ดวงใจภวินท์ - บทที่ 536 ข่าวร้าย
บทที่ 536 ข่าวร้าย
เขาโบกมือให้ลูกน้องถอยออกไป จู่แต่ ๆ ภวินท์ก็พูดขึ้น “รอก่อน”
“มีอะไรเหรอ?”
ภวินท์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นดูเหมือนรู้อะไรบางอย่างจึงถามเรื่องที่เกิดขึ้น
ยังไม่ทันที่ลูกน้องของเขาจะเอ่ยปาก หลุยส์ก็เดินเข้ามาพูด “ไม่มีอะไร ไม่ต้องกังวลหรอก”
พูดเสร็จ เขาก็โบกมือเป็นสัญญาณให้ออกไป
ใครจะคาดคิดว่าภวินท์กลับพูดขึ้นอีกครั้ง “เมื่อกี้ฉันเห็นนะ เขาพูดถึงญาธิดา เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ภวินท์รับรู้ได้จากการอ่านปากเมื่อสักครู่ เห็นว่าลูกน้องของหลุยส์มารายงานถึงเรื่องอะไรบางอย่าง
หลุยส์ไม่ทันได้คาดคิด ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่จำเป็นต้องโกหกอีกต่อไป เขาเดินเข้าไปและพูดว่า “ก่อนที่ภูผาจะไปที่นั่น ญาธิดากับคนจำนวนหนึ่งก็ได้ไปที่สถานปฏิบัติธรรมเช่นกัน”
ภวินท์ได้ยินดังนี้ เขาเผลอขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว พลันนึกอะไรบางอย่างออก วันนี้ขณะที่อยู่บนลานกว้างเขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของญาธิดา ในตอนนั้นเองเขาก็ลองถามพายุด้วย หรือญาธิดาอาจจะมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้?
แต่เธอไปที่นั่นทำไมกัน? แล้วเธอหาที่นั่นเจอได้ยังไง? เธอเป็นคนพาภูผาไปที่นั่นเหรอ?
ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เขาค่อย ๆ กำหมัดแน่น ไม่ยอมพูดอะไร
หลุยส์เห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ฉันให้ลูกน้องของฉันอยู่ค้นหาที่สถานปฏิบัติธรรมต่อแล้วล่ะ ฉันคิดว่าท่านเจ้าอาวาสอาจจะกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ ยังไงซะพวกเขากับภูผาก็ไม่เคยมีเรื่องราวบาดหมางกัน คงไม่มีความจำเป็นอะไรต้องกำจัดพวกเขาทั้งหมดหรอก”
เช้าวันรุ่งขึ้นอันสดใส ภวินท์ก็ลุกตื่นขึ้น เขานั่งลงบนรถเข็นที่ริมระเบียงสายตามองออกไปไกล จิตใจของเขากระสับกระส่าย
ตั้งแต่เขากลับมาจากเขารามจนมาถึงเมืองJ เรื่องต่าง ๆ มากมายก็ประดากันเข้ามาให้หัวของเขา
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี
ในตอนนี้ สำหรับคนอื่น ๆ เขาไม่ต่างจากตายไปแล้ว ถ้าเกิดจู่ ๆ เขาปรากฏตัวขึ้นมันจะช่วยอะไร ไหนจะยังมี STN Group อีก
มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวจนเขาคิดอะไรไม่ออก
ในขณะนั้นเอง ก็มีคนเปิดประตูออก เป็นหลุยส์ที่เดินเข้ามา เขามองหาอยู่หนึ่งรอบ สุดท้ายก็เห็นเขานั่งอยู่ที่ระเบียง สายตาของเขาฉายแววแห่งความลังเล
เมื่อภวินท์ได้ยินเสียงของเขา จึงหันมาถาม “เรื่องมันเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
