ดวงใจภวินท์ - บทที่ 543 อย่าฝืนเลย
ภวินท์ขมวดคิ้วพลางมองทุกการกระทำของเธอ
ญาธิดาจอดรถเข็นเอาไว้ด้านข้าง แล้วเดินเข้ามาหาเขา
ภวินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เรื่องของฉันเธอไม่ต้องยุ่งหรอก เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ญาธิดารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก เธอขมวดคิ้วแน่น “ไม่ให้ฉันยุ่ง จะให้ฉันมองคุณหกล้มลงไปตายหรือไง?”
น้ำเสียงแข็งกร้าวของเธอ ทำเอาภวินท์ที่ได้ยินขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม “เธอ…”
ชายหนุ่มโกรธจนหน้าเขียวปั๊ด แต่ญาธิดาก็ยังคัดค้านไม่ยอมเห็นด้วย “เวลาแบบนี้อย่าฝืนตัวเองเลย”
ขณะที่พูดเธอก็เดินอ้อมไปด้านหลังเขา สอดแขนสองข้างผ่านใต้รักแร้ของเขา และพยายามจะพยุงเขาให้ลุกขึ้นจากทางด้านหลัง
ทันใดนั้น สีหน้าของภวินท์ก็เปลี่ยนเป็นเขียวผสมแดงระเรื่อ ความอับอายและความคับอกคับใจผสมปนเปเข้าด้วยกัน จนเขาต้องขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นอย่างช่วยไม่ได้ จนเกิดเป็นรอยย่นตรงระหว่างคิ้ว
เขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน เขาในตอนนี้แม้แต่จะยืนจะเดินด้วยตัวเองยังทำไม่ได้ แถมบังต้องให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ มาช่วย ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกอับอายมาก
ญาธิดาพยายามพยุงเขาขึ้นจากทางด้านหลัง แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นผู้ชายที่โตเต็มวัยแล้ว แขนยาวขายาว น้ำหนักก็ไม่ใช่น้อย ๆ เธอกัดฟันพยายามลากเขาไปทางด้านหลังอย่างสุดกำลัง เดิมทีเธออยากจะลากเข้าไปข้างรถเข็น แต่หลังจากพยายามลากอย่างสุดแรงอยู่สักพัก แต่กลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่ครึ่งนิ้ว
เพียงครู่เดียว ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อเพราะออกแรงมากเกินไป เธอยังคงพยายามลากเขาต่อไปอย่างสุดกำลัง แต่สุดท้ายก็ขยับไปไม่ได้ไกลนัก
ภวินท์ขมวดคิ้ว “เอาล่ะ วางฉันลง เธอไม่ต้องมายุ่งกับฉันแล้ว”
ญาธิดาได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “ถ้าไม่ให้ยุ่งกับคุณ เกรงว่าคุณคงได้นอนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนแน่”
ขณะที่พูดเธอก็ออกแรงลากเขาไปด้านข้างอีกครั้ง ค่อย ๆ ขยับทีละนิด จนในที่สุดก็ลากมาจนถึงข้างรถเข็น
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พลางจัดแจงเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่จากการลากดึงกันไปมาเมื่อครู่นี้ให้เรียบเหมือนเดิม ก่อนจะเงยหน้ามองภวินท์ที่นั่งทำหน้าเขียวปั๊ดอยู่บนรถเข็น พลางถามเขาว่า “คุณจะไปไหน? ฉันจะพาไปส่ง”
สีหน้าของภวินท์ไม่น่าดูมากขึ้นกว่าเดิม
เดิมที การที่ขาทั้งสองข้างของเขาพิการมันก็เป็นจุดเจ็บปวดที่สุดของเขาตอนนี้อยู่แล้ว แล้วเธอก็ยังเอาแต่ทิ่มแทงเข้าไปในจุดเจ็บปวดในใจของเขาอยู่ได้
เขาขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันจะไปเอง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ญาธิดาก็เลิกคิ้วขึ้น หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็กางมือออกแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “โอเค ตามใจคุณเลย อยากจะไปที่ไหนก็ไปเองเลย”
พูดจบเธอก็หันหลังเดินจากไป
