกริบ ไม่มีใครปริปากพูดอะไรเลย
วันนี้ คนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ล้วนเป็นผู้ถือหุ้นและผู้บริหารชั้นสูงของ STN Grou ชนัดพลทำแบบนี้ ถือเป็นการยุยงปลุกปั่น ถ้ามีคนสนับสนุนภูผา เช่นนั้นอำนาจในการปกครองก็จะค่อยๆโอนย้ายถ่ายเทไป การคานอำนาจของภวินท์ก็จะหายไป
หลังจากนั้นพักใหญ่ ผู้ถือหุ้นที่ค่อนข้างอาวุโสคนหนึ่งเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “คุณชนัดพล ที่แท้ความคิดของคุณก็เป็นแบบนี้นี่เอง สู้คุณบอกทุกคนไปเลยว่า ภูผาให้ผลประโยชน์คุณมากแค่ไหน”
พอเขาพูดประโยคนี้ออกมา สีหน้าชนัดพลก็เครียดลงเล็กน้อย เขามองคนผู้นั้นด้วยสายตาคมกริบ จากนั้นก็หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ผมก็แค่แสดงความคิดของผมเท่านั้นเองครับ ไม่เคยบีบบังคับใครมาก่อน คุณรัฐภูมิ คุณพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ!”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแปลกๆไปเล็กน้อย แม้ชนัดพลจะแสดงออกแบบนี้ แต่ทุกคนต่างก็รู้ดี ว่าเขาเป็นคนของภูผา