ดวงใจภวินท์ - บทที่ 533 ถูกจับได้
ญาธิดาใจเต้นเล็กน้อย มองไปยังเณรน้อยที่ไม่ยอมพูดอะไร เธอโค้งคำนับลงเล็กน้อย และพูดว่า “ท่านพาฉันไปเดินชมที่อื่นเถอะ”
เณรน้อยพยักหน้าเชื่อฟัง ขณะที่กำลังเดินตามเณรน้อยไป สายตาของเธอก็คอยมองดูรอบ ๆ ไปด้วย จิตใจของเธอก็รู้สึกประหม่าอย่างอธิบายไม่ถูก
หลังจากที่ได้พาชมสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้จนครบถ้วน ญาธิดาและเณรน้อยก็ค่อย ๆ สนิทกันมากขึ้น ขณะที่ทั้งคู่กำลังจะกลับไปยังห้องที่พยัคฆ์และพี่เข้มอยู่ ตาของเธอก็เหลือบไปเห็นประตูบานหนึ่งเข้า ทำให้เธอต้องหยุดชะงักไปเล็กน้อย ประตูบานนั้นเป็นทางเชื่อมไปยังลานว่างอีกแห่งหนึ่ง แต่เธอก็ไม่ทราบว่านั่นคือสถานที่อะไร แถมตอนที่เณรน้อยพาเธอเดินดูสถานที่ ก็ไม่ได้พาเธอเข้าไปยังลานเล็ก ๆ ตรงนั้นด้วย
ทำให้เธอเกิดความสงสัยไม่น้อย
ญาธิดาสูดหายใจลึก รีบยื่นมือไปรั้งเณรน้อยไว้ และพูดว่า “ท่านยังพาฉันเดินไม่ทั่วเลย ทำไมถึงจึงจะกลับแล้วล่ะ?”
เณรศีลเผลอถอยออก รักษาระยะห่างกับเธอไว้ มือของเขาประสานกัน แก้มเปลี่ยนเป็นสีชมพู และพูดด้วยความไร้เดียงสาว่า “ห้ามแตะเนื้อต้องตัวกันเด็ดขาดนะครับ”
ญาธิดาตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เผลอหัวเราะออกมา เธอก้มลงไปมองเด็กที่ไม่เด็กคนนี้ ใจทั้งโกรธทั้งขำ “เจ้าอาวาสสอนท่านมาแบบนี้เหรอ?”
เด็กตัวน้อย ๆ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าไม่ควรห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน เธอยิ่งคิดก็ยิ่งขำ จนสุดท้ายก็ขำไม่ยอมหยุด
เณรศีลแก้มยิ่งแดงขึ้นไปอีก ดวงตากลมโตไม่กล้าแม้แต่สบตาเธอ ไม่แต่ยืนอยู่ที่เดิม
ณาธิดาเห็นว่าเขาเงียบไปก็พูดขึ้น “ไม่เป็นไรแล้ว ฉันจะไม่แกล้งท่านแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
เณรศีลได้ยินก็พยักหน้า และพูดว่า “ได้โปรดอย่าบอกเรื่องนี้กับท่านเจ้าอาวาสนะครับ…”
ญาธิดารีบตอนกลับ “โอเค ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น”
พูดจบเธอก็เดินตามเณรศีลไปบนทางที่ฝนเพิ่งจะหยุดตกด้วยความเฉอะแฉะ เธอได้ลืมเรื่องประตูลานว่างนั้นไปแล้ว
ในขณะเดียวกันบนลานว่าง ภวินท์ก็ค่อย ๆ หมุนรถเข็นออกมาจากห้อง มองไปยังฉากเบื้องหน้าที่ฝนเพิ่งจะหยุดตก อากาศแจ่มใสและรื่นรมย์จนอธิบายไม่ถูก
เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับเป็นเสียงของญาธิดา
แต่หลังจากออกมาจากห้อง เสียงนั้นกลับเงียบไป
พายุเดินออกมาจากห้อง มองไปทางภวินท์ด้วยความสงสัย “มีอะไรเหรอครับ?”