หลุยส์เงียบไปครุ่หนึ่ง เดินตรงมาหาเขา สายตามองทอดยาวไปไกล ตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “อืม”
ใจของภวินท์สั่น ไม่ได้พูดอะไร เฝ้าคอยคำตอบจากหลุยส์
เงียบไปไม่นาน หลุยส์จึงพูดขึ้น “ตอนนี้พบศพของท่านเจ้าอาวาสแล้ว ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตรจากสถานปฏิบัติธรรม ถูกมีดแทง ส่วนนักบวชเฒ่ากับเณรน้อยคนอื่น ๆ ยังไม่พบ”
คำพูดพวกนี้ราวกับมีดที่มาทิ่มแทงเขา จิตใจของภวินท์ดำดิ่ง มือที่จับที่วางแขนกำแน่น เส้นเลือดบนแขนปูดขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะพยายามสงบสติเอาไว้ แต่ร่างกายของเขากลับสั่นระริก
ตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้าอาวาสมอบที่พักและคอยดูแลเข้าล่ะก็ เขาคงจะมีชีวิตมาจนถึงวันนี้ไม่ได้หรือจะพูดอีกอย่างนัยก็คือ คนที่สถานปฏิบัติธรรมทั้งหมดเป็นคนช่วยชีวิตเขาไว้
จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณคนเหล่านั้น เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นตัวเขาเองที่นำหายนะมาสู่ผู้อื่น เจ้าอาวาสเสียชีวิตไปแล้ว คนอื่น ๆ ก็หายตัวไป เขาไม่รู้จะให้อภัยตัวเองยังไงดี !
ความรู้สึกหงุดหงิดและละอายใจอยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเขา เป็นเพราะว่าตอนนี้ขาของเขายังใช้การไม่ได้ แม้จะไปหาภูผาเพื่อชำระแค้นก็ยังทำไม่ได้!
หลุยส์ได้เห็นดังนั้น เขายืดมือไปตบไหล่ของเขา พลางพูดปลอบประโลมว่า “เรื่องเป็นอย่างนี้ไปแล้ว ฉันเสียใจด้วยนะ”
ช่วงเวลาเดือนกว่านั้น เพื่อเป็นการปิดบังคนรอบข้าง ดังนั้นหลุยส์จึงมักจะไปหาภวินท์ในช่วงกลางดึกแทน แม้จำนวนครั้งที่ไปจะน้อย แต่มันก็เพียงพอให้รู้สึกถึงความเมตตา ความเป็นมิตรและความจริงใจของคนที่นั่น
เมื่อต้องทราบข่าวเช่นนี้ เขาเองยังรู้สึกไม่สบายใจ คงไม่ต้องพูดถึงภวินท์ที่อยู่กับพวกเขาตลอดเวลา
ไม่ต้องบอกเขาเองก็ทราบดีว่าภวินท์นั้นโศกเศร้าเพียงใด
ผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเข็นคันนี้ได้แต่ก้มหน้าลง แม้จะพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองไว้ แต่หัวไหล่เขาก็ยังสั่นไม่หยุด ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ค่อย ๆ สงบลง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา มันทำให้เห็นดวงหาสีแดงก่ำของเขาได้อย่างชัดเจน
ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธที่ซับซ้อนและความเยือกเย็นสุดขีด เขาหันศีรษะและมองตรงไปที่หลุยส์พูดอย่างหนักแน่นว่า”หลุยส์ ช่วยฉันอีกเรื่องนึง”
เขากำลังคิดว่า เรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมถึงฝันร้ายพวกนั้น มันเกี่ยวข้องกับเธอบ้างหรือเปล่า?