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหญิงสาวเดินห่างออกไปไกล คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นของภวินท์ค่อย ๆ คลายออกจากกัน เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เหลือบมองไปที่ขาทั้งสองข้างของเขา แล้วมองไปที่ทางลาดด้านข้างบันได ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนรถเข็นเตรียมตัวจะลงไปด้านล่าง
ขณะที่รถเข็นกำลังจะเคลื่อนตัวลงทางลาด ภวินท์กระชับมือทั้งสองข้างที่จับอยู่บนที่พักแขน เมื่อกี้ตอนที่เขากำลังจะลง เนื่องจากรถเข็นมีน้ำหนักถ่วงมาก ทำไมความเร็วของรถเข็นเคลื่อนเร็วขึ้น ครั้งนี้ เขาจะต้องไปอย่างช้า ๆ
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงบันไดจะมีคนคอยอยู่ข้าง ๆ เขาตลอด แต่ตอนนี้ เขาอยากเรียนรู้การใช้รถเข็นด้วยตนเองและปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ที่แตกต่างออกไปให้มากขึ้น
ขณะที่ล้อของรถเข็นค่อย ๆ เลื่อนลงมาตามทางลาด ความเร็วของมันก็เพิ่มเร็วขึ้นเพราะแรงถ่วงอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง รถเข็นก็เหมือนถูกอะไรบางอย่างดึงเอาไว้ ความเร็วของรถเข็นเหมือนถูกควบคุมอย่างกะทันหัน
เมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ภวินท์จึงรีบหันกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบังเอิญสบตากับญาธิดาที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาพอดี
แววตาของเขาตกตะลึงไปเล็กน้อย เพียงไม่นานเขาก็ได้สติ “เธอไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันหลอกคุณน่ะ” ญาธิดาเลิกคิ้ว มุมปากเชิดขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ถ้าฉันไปแล้วคุณเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แบบนั้นต่อให้แก้ตัวยังไงฉันก็ผิดอยู่ดี ฉะนั้นฉันคอยตามคุณไปด้วยดีกว่า”
ขณะที่พูด เธอก็ค่อย ๆ เข็นรถพาเขาลงไปตามทางลาด
เมื่อภวินท์ได้ฟังคำพูดพวกนั้น ความโกรธก็ลุกโชนขึ้นมาในใจเขาอีกครั้งอย่างอธิบายไม่ถูก แล้วก็พูดอะไรไม่ออก
คำพูดของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาโกรธได้แทบทุกวินาทีเลย!
หลังจากนั้นญาธิดาก็เข็นรถพาเขาเดินทะลุผ่านห้องโถงใหญ่ไปยังสวนดอกไม้เล็ก ๆ ทางด้านนอก
ภวินท์อึ้งและแปลกใจเล็กน้อย เมื่อกี้ตอนญาธิดาถามเขาว่าจะไปไหน เขาไม่ได้ตอบอะไรเธอเลยแท้ ๆ แต่เธอรู้ได้ยังไงว่าเขาอยากจะไปสูดอากาศที่สวนดอกไม้?
เขาเอ่ยปากถาม “เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันจะไปสวนดอกไม้?”
ญาธิดาพาเดินต่อไปข้างหน้าแล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “ถ้าฉันเป็นคุณ ก็คงจะเป็นเพราะกลางดึกนอนไม่หลับ”
ประโยคนี้ ทำเอาภวินท์ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ
เขานอนไม่หลับจริง ๆ
ตั้งแต่กลับมาจากวัดเขาราม ทุกคืนเขาก็นอนหลับได้ไม่สนิทนัก ยิ่งหลังจากที่รู้ว่าเจ้าอาวาสตายแล้ว แถมนักบวชธีระกับเณรน้อยก็หายตัวไป เขาก็ยิ่งนอนไม่หลับเลย
แทนที่จะทนนอนไม่หลับขังตัวเองให้ทรมานอยู่ในห้องแบบนั้น ไม่สู้ออกมาเดินข้างนอกและวางแผนการล่วงหน้ายังจะดีกว่า
แล้วทันใดนั้น เสียงของญาธิดาก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา “ภวินท์ คุณย่าเป็นห่วงคุณมากนะ ตั้งแต่คุณกลับมาจากเขาราม คุณได้โทรหาท่านบ้างไหม?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ภวินท์ก็เม้มปากเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่”
