ดวงใจภวินท์ - บทที่ 541 รอไว้เจอหน้ากันค่อยอธิบาย
ญาธิดาจับสังเกตแววตามืดมนของเขาได้อย่างรวดเร็ว แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธออย่างรวดเร็ว “ตอนนี้เธอกำลังรักษาตัวอยู่ ทำไมนายไม่ใช้โอกาสนี้ไปหาเธอล่ะ?”
ถ้าอัญมณีตื่นขึ้นมาได้เห็นหน้าพายุ เธอต้องดีใจมากแน่ ๆ
พายุได้ยินดังนั้นก็ได้แต่พูดเบา ๆ ว่า “ตอนนี้ผมจะห่างท่านประธานไม่ได้เด็ดขาด”
ตอนนี้ภวินท์กลับมาที่เมืองJอีกครั้ง ก็เหมือนกลับเข้าถ้ำเสือ รอบตัวเต็มไปด้วยอันตราย ตอนนี้เขากำลังขาดกำลังคน ถ้าเขาจากเขาไปตอนนี้ แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน?
ญาธิดาพอจะคาดเดาความคิดของเขาออกเช่นกัน จึงได้แต่ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็คงทำได้แค่รอให้เธอกลับมา…”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่กว่าจะรอให้อัญมณีฟื้นตัวกลับมาแข็งแรงเต็มที่ เกรงว่าความสัมพันธ์ของเธอกับพายุคงจะไม่ได้รับคำอวยพรจากคนอื่นแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคุณพ่อคุณแม่ของเธอหรอก แค่ธีทัตคนเดียวเขาก็คงผ่านด่านยากเหมือนกัน
บรรยากาศภายในห้องเยือกเย็นลงเล็กน้อย พายุนิ่งไป ก่อนจะค่อย ๆ ซ่อนความสับสนและความกลุ้มใจในแววตาของตัวเองให้เลือนหายไป และกลับเข้าสู่โหมดจริงจังกับการทำงานอีกครั้ง
“เมื่อถึงเวลาอาหารจะมีคุณป้ามาทำอาหารให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องอื่น ๆ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมก็สามารถบอกผมได้”
หลังจากพูดจบเขาก็เตรียมตัวจะเดินจากไป แต่ถูกญาธิดาเรียกเอาไว้เสียก่อน “นายคืนโทรศัพท์ให้ฉันได้หรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินดังนั้น พายุก็ชะงักนิ่งไป ก่อนจะเดินออกจากห้อง แล้วกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับโทรศัพท์มือถือของเธอในมือเขา
ญาธิดารับคืน ทันทีที่เปิดโทรศัพท์โทรศัพท์ของเธอสั่นรัวอยู่พักใหญ่ สายที่ไม่ได้รับและข้อความต่าง ๆ นานา เด้งขึ้นมา
ส่วนใหญ่เป็นสายโทรเข้าจากธีทัต ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ๆ หลังจากพายุเดินออกไปเธอจึงโทรกลับไปหาเขา
ไม่ต้องคิดเธอก็สามารถคาดเดาได้ว่าตอนนี้ธีทัตจะต้องร้อนใจมากแน่ จู่ ๆ เธอก็หายตัวไปกะทันหันแบบนี้ แถมยังไม่มีข่าวคราวเลยด้วย เขาต้องเป็นกังวลมากแน่ ๆ
โทรศัพท์เพิ่งจะกดโทรออก เสียงตู๊ดดังแค่ครั้งเดียว ปลายสายก็กดรับสายแล้ว
“ฮัลโหล? ธิดา เธออยู่ไหน?”
“ทัต” ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ตอนนี้ฉันปลอดภัยดี คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แต่เพราะตอนนี้มีเรื่องบางอย่าง ฉันอาจจะยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้”
น้ำเสียงของธีทัตฟังดูกังวลเล็กน้อย “หมายความว่าไง?”
ญาธิดากัดริมฝีปากแน่นและพูดว่า “พูดไปตอนนี้ก็ไม่เข้าใจหรอก ไว้ฉันกลับไปจะค่อย ๆ อธิบายให้คุณฟังโอเคไหมทัต?”
เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น ปลายสายเงียบไปทันที ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงของธีทัตก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ธิดา ส่งตำแหน่งที่อยู่ของเธอให้ฉัน ฉันจะไปรับเธอ”
“ทัตไม่ต้องห่วงฉัน ตอนนี้ฉันปลอดภัยดี…”
“ทุกวินาทีที่เธออยู่ข้างเขา ฉันวางใจไม่ได้หรอก ธิดาส่งที่อยู่มาให้ฉัน”
น้ำเสียงของธีทัตหนักแน่นขึ้นมาก น้ำเสียงที่ยากจะปฏิเสธ
ญาธิดาตึงเครียด ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
เธอรู้สึกผิดเรื่องเจ้าอาวาสมาก เธออยากทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ให้ชัดเจน รวมทั้งเรื่องที่จะช่วยตามหาภวินท์ที่เธอเคยรับปากคุณย่าไว้อีก ตราบใดที่ยังไม่ได้โน้มน้าวให้ภวินท์ไปเจอหน้าคุณย่า เธอจะจากไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ทางด้านธีทัตก็ยังยืนกรานแน่วแน่ การที่เขาจะเป็นห่วงเธอมันก็มีเหตุมีผล เธอจึงไม่รู้ว่าควรจะปฏิเสธเขายังไง
“ธิดา?” เมื่อไม่ได้ยินธิดาตอบรับ ธีทัตถึงเอ่ยถามอย่างกังวลใจ “ที่ฉันพูดเมื่อกี้เธอได้ยินหรือเปล่า?”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าและตัดสินใจอย่างเด็ดขาด พูดย้ำกับเขาทีละคำ ๆ “ทัต ครั้งนี้ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการจริง ๆ ฉะนั้นเรื่องทุกอย่างไว้เราเจอกันแล้วฉันจะอธิบายให้ฟังนะ”
หลังจากพูดจบ เธอก็ไม่ฟังคำโน้มน้าวของชายหนุ่มอีกต่อไป เธอกดตัดสายทิ้งและปิดโทรศัพท์มือถือทันที
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ เธอก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ ได้แต่แอบรู้สึกผิดในใจ
เธอรู้ดีว่าการที่ทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมต่อธีทัตเลย แต่เรื่องที่เธอรับปากคุณย่าไว้เธอต้องทำให้ได้ แถมยังมีเรื่องของเจ้าอาวาสอีก เธอจะต้องหารายละเอียดที่มาที่ไปทุกอย่างให้ได้
เธอถอนหายใจยาวเหยียด แหงนมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง เดินไปที่เตียงแล้วล้อมตัวลงนอน
ตอนนี้คงมีเพียงนอนหลับเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเธอหลบเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ นานาพวกนี้ได้ เธอนอนลง ห่มผ้าและผล็อยหลับไป
พอลืมตาตื่นก็ไม่รู้ว่าตัวเองนอนหลับไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่าท้องฟ้าข้างนอกมืดลงแล้ว เธอสะลึมสะลือ หลังจากลุกขึ้นมานั่งเธอก็ยันตัวลุกไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ
เมื่อกลับมาที่ห้องนอน เธอมองห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายสุด ๆ แล้วก็ต้องรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ภายในห้องไม่มีน้ำและของกินเลยแม้แต่นิดเดียว พอตื่นนอนเธอก็เริ่มหิว ท้องว่างแบบนี้ทรมานสุด ๆ ไปเลย
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นตามด้วยเสียงของหญิงวัยกลางคน “คุณญาธิดา อาหารเย็นพร้อมแล้วลงมาทานอาหารได้แล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นแววตาของญาธิดาก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที เธอรีบเดินไปที่ประตูและเปิดประตูออก
