ดวงใจภวินท์ - บทที่ 558 แฟลชไดรฟ์นี้ให้เธอ
บทที่ 558 แฟลชไดรฟ์นี้ให้เธอ
เธอเป็นย่าแท้ ๆ ของภวินท์ ทันทีที่เธอรู้ตัวตนที่แท้จริงของอีธานกับเอลล่า เธออยากจะบอกเรื่องนี้กับเขามาก แต่เพราะสถานการณ์บางอย่าง บวกกับที่ญาธิดาขอให้เธอเก็บเป็นความลับ เธอไม่อยากเป็นคนขาดความน่าเชื่อถือ จึงทำได้เพียงเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับอย่างลำบากใจ
ไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอพยายามจะจับคู่ให้ภวินท์กับญาธิดากลับมาคืนดีกันอีกครั้ง เพราะมีแค่วิธีนี้ที่จะทำให้เธอไม่ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับให้อึดอัดใจอีก และเจ้าตัวเล็กทั้งสองคนก็จะได้รู้จักพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดพวกเขาที่แท้จริง และนี่คือผลลัพธ์ที่เธอคาดหวังและตั้งตารอมากที่สุด
แต่ใครจะรู้ว่าจนป่านนี้แล้วพวกเขายังไม่มีความคืบหน้าเลย ขันทีร้อนใจแต่กษัตริย์ไม่ร้อนใจ แถมจะแสดงออกมากเกินไปก็ไม่ได้ เพราะแบบนี้ทุกวันเธอจึงต้องทนอึดอัดเก็บความลับนี้ไว้จนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
เมื่อภวินท์ได้ยินคำพูดของคุณย่าที่พูดออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ เขาก็ถึงกับมึนงงไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร เขาได้แต่สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วถามว่า “คุณย่าคงจะตกใจมากเลยใช่ไหมครับ?”
คุณย่าขมวดคิ้ว ก่อนจะพ่นลมออกมาอย่างหงุดหงิดและไม่สนใจเขาอีก ก่อนจะหันไปมองญาธิดาที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ผู้เข้าชิงตำแหน่งหลานสะใภ้แห่งตระกูลสถิรานนท์ที่เธอถูกชะตาก็มีญาธิดาเพียงคนเดียวเท่านั้น
ฉะนั้นไม่ว่าจะยังไง ก่อนตายต่อให้เธอต้องติดปะรอยต่อกระดูกแก่ ๆ ร้าว ๆ ของเธอ เธอก็จะต้องทำให้พวกเขาสองคนได้กลับมาอยู่ด้วยกันให้ได้
จู่ ๆ เธอก็นึกอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และคิดว่าแบบนี้น่าจะทำได้เธอก็รีบหันไปหาภวินท์แล้วพูดขึ้นว่า “วิน ย่ารู้สึกเหนื่อย เอาเป็นว่าวินอยู่เฝ้าเธอที่นี่ ส่วนย่าจะกลับไปก่อนก็แล้วกัน”
น้ำเสียงและท่าทีของคุณย่าดูนิ่งและสงบขึ้นมาก พอภวินท์ได้ยินแบบนั้นทีแรกเขานึกว่าตัวเองฟังผิดไป ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมคุณย่ายังไงท่านก็ไม่มีท่าทีจะยอมเลยแท้ ๆ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ?
จู่ ๆ เธอก็นึกอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และคิดว่าแบบนี้น่าจะทำได้เธอก็รีบหันไปหาภวินท์แล้วพูดขึ้นว่า “วิน ย่ารู้สึกเหนื่อย เอาเป็นว่าวินอยู่เฝ้าเธอที่นี่ ส่วนย่าจะกลับไปก่อนก็แล้วกัน”
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ขอเพียงแค่คุณย่ายอมเอ่ยปาก ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
ภวินท์พูดกึ่งเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “ถ้าอย่างงั้นคุณย่ากลับไปพักผ่อนก่อน ไว้ถ้าเธอฟื้นแล้วผมจะโทรศัพท์ไปบอกคุณย่านะครับ”
คุณย่าพยักหน้า “โอเค ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่แกว่าแล้วกัน แต่แกต้องรับปากกับฉันว่าจะคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ เธอตลอด อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดอะไรเด็ดขาด!”