วินาทีต่อมา ญาธิดาก็ต้องขมวดคิ้วแน่นอย่างอดไม่ได้ “ทำไมถึงไม่บอกคุณย่าสักคำล่ะ คุณรู้ไหมว่าท่านเป็นห่วงคุณมาก”
จนตอนนี้เธอยังจำวันที่เจอกับคุณย่าที่สุสานได้อย่างชัดเจน หญิงชราผมหงอกขาว กุมมือเธอเอาไว้แน่นต่อหน้าแผ่นป้ายหลุมศพ “ปลอม” ของภวินท์ พลางอ้อนวอนเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่าให้ช่วยตามหาเขา ในตอนนั้น ในอกของเธอทั้งเจ็บปวดและอึดอัดใจมาก
ชายบนรถเข็นเอาแต่นั่งเงียบ
ทันใดนั้น ความโกรธภายในใจของญาธิดาก็ปะทุออกมาทันที ลำคอของเธอแข็งเกร็ง พูดออกมาอย่างทนไม่ไหว “ตั้งแต่ต้นจนสุดท้ายคุณย่าไม่เคยเชื่อเลยว่าคุณจากไปแล้ว เธอเชื่อมั่นว่าหลานชายของเธอยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นแม้ว่าจะถูกภูผาคอยจับตาดูอยู่ตลอด แต่เธอก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะระดมคนของเธอออกไปสืบข่าวเรื่องของคุณ โดยที่ไม่เคยยอมแพ้เลย แล้วคุณล่ะ? ไม่เคยคิดแม้แต่จะรายงานความปลอดภัยให้ท่านทราบบ้างเลยเหรอ?”
ขณะที่พูดเธอก็เอาแต่จ้องศีรษะของเขาจากด้านหลัง และรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก
เดิมทีสุขภาพของคุณย่าก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ยิ่งได้รับแรงกระทบจากเรื่องนี้ ภาระทางจิตใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้น และมันต้องส่งผลกระทบต่อสุขภาพของท่านแน่ แต่เขากลับไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้เลย เวลามากกว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมากลับไม่เคยแจ้งข่าวคราวอะไรให้คุณย่ารู้เลย
เธอโกรธจนปล่อยมือออกจากที่จับด้านหลังรถเข็น แล้วเดินอ้อมไปทางด้านหน้า ขมวดคิ้วแน่นอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นดวงตาทั้งสองข้างที่แดงก่ำเล็กน้อยของชายหนุ่ม เธอกลับจุกในลำคอ พูดอะไรไม่ออก
สีหน้าของภวินท์ยังคงปกติเหมือนเคย เพียงแต่ดวงตาทั้งสองข้างของเขาแดงก่ำขึ้นมาก เมื่อเห็นญาธิดายืนมองเขาอย่างอึ้ง ๆ เขาจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่นโดยไม่พูดอะไร
ญาธิดาลังเลเล็กน้อย “คุณ…”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ถ้าตอนนั้นฉันโทรหาคุณย่า ภูผาต้องรู้แน่ สถานการณ์ในตอนนั้น ร่างกายของฉันยังไม่ฟื้นตัวและไม่อยากให้คุณย่าต้องเป็นกังวล”
จะพูดก็คือเขาช่วยตัวเองไม่ได้
เขาไม่รู้ว่าภูผากับสิงโตมีอิทธิพลอำนาจมากถึงขนาดไหนแล้ว เขาไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจ ดังนั้นเขาทำได้แค่พยายามทำให้ดีที่สุดและอดทนกับทุกอย่าง
เมื่อเห็นความอดทนอดกลั้นที่แสดงออกผ่านใบหน้าของชายหนุ่ม ญาธิดาก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ที่แท้เขาก็มีสิ่งที่เขาคิดเอาไว้ มีความลับที่ยากจะพูดออกมาได้
ทันใดนั้น ญาธิดาก็รู้สึกว่าการว่ากล่าวตำหนิโดยไม่ถามเหตุผลของเธอเมื่อครู่นี้มันมากเกินไป เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดเบาๆ ว่า “เมื่อกี้ฉันพูดแรงเกินไปหน่อย ขอโทษนะ…”
ทันทีที่เธอพูดจบ เสียงขอภวินท์ก็ดังขึ้น เขาพูดย้ำชัดทีละคำว่า “ไม่มีอะไรต้องขอโทษ ถ้าเธออยากจะช่วยฉันก็ให้ยืนอยู่ข้างฉัน”
“หา?”
ญาธิดาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเหลือบมองไปทางเขา และบังเอิญได้สบตากลับแววตาแน่วแน่ของเขาเข้าพอดี