ดวงใจภวินท์ - บทที่ 526 ประธานแบบไหนกัน
บทที่ 526 ประธานแบบไหนกัน?
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน และแล้วรถก็แล่นมาถึงแกรนด์ บูเลอวาร์ด แล้วก็ค่อยๆ จอดลงริมถนนช้าๆ ญาธิดานั่งอยู่ด้านหลัง กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่อย่างใจจดใจจ่อ เลยไม่ได้มีท่าทีว่าจะลงจากรถเลย
พยัคฆ์ที่อยู่ด้านข้างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กระซิบเตือนว่า “พี่ธิดา ถึงแล้วครับ”
พอญาธิดาได้ยินถึงได้ดึงสติกลับมา แล้วก็หันไปมองนอกหน้าต่าง หลังจากนั้นก็พยักหน้าแล้วก็ตอบว่า “โอเค”
พอพูดจบ เธอก็เปิดประตูรถเตรียมจะลงไป แต่จู่ๆ เธอก็หยุด เหมือนกับคิดอะไรบางอย่างได้ แล้วก็หันไปมองพยัคฆ์
“นายจำได้ไหม ที่สิงโตพูดเมื่อกี้น่ะ”
พยัคฆ์ชะงักไป “พูดว่าอะไรเหรอครับ? ”
ดวงตาของญาธิดาเป็นประกาย “ก็ตอนแรกที่ฉันถามเขาว่าภวินท์อยู่ในเงื้อมมือเขารึเปล่า? แล้วเขาก็ตอบว่าภวินท์ถูกหมาป่าคาบไปตั้งนานแล้ว กระดูกละลายหายไปหมดแล้ว”
พยัคฆ์พยักหน้าอย่างลังเล “เขาพูดแบบนั้นจริงครับ”
พอได้รับคำยืนยัน ดวงตาของญาธิดาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที แล้วก็เอ่ยถามว่า “ทำไมสิงโตถึงพูดว่าภวินท์ถูกหมาป่าคาบไปล่ะ? หรือว่าก่อนหน้านี้เขาได้ทำอะไรบางอย่างกับภวินท์จริงๆ แล้วก็โยนเขาเข้าป่าไปรึเปล่า? ”
เธอทายไปด้วย แล้วก็มองพยัคฆ์ไปด้วย และไล่ถามต่อว่า “นายว่าเป็นไปได้ไหม? ”
พยัคฆ์คิดอยู่ครู่หนึ่ง จนผ่านไปนานเขาก็ยังไม่พูดอะไรออกมา หลังจากนั้นเขาถึงพยักหน้าและตอบว่า “เป็นไปได้นะครับ”
“ตอนแรกพวกนายได้ไปสืบหาเบาะแสที่เขารามบ้างรึเปล่า? ”
พยัคฆ์ส่ายหน้า “ไม่มีเลยครับ ตอนแรกแค่พวกเราเจอว่าสัญญาณโทรศัพท์มือถืออยู่ที่วัดเขารามพวกเราก็ประหลาดใจมากแล้ว สถานที่ทรุดโทรมแบบนี้ ไม่ได้มีร่องรอยของคนอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่ว่าพวกเราก็ไม่เคยไปหาบนภูเขาเลยเหมือนกันนะครับ”
พอญาธิดาได้ยินดังนั้น ก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็มองดูเวลาพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “พรุ่งนี้เช้า นายไปคุยกับพี่เข้มหน่อย พวกเราพาคนไปตามหาบนภูเขากัน”
ดูจากสไตล์ของภูผาแล้ว ถ้าเกิดว่าเขาอยากจะฮุบSTN Groupเอาไว้คนเดียวแล้ว เขาต้องไม่ยอมปล่อยให้มาคุกคามอะไรเขาได้เด็ดขาด การฆ่าคน หรือปกปิดอาชญากรรม สถานที่ที่ดีที่สุดก็คือที่ลับตาคนแบบนั้นแหละ ดังนั้นเขาก็เลยเลือกที่จะลงมือที่วัดเขาราม เพราะว่าต้องเห็นว่าเขารามเป็นที่ลับตาคน แล้วก็ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่อีกด้วย
ดังนั้น ถ้าเกิดว่ายังอยู่ก็ต้องตามหาเจอ ถ้าเกิดว่าตายแล้วก็อยากจะเจอศพ ต่อให้อยู่บนภูเขา พวกเขาก็อยากจะลองไปตามหาดู
พอพยัคฆ์ได้ยินดังนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกประหลาดใจ เพราะถึงยังไงถึงแม้ว่าเขารามจะไม่ได้ใหญ่ แต่การจะตามหาร่องรอยของคนในภูเขาหลายๆ ลูกนั้น มันก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร ยากซะยิ่งกว่ายาก
เขามองไปที่สีหน้าที่แน่วแน่ของญาธิดา สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะถึงยังไงเธอก็ไม่เหมือนคนที่ชอบสร้างปัญหาอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างวันนี้ก็เป็นเพราะว่าเธอคิดมาอย่างรอบคอบ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่มีทางหลุดจากสิงโตมาได้อย่างแน่นอน
เขาตอบรับ “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะแจ้งพวกพี่เข้ม”