ด้านนอกประตู มีหญิงวัยกลางคนหน้าตาใจดีคนหนึ่งยืนอยู่พร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม
เธอยิ้มให้ญาธิดา แล้วพูดอีกครั้งว่า “คุณญาธิดาลงไปทานข้าวเถอะค่ะ”
“ค่ะ” ญาธิดารู้สึกดีกับเธอคนนี้อย่างอธิบายไม่ถูก บวกกับที่ตอนนี้เธอกำลังหิวมาก จึงเดินตามเธอลงไปด้านล่างทันที
ห้องอาหารอยู่ชั้นหนึ่ง ห้องครัวเป็นแบบกึ่งเปิด เมื่อญาธิดาเดินเข้าไปก็เห็นว่าบนโต๊ะหินอ่อนมีอาหารค่ำอันโอ่อ่าเตรียมพร้อมเอาไว้หมดแล้ว
โจ๊ก ปลาแมคเคอเรล ผัดผักกวางตุ้ง แถมยังมีซุปข้นเต้าหู้ปู อาหารทุกจานถูกปรุงแต่งอย่างประณีต ทำให้คนเริ่มอยากอาหารขึ้นมาทันที
ญาธิดาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารอย่างอดไม่ไหว เพิ่งจะกินได้สองสามคำ เธอก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านข้าง
เสียงดังมาจากทางบันได เมื่อญาธิดาหันไปมองก็พบกับใบหน้าที่คุ้นเคยของคนสองสามคนเข้าพอดี ภวินท์นั่งอยู่บนรถเข็น พยัคฆ์เป็นคนเข็นอยู่ด้านหลัง และมีพี่เข้มยืนอยู่ข้าง ๆ กำลังรายงานบางอย่างให้เขาฟังด้วยเสียงแผ่วเบา
ดูเหมือนว่าทั้งสามคนจะรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอที่กำลังจ้องมองจึงเหลือบมองมาทางเธออย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย เมื่อพี่เข้มกับพยัคฆ์เห็นเธอ พวกเขาเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
พยัคฆ์โพล่งพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “พี่ธิดา ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่…”
ทีแรกเขาอยากถาม แต่เมื่อนึกขึ้นได้กะทันหันว่าภวินท์อยู่ข้าง ๆ เขาจึงรีบหยุดพูด พลางเหลือบมองชายที่นั่งอยู่บนรถเข็น และไม่ได้พูดอะไรอีก
ญาธิดายิ้มให้พี่เข้มกับพยัคฆ์ ก่อนจะเหลือบมองใบหน้าเย็นชาของภวินท์ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอแข็งทื่อขึ้นทันที เธอเหลือบมองเขาแค่แวบเดียวก่อนจะเสมองไปทางอื่น ราวกับว่ามองไม่เห็นเขายังไงอย่างนั้น
ภวินท์ก็มองสายตาของเธอออกเช่นกัน เขาขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง เขาก็หันไปสั่งพี่เข้มกับพยัคฆ์ที่อยู่ด้านข้าง “เรื่องที่เหลือออกไปคุยกันข้างนอก”
พยัคฆ์ขานรับและเข็นรถเข็นออกไปทันที พาเขาออกไปสวน
เมื่อนึกถึงภาพที่พวกเขากล่าวทักทายญาธิดาเมื่อครู่นี้ ภวินท์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พวกนายสนิทกับเธอเหรอ?”
พยัคฆ์รีบตอบทันที “คุณภวินท์ คุณยังไม่รู้เหรอครับ? ช่วงก่อนหน้านี้ พวกเรากับพี่ธิดาตามหาคุณด้วยกันมาตลอด”
พี่เข้มที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าตามหลายต่อหลายครั้ง “ต้องขอบคุณธิดา ไม่อย่างนั้นพวกเราคงเหมือนแมลงวันหัวขาด จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน”
เมื่อได้ฟังทั้งสองคนชื่นชมญาธิดาไม่ขาดปาก ภวินท์ก็ได้แต่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ตอนเขาหายตัวไปผู้หญิงคนนี้ลงทุนลงแรงตามหาเขาจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เชื่อสนิทใจ แต่ภายในใจของเขาก็แอบมีความสุขขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก พลางเอ่ยขึ้นว่า “เล่ามาสิ”
เขาอยากจะฟังว่าตอนเขาหายตัวไป เธอตามหาเขายังไงบ้าง?