ภวินท์รู้สึกลังเลเล็กน้อย ค่อย ๆ พูดขึ้น “เมื่อกี้ … เหมือนฉันได้ยินเสียงของญาธิดา”
ได้ยินดังนี้ พายุก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
ตั้งแต่ได้รู้จักกับคุณภวินท์มา เขาก็รู้ว่าญาธิดาเป็นคนพิเศษสำหรับภวินท์โดยตลอด แต่ตัวเขาเองมักจะไม่รู้ตัว และคอยเจอแต่เรื่องเข้าใจผิดกันมาเสมอ หรือว่าตอนนี้ เขาจะรู้ตัวเองแล้วกันนะ?
พายุไม่ตอบอะไร ภวินท์หันกลับมาถามเขาว่า “นายได้ยินหรือเปล่า?”
พายุเพิ่งรู้สึกตัวและพูดว่า “ไม่ครับ”
เขาไม่ได้ยินเสียงของญาธิดาเลย ได้แต่กลัวว่าที่คุณภวินท์เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะจิตสำนึกที่คอยหลอกหลอนเขาอยู่
ได้ยินดังนั้น แววตาของภวินท์ก็ดูเศร้าลงเล็กน้อย
เพราะเมื่อวานนี้หลุยส์บอกว่าวันนี้จะพาญาธิดามาหาเขาที่นี่
ทันใดนั้นเอง ประตูด้านหลังก็เปิดออก หลุยส์ที่สวมชุดสีดำ เขาก้าวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่เห็นภวินท์ เขาก็พูดขึ้น “วิน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว !”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวล จนทำให้ทั้งภวินท์และพายุเผลอประหม่าอย่างไม่รู้ตัว
หลุยส์เข้ามาด้วยท่าทีประหม่าขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ !
หลุยส์รีบก้าวเท้าเข้ามา พูดอย่างกดดัน “ไอ่ภูผานั่นมันกำลังเอาคนมาที่นี่ อาจเพราะพวกมันพบที่นี่แล้ว พวกเรารีบหนีเถอะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ภวินท์ก็ตัวแข็งทื่อ คิดอะไรไม่ออก สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่ตัวเขาเอง แต่เป็นผู้คนที่อยู่ที่นี่
หากเขาถูกภูผาพบตัวเข้า แน่นอนจะต้องถูกสาวมาถึงคนที่นี่แน่
พายุรีบเข็นรถเข็นออกไปทางประตูหลังของสถานปฏิบัติธรรม ซึ่งสามารถใช้ออกไปยังภายนอกภูเขาที่ที่รถของหลุยส์ได้จอดไว้
ภวินท์ขมวดคิ้วพลางพูดว่า “แล้วท่านเจ้าอาวาสล่ะ เราจะทำยังไงดี ?”
หลุยส์รีบออกมาจากห้องพร้อมกับของสำคัญของภวินท์ที่ถูกเก็บอย่างเร่งรีบ เขาได้ยินดังนี้ก็พูดขึ้น “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องพวกนั้น !”
“เป้าหมายของพวกมันคือนายต่างหาก ไม่ใช่พวกเขา! พอพวกเราออกจากที่นี่ไปแล้วพวกเขาก็จะปลอดภัย!”
หลุยส์ตอบอย่างร้อนรน แล้วรีบออกไปก่อนทันที
ทางบนภูเขาทั้งขรุขระทั้งลื่น พายุเข็นรถเข็นด้วยความยากลำบากทำให้ความเร็วของพวกเขาลดลง
เมื่อหลุยส์เห็นว่าท่าไม่ดี ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “แบบนี้ไม่ทันการณ์แน่ พวกมันจะมากันแล้ว!”
จากนั้น หลุยส์ก็แบกภวินท์ขึ้นมาจากรถเข็น แล้วหันไปสั่งพายุ “รีบจัดการรถเข็นนี่ซะ จะให้พวกมันรู้ไม่ได้ว่าพวกเราออกมาจากที่นี่แล้ว”
“เข้าใจครับ !”