ญาธิดาพยักหน้า หลังจากนั้นก็ยิ้มให้เขาพร้อมกับลงมาจากรถ และเดินเข้าไปในบ้านพัก
เธอเดินไปด้วย แล้วก็คิดเกี่ยวกับเรื่องวันพรุ่งนี้ในหัวไปด้วย
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาแทบจะค้นหาทั้งเมือง Jแล้ว แต่ว่าก็ไม่เจอเบาะแสอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แม้ว่าพวกเขาจะเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ที่สุดของภวินท์ แต่ก็เหมือนกับเรือที่ขาดหางเสือการที่จะให้เขาฟังคำสั่งจากผู้หญิงคนหนึ่ง และความหวังก็ต้องพังทลายลงทุกครั้ง ความมุ่งมั่นในการค้าหาของพวกเขาก็คงจะต้องลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
เรื่องทุกอย่างจะยืดเนื้อแบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่ยังงั้นยิ่งทำต่อไป มันก็จะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ
พอคิดได้แบบนี้ เธอก็เร่งฝีเท้ารีบเดินเข้าไปในบ้านพักในแกรนด์ บูเลอวาร์ดอย่างรวดเร็ว
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แป๊บเดียวก็หมดวัน แค่พริบตาเดียวก็กลายเป็นเวลากลางคืนของอีกวันหนึ่งแล้ว
ภูเขาในเวลากลางคืนนั้นมันมืดมาก ท้องฟ้ามืดลง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนจะถูกปกคลุมด้วยผ้าที่มืดมน นอกจากแสงจันทร์ที่สลัวแล้วนั้น ยังมีแสงจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอยู่เล็กน้อย
ในลานกลางแจ้งหน้าห้องที่อยู่ริมห้องโถง มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนเงาที่อ้างว้าง ผ่านไปนานก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
ทันใดนั้น ก็มีร่างหนึ่งเดินเข้ามาใกล้เงียบๆ จ้องไปที่คนคนนั้น แล้วก็หยิบเสื้อคลุมออกมาจากห้อง เดินเข้ามาแล้วก็ยื่นให้กับเขา “ท่านประธาน คลุมขาหน่อยเถอะครับ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเข้า”
พอชายหนุ่มได้ยินดังนั้น ร่างกายก็แข็งทื่อไปในทันที หลังจากนั้นก็ยกมือขึ้นมาช้าๆ แล้วก็รับเสื้อคลุมตัวนั้นไป แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เอามามันมาคลุมไว้ เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ แสงจันทร์ก็ส่องลงมา เผยให้เห็นใบหน้าของเขา
ถ้ามาเทียบกับเมื่อเดือนกว่าก่อนหน้านี้ ภวินท์ผอมลงไปเยอะมาก เห็นกระดูก และเส้นกรามบนใบหน้าอย่างชัดเจน ตรงริมฝีปากและคางของเขามีหนวดขึ้นจางๆ ที่เขายังไม่ทันจะมีเวลาได้โกน ริมฝีปากบางเม้มแน่น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉยเมยและความเย็นชา
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าเรียกฉันแบบนี้อีก”
พอพายุได้ยินดังนั้น ก็เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด ปากเขาขยับ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา
ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่กับภวินท์มาหลายปีมากแล้ว ทั้งสองคนก็เหมือนเป็นเพื่อนกัน ความสัมพันธ์อยู่เหนือการเป็นเจ้านายลูกน้องมามากแล้ว ต่อให้จะเรียกเขาว่า “วิน” ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่พายุก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ กลัวว่าถ้าเขาพูดไปแล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนได้ง่ายๆ
พอเห็นพายุไม่ได้พูดอะไร จู่ๆ ภวินท์ก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น ริมฝีปากของเขายิ้มเยาะเย้ยตัวเอง “ตอนนี้ฉันถือว่าเป็นประธานอะไรกัน? ”
บริษัทก็ไม่มีแล้ว อำนาจก็ไม่มีแล้ว เงินทุนก็ไม่มีแล้ว แล้วเขาจะถือว่าเป็นประธานอะไรได้อีก?
