ดวงใจภวินท์ - บทที่ 516 หลานสะใภ้เพียงหนึ่งเดียว
บทที่ 516 หลานสะใภ้เพียงหนึ่งเดียว
เป็นครั้งแรกที่มาที่นี่ ญาธิดาหาตำแหน่งสถานที่ไม่เจอ จึงได้ขอให้เจ้าหน้าที่ตามไปด้วย
เดินไปได้ไม่ไกล ผ่านป่าต้นสนที่สูงหนึ่งเมตร พวกเขาก็มาถึงสุสาน มองออกไปไกลๆ เห็นหลุมสุสานเป็นแถวๆ แต่ละหลุมเป็นกล่องเล็กๆ บรรจุวิญญาณของผู้ตายแต่ละคน
เจ้าหน้าที่ชี้ไปทิศทางหนึ่ง “ขึ้นจากตรงนี้ นับจากตรงนั้นแถวที่สาม เข้าใกล้ตำแหน่งตรงกลาง คุณก็จะมองเห็นครับ”
ญาธิดาพยักหน้าไปทางเขาเพื่อขอบคุณ จากนั้นเดินขึ้นบันไดหินสีขาวทั้งสองข้างเพียงลำพัง และเดินตามต้นสนขึ้นไป
เดินผ่านครึ่งสุสานได้ เธอเดินเข้าไปใกล้สถานที่ตามที่เจ้าหน้าที่บอกเมื่อสักครู่ ก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ดังมาจากทางนั้น
เนื่องจากการบดบังของต้นสน เธอมองไม่เห็นเงาร่างคน จึงยิ่งเดินเข้าไปด้านใน เดินไปเรื่อยๆ จนถึงแถวแรก ถึงได้หมุนตัว
ในแถวตรงกลางสุสานของภวินท์นั้น มีคนสองสามคนยืนอยู่ และเสียงสะอื้นก็มาจากตรงนั้น
ญาธิดาลังเลครู่หนึ่ง หายใจเข้าลึกๆ จากนั้นสาวเท้าเดินเข้าไป
เดิมทีเธอนึกว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวจากสุสานอื่นที่มาเซ่นไหว้ แต่ใครจะไปรู้เมื่อเดินเข้าไปใกล้ แล้วเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของคนเหล่านั้น เธอก็ต้องตกใจขึ้น
คนที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางเป็นคุณย่าของตระกูลสถิรานนท์! ชายหนุ่มสองคนท่าทางคล้ายบอดี้การ์ดยืนอยู่ข้างๆ และผู้หญิงวัยกลางคนอีกหนึ่งคนดูเหมือนเป็นคนรับใช้ที่ติดตามมาด้วย
ญาธิดาหายใจไม่ทั่วท้อง ยังไม่ทันจะดึงสติคืน คุณย่าตระกูลสถิรานนท์ที่กำลังร้องห่มร้องไห้ จู่ๆ ได้หันมองมา แล้วตกใจขึ้นเมื่อเห็นเธอ
“ธิดา!”
ญาธิดาเดินเข้ามาด้านหน้า แล้วเอ่ยปากเรียก “คุณย่า!”
คุณย่าในวันนี้ผมขาวโพลน ใบหน้าอ่อนล้า ดูชรามากขึ้น แตกต่างจากคุณย่าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและร่างกายที่แข็งแรงในครั้งก่อน
เมื่อเห็นญาธิดา
คุณย่าก็ยิ่งเจ็บปวดใจ ยื่นมือออกมาจับมือข้างหนึ่งของเธอไว้ ร้องไห้ด้วยความเศร้า “ธิดา
คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอหนูที่นี่……”
ญาธิดารู้สึกหดหู่ในใจอย่างอธิบายไม่ถูก
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปทางป้ายหลุมศพที่อยู่ข้างๆ ด้านบนสลักด้วยชื่อภวินท์
รูปถ่ายขาวดำ ใบหน้าของเขายังคงเย็นชาเหมือนเช่นเคย เม้มริมฝีปากบาง
ญาธิดาหัวใจบีบรัดแน่น และเอ่ยปากขึ้น “คุณย่า ภวินท์เขา……”
พูดออกมาเพียงครึ่ง เธอก็ไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไรอีก เพราะป้ายหลุมศพของภวินท์ก็ปักอยู่ตรงหน้า เธอจะไปถามคุณย่าว่าภวินท์เสียชีวิตแล้วหรือว่ายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรอีก
คุณย่าเหมือนดูออกว่าเธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง จึงหายใจเข้าลึกๆ
ถือผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาที่มุมหางตา จากนั้นหันมามองบอดี้การ์ดและคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ
แล้วกล่าวเบาๆ “พวกเธอออกไปรอที่ทางแท่นหินด้านนอกก่อน”
บอดี้การ์ดและคนรับใช้รับคำสั่งแล้วเดินออกไปทันที
ครู่เดียวก็เหลือเพียงคุณย่ากับญาธิดาสองคน
ไม่รอให้ญาธิดาได้เอ่ยปาก
คุณย่ามองไปรอบๆ แน่ใจว่าไม่มีใครอื่นแล้ว ถึงได้จับมือของเธอทันที
กดเสียงต่ำแล้วกล่าว “ธิดา ย่าไม่เชื่อว่าวินไม่อยู่แล้ว!”