หลังจากที่เมื่อวานเธอกลับจากเขาราม ญาธิดาก็ไม่ได้ออกมาจากบ้านอีก เหตุผลแรกอาจจะเป็นเพราะเธอเพิ่งกลับมาจากการปีนเขา ร่างกายจึงอ่อนล้า หรือไม่อย่างนั้นก็อาจจะเป็นเพราะว่าเธอกำลังคิดอยู่ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นถูกหรือผิด ตั้งแต่เมื่อวาน พวกเขาก็ให้คนไปเสาะหาเบาะแสมาทั้งวัน แต่กลับไม่พบอะไรเลย
ญาธิดากำลังใช้ความคิด เดิมทีลูกน้องที่ไม่ยอมขึ้นไปบนเขาเท่าไหร่นัก หรือว่าพวกนั้นจะรู้แต่แรกอยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้
หรือว่าเธอจะเริ่มต้นผิดตั้งแต่แรก?
เดิมทีเธอกับพี่เข้มและพยัคฆ์ตั้งใจว่าจะใช้เวลาตามหาเขาอยู่สามวัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขากลับเสียแรงเปล่าๆ ดังนั้นจึงได้ให้วันหยุดกับพวกเขาในการพักผ่อน
พอเริ่มสาย ๆ หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ญาธิดาเดินวนอยู่ในห้องด้วยความเบื่อหน่าย จากนั้นก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ บนโต๊ะที่เขียนเบอร์ติดต่อกับเจ้าอาวาสไว้ เมื่อวานหลังจากกลับมาเธอไม่มีเวลาโทรกลับ มาวันนี้เห็นเข้าจึงนึกขึ้นได้
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หยิบกระดาษพลิกไปพลิกมา ครุ่นคิดสักครู่ ในที่สุดก็กดโทรไปด้วยความหวังที่ริบหรี่
ทันทีที่โทรออก ก็มีเสียงอัตโนมัติของผู้หญิงพูดขึ้น “ขอโทษด้วยค่ะ ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก…”
ปิดเครื่องหรือ?
ญาธิดาประหลาดใจเล็กน้อย แต่หลังจากลองคิดดู โดยปกติแล้วท่านเจ้าอาวาสคงไม่ค่อยได้ติดต่อกับคนภายนอกเท่าไหร่นัก อาจจะปิดเครื่องเป็นปกติก็ได้
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็วางกระดาษทิ้งไว้ และไปจัดการเรื่องอื่นต่อ
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยผ่านมาถึงตอนบ่าย ขณะที่เธอกำลังจะออกไปซื้อของ ก็มีสายโทรมาจากธีทัตพอดี
เธอนิ่งไปสักพักก่อนจะกดรับสาย “ฮัลโหล? ”
ธีทัตโทรหาเธอเวลานี้ หรือว่าจะมาถึงเมืองJแล้ว?
ต่อมา เสียงอันสดใสของธีทัตก็ดังขึ้นมาจากปลายสาย “ธิดา ผมมาถึงเมืองJแล้ว แต่เพราะว่าผมมีธุระต้องไปทำต่อนิดหน่อย เลยไม่ได้กลับบ้าน คุณกับลูกๆ เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีกันไหม?”
ในใจมีความกังวลเล็กน้อย เธอพูดเบา ๆ “พวกฉันสบายดี ไม่ต้องกังวลหรอก ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนน่ะ?”
“ผมอยู่ใกล้ ๆ บริษัทนี่แหละ คุณว่างไหม? ตอนเย็นพวกเราไปทานข้าวกันไหม?”
เธอหยิบโทรศัพท์มาแนบไว้ที่หู พลางเก็บกระเป๋าไปและพูดว่า “ฉันกำลังออกไปข้างนอกน่ะว่าจะไปวซื้อเสื้อผ้าให้พวกท่านหน่อย”
ผู้ชายหัวเราะเบา ๆ “งั้นดีเลย ผมจะไปซื้อของเป็นเพื่อนคุณ”
“โอเค เจอกันที่ห้างนะ”
ในที่สุดวันนี้ธีทัตก็กลับมา แสดงว่าอาการของอันอันดีขึ้นแล้ว รอให้เจอเขาก่อนฉันจะได้ลองสอบถามดู