ดวงใจภวินท์ - บทที่ 532 ฝนตกย่อมมีวันหยุด
ณ สถานปฏิบัติธรรมเขาราม
เจ้าอาวาสออกมาต้อนรับญาธิดาและคนอื่น ๆ ทั้งสามคน หลังจากพวกเธอเข้าไปด้านในได้ไม่นาน ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดครึ้ม เมฆลอยต่ำลงมาพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง
ไม่นานฝนก็เทตกลงมา
ญาธิดาถือถ้วยน้ำชาไว้ในมือ เดินไปที่ประตูสายตามองออกไปด้านนอก และพูดด้วยความเป็นห่วง “ไม่รู้ว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่กันนะ”
เมื่อพวกเขาทั้งสามคนเดินทางมาถึงตัวก่อสร้างที่เห็นอยู่กลางหุบเขาเมื่อครู่นี้ ก็พบว่ามันมีป้ายเก่า ๆ ห้อยไว้ที่หน้าประตู ซึ่งเขียนเอาไว้ว่า “สถานปฏิบัติธรรมเขาราม”
ทั้งสามคนยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง ลังเลกันอยู่ว่าจะเข้าไปด้านในดีหรือเปล่า จู่ ๆ ก็มีเณรน้อยอายุประมาณห้าหกขวบเดินออกมาที่หน้าประตู เณรน้อยนี้ทั้งดูฉลาดและน่ารักน่าชัง แต่เขากลับมองพวกเขาด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย
ทีแรกพวกเขาต้องการจะถามคำถามเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ เณรน้อยกลับปิดประตูและวิ่งหนีไป
จากนั้นไม่นานประตูก็เปิดออก ปรากฏชายชราสวมชุดนักพรตสีเทาปนครามหน้าตาดูน่าเลื่อมใสเดินออกมา ทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะเชิญเข้าไปนั่งด้านใน
ญาธิดาที่อยากจะเข้าไปอยู่แล้ว พอได้โอกาสก็ไม่คิดจะปฏิเสธ พี่เข้มและพยัคฆ์ตกลงกันว่าจะแสร้งเป็นนักปีนเขาที่หลงทางมา จากนั้นก็รีบเดินตามเจ้าอาวาสเข้าไปด้านใน
เมื่อเข้าไปด้านใน เจ้าอาวาสก็แนะนำตัวเอง และให้คนมารินน้ำชาให้กับพวกเขา หลังจากพูดคุยกันได้ไม่กี่นาทีภายนอกก็เกิดเสียงฟ้าร้องขึ้น
ญาธิดาออกไปยืนหน้าประตูแสร้งทำเป็นมองสายฝน แต่สายตากำลังกวาดมองเพื่อหาบางสิ่ง
เธอไม่เข้าใจทำไมในหุบเขาลึกถึงมีสถานปฏิบัติธรรมตั้งอยู่แบบนี้ ถ้าหากในตอนนั้นภวินท์ถูกคนโยนลงเขามา จะเป็นไปได้หรือเปล่าที่คนที่นี่จะเห็นอะไรบ้าง ญาธิดารู้สึกตื่นเต้นจนอธิบายไม่ถูก
ขณะนั้นเอง เจ้าอาวาสก็เดินเข้ามา มองไปยังฝนที่กำลังตกด้านนอก เมื่อเห็นว่าญาธิดาดูเป็นกังวลจึงอธิบายให้ญาธิดาฟังว่า “ฝนในหุบเขามักจะมาไวไปไว ไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกท่านหลบอยู่ที่นี่สักพัก รอฝนหยุดแล้วค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย”
ญาธิดายิ้มรับพลางพยักหน้า จากนั้นเธอจึงลองถามว่า “ท่านเจ้าอาวาสคะ เมื่อครู่ก่อนเข้ามาพวกฉันเห็นป้ายด้านหน้าเขียนว่าสถานปฏิบัติธรรมเขาราม แต่ภายนอกภูเขาเองก็มีวัดเขารามตั้งอยู่ ไม่ทราบว่าทั้งสองที่มีความสัมพันธ์…”
ยังไม่ทันได้พูดจบเจ้าอาวาสก็เข้าใจคำถามทั้งหมดแล้ว เจ้าอาวาสถอนหายใจอย่างแผ่วเบาแล้วพูดว่า “อาตมาเองเคยเป็นเจ้าอาวาสที่วัดเขารามมาก่อน แต่หลังจากที่ไม่มีญาติโยมเข้ามาพระสงฆ์ก็แยกย้ายกันออกไป ส่วนอาตมาเองก็ได้นำคนที่เหลือขึ้นมายังสถานปฏิบัติธรรมในหุบเขา อยู่กันอย่างสงบที่นี่”
เจ้าอาวาสสีหน้าดูมืดมนลงเล็กน้อย แม้ว่านี่จะเป็นการพบกันเพียงครั้งแรกของเธอ แต่ญาธิดาก็รับรู้ได้ถึงสติปัญญาและความเมตตาของท่าน ขนาดของที่นี่ดูเล็กกว่าวัดเขารามมาก แต่เมื่อเดินเข้ามาครั้งแรกเธอก็เห็นทั้งพืชพันธุ์ดอกไม้ต่าง ๆ ตลอดสองข้างทาง เห็นเหล่าเณรน้อยวิ่งเล่นหยอกล้อกันอยู่ในครัว หรือแม้แต่นักบวชชราที่นั่งทำไม้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ
ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ มันช่างทำให้คนที่ได้มาพบมาเห็นจิตใจสงบขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ญาธิดาไม่เคยคาดคิดเลยว่าในหุบเขาจะแอบซ่อนสถานที่ที่เหมือนกับแดนเนรมิตไว้ ทั้งลึกลับแล้วก็สวยงาม
พี่เข้มและพยัคฆ์นั่งกันอยู่ที่เก้าอี้ด้านในห้อง เพียงแค่เดินเข้ามาพวกเขาก็นิ่งเงียบ แม้ว่าทั้งสองคนจะเก่งเรื่องการต่อยตีกัน แต่เรื่องการเข้าสังคมกับผู้อื่นโดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าพวกเขาไม่ได้เรื่องเลย
ญาธิดาและเจ้าอาวาสยืนพูดคุยกันอยู่ใต้ชายคา ไม่ทันได้รู้ตัวก็คุยกันไปแล้วหลายเรื่อง ฝนเองก็ค่อย ๆ สงบลง เจ้าอาวาสหัวเรอะและพูดว่า “อาตมาบอกแล้วยังไงล่ะ ว่าเดี๋ยวฝนก็ต้องหยุด”
คำพูดนี้ แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งมากมาย จิตใจของญาธิดาตอนนี้สงบลงกว่าก่อนที่จะเข้ามาที่นี่มาก
เมื่อฝนตก สักวันก็ต้องหยุด หากเปรียบกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ก็คงจะเหมือน ๆ กัน สุดท้ายปัญหาทุกอย่างก็จะหายไป เธอเผลออมยิ้มขึ้นมา มองไปยังฝนที่กำลังหยุด จู่ ๆ เธอก็คิดอะไรขึ้นออก จึงหันไปถามเจ้าอาวาสว่า “ถ้าฉันจะขอเดินดูสถานปฏิบัติธรรมสักหน่อย จะได้ไหมคะ?”