ได้ยินดังนั้น
หัวใจญาธิดาก็เต้นขึ้น สักพักก็ลนลาน เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยปากถาม
“ทำไมถึงกล่าวเช่นนี้คะ”
คุณย่ากล่าวด้วยความร้อนรน กล่าวด้วยลมหายใจที่ไม่คงที่ “นี่จะต้องเป็นแผนการของภูผาอย่างแน่นอน
เขาต้องการจะครอบครอง STN Group จะต้องเป็นเขาที่วางกับดักแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหายตัว การตาย
ล้วนเป็นคำพูดฝ่ายเดียวของเขา!”
“อย่างนั้นภวินท์ล่ะคะ ตอนนี้เขา……”
“ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน” คุณย่าหายใจเข้าลึกๆ
ยังไม่พบ แม้แต่พายุก็หายตัวไปด้วยตามหาไม่เจอ”
“ย่าส่งคนไปตามหาแล้ว
ญาธิดาเหลือบมองที่ป้ายหลุมศพด้วยความสงสัย “แต่ว่าสื่อข่าวต่างบอกว่าศพนั้นเป็น…..”
“เป็นของปลอม!” คุณย่ากล่าวด้วยความโมโห
ร่างสั่นเทาเล็กน้อย “ฉันไม่เชื่อผลตรวจดีเอ็นเอของทางตำรวจ ก่อนที่จะเผาศพ ย่าได้เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอแล้วส่งไปตรวจสอบ
ไม่ใช่เป็นของวินอะไรทั้งนั้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้
ญาธิดาก็ตกใจขึ้น และก็ตามมาด้วยการแอบโล่งอกในใจ เช่นนี้ อย่างน้อยก็บ่งชี้ได้ว่า
สถานการณ์ของภวินท์ตอนนี้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
บางครั้งการไม่มีข่าวคราวใดๆ เป็นข่าวที่ดีที่สุด
“ใช่แล้ว
แล้วเอ่ยหนึ่งวันที่ออกมา จากนั้นถามขึ้น “วันนั้นหนูได้โทรศัพท์หาวินไหม”
ธิดา” คุณย่าจับมือของญาธิดาไว้แน่น
ญาธิดาเงียบ วันที่นั้นได้แวบเข้ามาในสมอง ชะงักครู่หนึ่ง ถึงได้ดึงสติกลับคืนมา
วันที่ที่คุณย่าได้กล่าวออกมาเมื่อสักครู่นั้น
เป็นวันที่เธอจากเมือง J เมื่อหนึ่งเดือนก่อน วันนั้นเธอกับพวกธีทัต
ได้พาอัญมณีจากเมือง J ไปยังต่างประเทศเพื่อทำการรักษา
โทรศัพท์ของเธอได้หายไปในวันนั้น เธอไม่ได้ติดต่อกับภวินท์เลย
เธอจึงตอบกลับตามความเป็นจริง “ไม่ได้โทรค่ะ วันนั้นหนูมีธุระต้องไปต่างประเทศ โทรศัพท์หายไปตอนที่อยู่สนามบินค่ะ”
คุณย่าได้ยินดังนั้น แววตาหม่น ใต้ดวงตาประกายความซับซ้อนขึ้น
เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอ ญาธิดาจึงหายใจเข้าลึกๆ
“คุณย่า ทำไมเหรอคะ”
แล้วรีบถามทันที
“ย่ามาหาคนสนิทของวิน พวกเขาต่างบอกว่าคืนวันนั้น วินได้รับสายจากหนูขณะที่กำลังอยู่บนโต๊ะอาหาร
จากนั้นก็ได้รีบพาพายุจากไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังชานเมือง และก็เป็นวันนั้นที่เขากับพายุหายสาบสูญไป
ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย!”