พอพายุได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน “พวกเณรในครัวพูดจาไร้สาระอีกแล้วเหรอครับ? ”
“ไม่เกี่ยวกับพวกเขาหรอก”
แววตาของภวินท์เย็นชา ไม่ได้มีอารมณ์อย่างอื่นเข้ามาปะปนเลย “เรื่องราวมันมาถึงจุดนี้แล้ว อะไรที่ควรจะคิดได้ ฉันก็คิดได้หมดแล้ว”
หนึ่งเดือนมานี้ เขาไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อะไร ไม่มีโทรศัพท์ พวกเขาไม่อนุญาตให้เขาแตะต้องมัน ถ้าพูดให้ดูสวยงามก็คือเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูของเขา ให้เขาได้พักผ่อนเยอะๆ แต่ว่าเขาก็รู้ดีแก่ใจ ว่าพวกเขากลัวว่าถ้าเขาเห็นข่าวบนอินเทอร์เน็ตแล้วจะรับไม่ได้
ตั้งแต่เขาอายุสิบกว่าปี เขาก็เริ่มสัมผัสกับธุรกิจน้อยใหญ่ของตระกูลสถิรานนท์แล้ว สำหรับเขาแล้ว อำนาจมันเป็นสิ่งที่สามารถจับต้องได้ง่าย หลังจากนั้น เขาก็สามารถยืนด้วยตัวเองได้อย่างช้าๆผู้คนยอมรับในความสามารถ ไม่จำเป็นต้องได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษหรือว่าการเห็นใจอะไร
แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ จู่ๆ เขาก็ดิ่งลงมาจากที่สูง และแน่นอนว่าเขาต้องมีช่องว่างในหัวใจอยู่แล้ว
และยิ่งไปกว่านั้น หนึ่งเดือนมานี้ บาดแผลทางร่างกายและจิตใจ และการทรมานทุกรูปแบบทำให้ร่างกายที่แข็งแรงแต่เดิมของเขาพังทลายลงอย่างกะทันหัน เขาป่วยหนัก และขาทั้งสองข้างของเขา ก็ถูกคนของภูผาและสิงโตทุบตีที่วัดเขารามเมื่อคืนนั้น หนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ ขาของเขาไม่สามารถยืนขึ้นมาได้อีกเลย
เขากับภูผา จู่ๆ ก็เหมือนได้แลกชีวิตกัน
ต่อให้เขาไม่มีโทรศัพท์ ไม่ได้รับรู้ข่าวคราวโลกภายนอก แต่ก็สามารถคาดเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
พายุยืนอยู่ด้านข้าง อ้าปากค้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี สุดท้ายก็เปลี่ยนมาพูดนิ่งๆ ว่า “วิน ทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้น”
พอเขาพูดจบ ภวินท์ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเงยหน้ามองพระจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้า จู่ๆ ก็คิดถึงใบหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมา
สองวินาทีถัดมา ก็นึกถึงความใจร้ายและเด็ดเดี่ยวของเธอ ภวินท์ขมวดคิ้ว แล้วก็พยายามเอาเธอออกจากหัวไป
และในตอนนี้เอง ก็มีร่างทั้งสองเดินเข้ามาทางประตูทีละคน พวกเขาเดินผ่านลานบ้าน แล้วก็ตรงเข้ามาหาภวินท์
ยังไม่ทันจะเดินเข้ามาใกล้เท่าไหร่นัก เสียงของหลุยส์ที่แฝงไปด้วยเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมา “อะไรกัน ผู้ชายทั้งสองคนนั่งพูดคุยและชมจันทร์กันอยู่รึไง? สบายกันจังเลยนะ หรือว่าพวกนายรู้ว่าวันนี้ฉันจะมา ก็เลยรอฉันอยู่งั้นเหรอ? ”
พอได้ยินดังนั้น ภวินท์กับพายุก็มองหน้าเขาอย่างไม่มีทางเลี่ยง
หลุยส์หัวเราะแห้งๆ สองครั้ง แล้วก็เดินเข้ามาใกล้ แล้วก็โบกมือให้ลูกน้องที่เดินมาข้างๆ เขาวางของลง
ถุงกระดาษหลายใบยังไม่ถูกเปิดออก แต่กลิ่นหอมของอาหารและเครื่องดื่มก็แผ่กระจายออกมา หลุยส์ยกมือขึ้น แล้วลูกน้องของเขาก็เข้าใจทันที เดินเข้าไปที่หน้าประตูบ้าน แล้วก็เฝ้าอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
หลุยส์หยิบจานข้างในออกมาอย่างไม่รีบร้อน แล้วก็หัวเราะออกมาพร้อมกับพูดว่า “จะว่าไป วิน นี่เป็นอาหารในร้านอาหารห้องส่วนตัวที่แกเคยชอบกินทั้งนั้นเลย”