เจ้าอาวาสยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็ยื่นมือออกไปเรียกเณรน้อยรูปหนึ่ง “เณรศีล มานี่หน่อยสิ ช่วยพาญาติโยมท่านนี้เดินดูรอบ ๆ หน่อย” เณรน้อยรูปนี้ดูแล้วอายุประมาณสี่ห้าขวบ คงอายุเท่ากับลูกแฝดของเธอพอดี
ดวงตาน้อย ๆ กลมโต สวมชุดนักพรตสีเทาปนฟ้าดูน่ารักน่าชัง
ญาธิดาส่งยิ้มด้วยความเอ็นดู หลังจากนั้นจึงหันไปบอกกับพยัคฆ์และพี่เข้มก่อนจะเดินตามเณรน้อยไป
เมื่อสักครู่เธอบอกพยัคฆ์และพี่เข้มว่าให้รออยู่ที่นี่ จะให้ออกไปกันทั้งสามคนคงจะไม่ค่อยเหมาะสม ดังนั้นเธอไปคนเดียวจะดีกว่า จะได้ไม่เป็นที่สงสัย
ตอนที่เธอกำลังพูดคุยกับเจ้าอาวาส ญาธิดาได้ถามเจ้าอาวาสว่าก่อนหน้านี้มีคนผ่านมาที่นี่บ้างหรือเปล่า แต่เจ้าอาวาสกลับปฏิเสธ บอกว่าทั้งสามคนเป็นแขกหายากของที่นี่ ถ้าอยากจะพักอยู่ที่นี่ซักสองสามวันก็ย่อมได้ ไม่เป็นไร ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนเรื่องคุย
แต่ตอนนี้ เธออยากมาเดินดูรอบ ๆ ตามหาเบาะแสอะไรบางอย่าง “เจ้าหนูน้อย เจ้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กเลยเหรอ ?”
เณรน้อยพยักหน้าตอบ พลางพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “ชะ ใช่ ครับ…”
เขาพาเดินไปยังหน้าอุโบสถ “ที่นี่คืออุโบสถหลัก อาตมาจะมาสวดมนต์กันที่นี่”
ญาธิดาพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “พวกท่านอยู่ที่นี่กันทั้งหมดกี่คนหรือ?”
“ท่านเจ้าอาวาส และก็เณรนนน์ กับนักบวช …”
เณรน้อยนับชื่อที่ละคน ๆ ทั้งหมดก็หกคน ญาธิดาฟังไปยิ้มไปไม่อยากจะขัดจังหวะ
จากนั้นเธอก็ถามต่อไปว่า “นอกจากพวกท่านแล้ว ยังมีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า?”
ก่อนหน้าที่จะเดินเข้ามาที่นี่ พี่เข้มบอกว่าเห็นรอยเท้าอยู่ที่หน้าประตู ในตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่หลังจากที่เข้ามาข้างในเธอก็เริ่มสังเกตว่าเหล่านักบวชที่นี่ต่างก็ใส่รองเท้าผ้า แต่รอยเท้าที่อยู่ด้านนอกกลับมีลายรองเท้า อีกทั้งขนาดยังพอ ๆ กับเท้าผู้ชายด้วย
จุดนี้ทำให้เธออดใจคิดมากไม่ได้
เธอจึงลองถามอีกครั้ง เณรน้อยพยักหน้า แต่เหมือนเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “ไม่…”
แม้เณรน้อยจะรีบเปลี่ยนกิริยา แต่ญาธิดาก็ทันจับสังเกตได้ เธอมองไปยังเณรน้อย เขาอายุยังน้อย ยังไร้เดียงสา ก้มหน้าก้มตาสำนึกผิดก่อนที่จะไม่พูดอะไรต่อ ตอนนี้เธอได้คำตอบแล้ว
เป็นไปได้ไหมว่าในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ นอกจากเจ้าอาวาสและพระสงฆ์รูปอื่น ๆ จะยังมีคนอื่นอยู่อีกรึเปล่า?
ในหัวของเธอปรากฏใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งขึ้น แต่คนที่อยู่ที่นี่จะเป็นเขาหรือเปล่านะ?