ภวินท์พยักหน้ารับประกันพลางส่งยิ้มอย่างมั่นใจให้คุณย่า “แน่นอนครับ”
เขาขอให้พายุไปส่งคุณย่าก่อน แล้วจึงโทรศัพท์ไปบอกพวกพยัคฆ์ว่าให้พวกเขามาที่นี่
ทันทีที่วางสายไป จู่ ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นอีก ภวินท์เหลือบมองญาธิดาที่ยังไม่ฟื้น ก่อนจะกดตัดเสียงโทรศัพท์และขับรถเข็นออกไปที่ประตูเพื่อรับสายโทรศัพท์
ดูเหมือนว่าเสียงโทรศัพท์เมื่อครู่นี้จะดังขึ้นมากะทันหันเกินไป หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงจึงเริ่มขยับตัวเล็กน้อย เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ลืมตา
เธอนอนอยู่บนเตียง ร่างกายแข็งเกร็งจนรู้สึกปวดเมื่อย ก่อนจะค่อย ๆ มองเห็นชัดขึ้น ประสาทสัมผัสก็ชัดเจนขึ้นมากด้วย เธอได้ยินเสียงทุ้มต่ำของใครบางคนดังมาจากประตู ดูเหมือนว่าจะมีคนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
เพียงไม่นาน เสียงกระซิบกระซาบทางนั้นก็หยุดลง ตามด้วยเสียงเคลื่อนของรถเข็น ก่อนที่เสียงของภวินท์จะดังขึ้นตามมา “ตื่นแล้วเหรอ?”
ญาธิดารู้สึกตัวและเอียงศีรษะเล็กน้อย เดิมทีเธออยากจะหันไปมองแต่ใครจะรู้ว่าพอเธอขยับตัว มันก็ทำให้ตึงไปถึงด้านหลัง ทันใดนั้นเธอก็ต้องขมวดคิ้วแน่นด้วยความเจ็บปวด พลางสูดหายใจเข้า
เมื่อภวินท์เห็นดังนั้นเขาก็ขมวดคิ้วตามพลางขับรถเข็นไปหยุดข้างเตียง ก่อนจะพูดบ่นเบา ๆ ว่า “อย่าขยับสุ่มสี่สุ่มห้าสิ เดี๋ยวตึงไปถึงแผลมันจะหายช้ากว่าเดิม
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ๆ “แต่…ฉันอึดอัดมาก”
ตั้งแต่ถูกส่งตัวมาโรงพยาบาล เธอก็นอนอยู่บนเตียงท่านี้มาตลอดจนถึงตอนนี้ ไม่ได้เปลี่ยนท่าเลยสักนิด แขนขาของเธอเหมือนถูกตรึงไว้กับเตียงด้วยตะปู ทั่วทั้งร่างกายแข็งทื่อไม่สบายตัว
พอภวินท์ได้ยินแบบนั้น ความรู้สึกบางอย่างก็แวบเข้ามาในใจเขา
ความรู้สึกแบบนี้ เขาก็รู้สึกแบบเดียวกัน ตอนที่ขาทั้งสองข้างของเขาพิการและต้องนอนพักฟื้นอยู่บนเตียง เดือนกว่า ๆ ที่สถานปฏิบัติธรรม เขานอนอยู่แต่บนเตียง ขยับตัวไม่ได้ ความรู้สึกมันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมากสำหรับเขา
และในตอนนี้ญาธิดาก็เป็นเหมือนกันกับเขาในตอนนั้น
จู่ ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “เธอรอเดี๋ยวนะ”
พูดจบเขาก็ขับรถเข็นออกไปนอกประตู พวกพยัคฆ์มาเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูแล้ว เขาจึงรีบบอกให้พยคฆ์ไปเตรียมของบางอย่างมาให้ “พยัคฆ์ นายไปที่แผนกศัลยกรรมกระดูกและขอยืมของจากพยาบาล…”
พยัคฆ์ฟังคำสั่ง แม้จะฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่สุดท้ายก็ไปทำตามที่เขาบอก
ภวินท์กลับเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง และบังเอิญเห็นญาธิดากำลังเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่โต๊ะข้างเตียงพอดี
ระยะค่อนข้างอยู่ห่างพอสมควร เธอลองเอื้อมมือไปสองสามครั้งแต่ก็เอื้อมไม่ถึงสักที
ภวินท์เห็นแบบนั้นก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ เขาก็อยากจะขยับเข้าไปใกล้ให้เร็วกว่านี้ แต่ก็ทำได้แค่ขับรถเข็นเข้าไปหา
พวกเขาในตอนนี้ คนหนึ่งบาดเจ็บ อีกคนพิการ คนบาดเจ็บสองคนมาอยู่ด้วยกัน ก็ดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
เขาขยับไปถึงหัวเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำแล้วยื่นให้ญาธิดา
หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากดวงตาสีเข้มหันมาสบตากันกับเขา พวกเขาก็รีบเบือนหลบจากกันทันที
เธอพูดขึ้นเบา ๆ ว่า “ขอบคุณ”
“ขอบคุณอะไร?” ภวินท์เอ่ยถามเพราะรู้สึกละอายอยู่ในใจ เพราะถ้าวันนี้เขาไม่ปล่อยให้นิวราเข้ามา มันก็คงไม่เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้
ภวินท์หรี่ตาลงเล็กน้อย “จะว่าไปแล้ว ฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะ”
ญาธิดาอึ้งไปเล็กน้อย และหันมองเขาด้วยความประหลาดใจ ริมฝีปากเธอขยับแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เห็นเพียงว่าชายหนุ่มหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าก่อนจะยื่นมันให้เธอ
เธอก้มลงมองและเห็นแฟลชไดรฟ์ขนาดเล็กวางอยู่กลางฝ่ามือของชายหนุ่ม “นี่คือวิดีโอที่นิวราสารภาพว่าขับรถชนคนที่เธออยากได้ ตอนนี้ฉันจะให้มันกับเธอ”
สายตาของญาธิดาจับจ้องอยู่ที่แฟลชไดรฟ์นานพักใหญ่ ก่อนจะเหลือบตามองเขาแล้วส่งยิ้มให้น้อย ๆ พลางพูดติดตลกกับเขาว่า“ทำไมตอนนี้ถึงยอมเอาให้ฉันแล้วล่ะ?”
ภวินท์ค่อย ๆ พูดออกมาอย่างไม่รีบร้อน “เธอสมควรได้มัน”
ตอนนั้นที่เขาเก็บแฟลชไดรฟ์เอาไว้ เพราะเขายังคิดถึงความสัมพันธ์เก่า ๆ ระหว่างเขากับเธออยู่บ้าง แต่ตอนนี้ ความเอื้ออาทร ความเห็นอกเห็นใจมันได้สลายหายไปหมดแล้วในวันนี้
ความผิดที่นิวราทำ เธอควรจะแบบรับมันด้วยตัวเอง
ญาธิดาหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือออกไปช้า ๆ แต่เมื่อนิ้วของเธอกำลังจะแตะแฟลชไดรฟ์เธอก็รีบหดมือกลับราวกับเหมือนไฟฟ้าช็อตยังไงอย่างนั้น
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดอย่าสบาย ๆ ว่า “แฟลชไดรฟ์นี้เก็บเอาไว้ที่คุณชั่วคราวก่อนเถอะ ไว้ร่างกายของอันอันฟื้นตัว ค่อยให้เธอเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง ส่วนแฟลชไดรฟ์อันนี้คุณควรจะเอาให้อีกคนเอาไปมอบให้เธอ”
สองวินาทีต่อมาเธอก็พูดขึ้นว่า “ฉันยังมีคำขออีกหนึ่งอย่าง…”
ภวินท์แปลกใจเล็กน้อย “ว่ามาสิ”
“ช่วยอนุมัติวันหยุดให้พายุที…” ญาธิดาพูดอย่างจริงจัง “แฟลชไดรฟ์อันนี้คุณควรจะเอาให้เขาไปมอบให้อันอันด้วยตัวเอง”
เมื่อวานเธอรับปากกับพายุเอาไว้แล้วว่าเธอจะช่วยเขา และตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดี
ภวินท์นิ่งเงียบราวกับกำลังคาดเดาว่าเธอหมายถึงอะไร หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้นว่า “ฉันรับปาก”
เขาติดค้างเธอมากเกินไปแล้ว แค่รับปากคำขอร้องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ดูเหมือนว่าญาธิดาจะคาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบตกลง เธอเลยได้แต่แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อวานเธอบอกกับพายุไปแล้วว่าถ้าเขาอยากจะมีอนาคตร่วมกับอันอันจริง ๆ ในเวลานี้เขาก็ควรจะอยู่ข้าง ๆ อันอันและฝ่าฟันอุปสรรคไปกับเธอ
แม้ว่าภวินท์จะต้องการเขามากในตอนนี้ แต่ถึงเขาจะไปแล้ว ก็ยังมีพวกพยัคฆ์กับพี่เข้มอยู่ แต่อันอันกลับมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น