พายุรีบผลักรถเข็นลงไปในพุ่งไม้ด้านข้าง หลังจากทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครสังกตเห็นก็รีบไปลบรอยเท้าและร่องรอยล้อรถทิ้งไป
ภวินท์ที่อยู่บนหลังของหลุยส์รับรู้ได้ถึงความร้อนรนของทุกคน เขาได้แต่เพียงกำหมัดแน่นกับความอ่อนแอของตนเอง ขนาดเวลาเป็นตายแบบนี้เขายังช่วยเหลืออะไรตนเองไม่ได้ และยังจะลากคนอื่นมาเสี่ยงอันตรายด้วยอีก!
เขารู้สึกอ่อนแอกับความรู้สึกผิดถูกฝังไว้ในเบื้องลึกในจิตใจของเขา เขาหลับตาลงอย่างเจ็บปวด
เสียงหายใจ เสียงความวุ่นวาย เสียงที่อยู่รอบ ๆ พวกนี้เปรียบเสมือนมีดที่คอยทิ่มแทงจิตใจของเขา เสียงมันค่อย ๆ กังวานขึ้นจนเขาแทบจะหมดสติไป
ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าไหร่ แรงสั่นหยุดลง เขาได้ยินเสียงบางคนออกคำสั่งอย่างเร่งรีบ จากนั้นหลุยส์ก็วางตัวเขาลง
เขาลืมตาขึ้น พบว่าตัวของเขาก็อยู่บนรถแล้ว จากนั้นพายุก็ตามขึ้นมาและปิดประตู หลุยส์รีบออกรถไปทันที
ขณะที่รถกำลังวิ่งไปบนถนน ภวินท์ก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเขารามค่อย ๆ ห่างออกไปเรื่อย ๆ ใจของเขาเจ็บจี๊ดอยู่หลายครั้งอย่างไม่มีเหตุผล
เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดวันนี้ มันเป็นเพราะไอ่ภูผานั่น!
แค้นครั้งนี้ต้องชำระ!
รถค่อย ๆ วิ่งไปบนถนนเส้นหลัก ทุกคนบนรถต่างก็เริ่มเบาใจลง
“พี่หลุยส์นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ ไอ่ภูผานั่นถึงรู้เรื่องนี้ได้ล่ะ?” พายุถามอย่างกระวนกระวาย
หลุยส์ที่นั่งอยู่เบาะหน้าสบถขึ้นขณะกำลังปาดเหงื่อ “ไม่รู้ว่าเจ้านั่นมันรู้เรื่องได้ยังไง วันนี้ฉันแค่จะมาหาภวินท์เท่านั้น ไม่คิดว่าจะไปเจอเข้ากับพวกมันที่กำลังมาที่นี่พอดี ฉันจึงใช้ทางลัดพวกมันมาก่อน!”
ภวินท์ขมวดคิ้ว “แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าพวกมันจะมาหาฉัน?สถานปฏิบัติธรรมหลบซ่อนตัวจากโลกภายนอก พวกมันอาจจะกำลังไปวัดเขารามก็ได้”
หลุยส์พูดอย่างใจเย็น “มีคนของฉันส่งข้อความมาเตือน ฉันได้เห็นมันก็สายเกินไปแล้ว แถมพวกมันยังพาคนมากันตั้งมากมาย วันนี้ฉันแค่จะมาหานายเท่านั้นก็เลยไม่ได้พาใครมาด้วย”
ภวินท์กำหมัดแน่นไม่ยอมพูดอะไรอีก
สุดท้ายเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “พวกมันรู้ที่อยู่ของสถานปฏิบัติธรรมได้ยังไง?”
สถานปฏิบัติธรรมซ่อนอยู่ในที่ที่หาเจอได้ยาก เขาคิดว่าภูผาคงไม่มีทางหาเขาพบได้ แต่ไม่คิดเลยว่า…