“อะไรนะ”
ญาธิดาตกใจ “เป็นไปได้อย่างไร คืนนั้นหนูอยู่ต่างประเทศ อีกทั้งโทรศัพท์ก็หายไป…..”
ทั้งคู่ต่างสบตากัน แล้วก็เดาบางอย่างออกได้อย่างรวดเร็ว
โทรศัพท์หายไป
อย่างนั้นอาจเป็นไปได้ว่ามีคนที่ไม่หวังดีนำไปแอบอ้าง ใช้โทรศัพท์ของเธอโทรหาภวินท์
บอกว่าเธอถูกลักพาตัวเป็นต้น ภวินท์ถึงได้รีบจากไปอย่างลนลาน……
เมื่อไตร่ตรองทุกอย่างอย่างชัดเจนแล้ว ญาธิดาหัวใจบีบรัดแน่น มีความรู้สึกหายใจไม่ออก
ถ้าเป็นเช่นนี้ ที่ภวินท์หายตัวไปก็มีความเกี่ยวข้องกับตัวเอง!
ถ้าหากว่าภวินท์ไม่สนใจเธอ ไม่รับสายโทรศัพท์นั้น
เขาก็คงจะไม่เป็นไร……
จะว่าไป เป็นเธอที่ทำร้ายภวินท์
เมื่อคิดได้อย่างนี้
ความรู้สึกผิดก็ผุดขึ้นในใจ เธอเงยหน้ามองไปทางคุณย่า เม้มริมฝีปาก
ยิ่งพูดอะไรไม่ออก
“ธิดา มันไม่ใช่ความผิดของหนู……”
คุณย่าหลับตาลง ส่ายหน้า ยกมือตบหลังเธอเบาๆ แล้วกล่าวปลอบประโลม
“อย่างนั้น……ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดีคะ”
หากว่าตอนนี้ศพที่อยู่ในสุสานไม่ใช่ภวินท์ อย่างนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าทำไมนานขนาดนี้แล้ว ภูผาก์ครอบครอง STN ไว้ทั้งหมดแล้ว ภวินท์ก็ยังไม่ปรากฏตัว
รู้จักกับภวินท์นานเพียงนี้ เธอรู้จักเขาเป็นอย่างดี สำหรับเขา ผลประโยชน์ทางครอบครัวจะไม่ยอมให้ถูกทำลาย ไม่ยอมให้แตะต้อง เขาจะไม่มีทางถอยอย่างเด็ดขาด และยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่เคยคิดว่าภูผาเป็นคนในครอบครัว ดังนั้นเขาก็ยิ่งทนเห็นทรัพย์สินของครอบครัวที่หลายชั่วอายุคนต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่น
ถ้าหากเขาสามารถมาได้ จะต้องออกหน้ามาหยุดอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ญาธิดาคิดในตอนนี้ คือผลลัพธ์ที่ไม่ดีอีกแบบหนึ่ง
คุณย่าเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “ย่าก็ได้ส่งคนออกไปสืบหา มีคนบอกว่าครึ่งเดือนก่อนเห็นพายุปรากฏตัวที่เมือง J จากนั้นไปสืบอีกที ก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย”
ขอเพียงตามหาพายุเจอ พวกเขาก็จะได้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่ว่าตอนนี้ปัญหาก็คือ แม้แต่พายุพวกเขาก็หาไม่เจอ
“ธิดา”
คุณย่าจับมือของญาธิดาฉับพลัน ใต้ดวงตามีน้ำตา “ตอนนี้คนที่ย่าเชื่อใจได้มากที่สุด ก็มีเพียงหนูคนเดียว”
ญาธิดาใจเต้น “ตึกตัก” ไม่รอให้เธอได้เอ่ยปากกล่าว ในใจก็พอจะเดาอะไรบางอย่างออก
“ย่าก็อายุมากแล้ว ช่วงนี้ตระกูลสถิรานนท์เผชิญกับเรื่องราวมากมาย ร่างกายของย่ารับต่อไปไม่ไหวแล้ว ดังนั้น ย่าอยากให้หนูช่วยย่าสืบหน่อย เพราะถึงอย่างไรพวกหนูก็……”
คุณย่าสะอึก น้ำตาคลอเบ้า
เธอชะงักแล้วกล่าว “ตั้งแต่ต้น หลานสะใภ้ที่ย่ายอมรับ ก็มีเพียงหนูเดียวเท่านั้น”