ดวงใจภวินท์ - บทที่ 56 ไม่สามารถจัดงานแต่งงานให้คุณได้
ทว่าเธอยิ่งแสดงอาการเช่นนี้ออกมา มันยิ่งเป็นการเปิดเผยเรื่องที่ต้องการปกปิดเอาไว้ ป้าจันทร์มองเธอ และหันมามองการแสดงออกของภวินท์ ก็พอจะเดาอะไรได้อยู่ในใจ พลางยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินหลีกมาทางด้านข้าง เพื่อเป็นการไม่รบกวนทั้งสองคนอีก
ภวินท์มองหญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตา และคอยกินอาหารจานนั้นที่อยู่ด้านหน้า ใบหน้าแดงแจ๋จนไม่ยอมเงยหน้า รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขายิ่งลึกขึ้นเรื่อย
ท่าทางเช่นนี้ของเธอถือว่าน่ารักมาก จนทำให้เขาอดใจไม่ไหวจนอยากจะหยอกล้อเธอ
เขาจงใจกระแอมเสียง พลางพูดเตือนเล็กน้อย “อย่ากินแต่ผักสิ กินเนื้อสัตว์ด้วย บำรุงสักหน่อย”
แม้ว่าโดยปกติแล้วเธอกินเยอะอยู่แล้ว ทว่าร่างกายกลับไม่มีเนื้อมีหนังสักเท่าไร ครั้งที่แล้วตอนที่พวกเขากลับมาจากคฤหาสน์ตระกูลสถิรานนท์นั้น คุณย่าก็ยังกำชับให้เขาคอยกระตุ้นให้ญาธิดากินเยอะๆ จะได้บำรุงร่างกาย ทางที่ดีที่สุดคือการเพิ่มน้ำหนักให้หนักขึ้นหลายกิโลกรัม
“อื้อ” ญาธิดาตอบรับไปตามน้ำ จากนั้นถึงตอบสนองกลับมา “บำรุงอะไรหรือคะ?”
ราวกับว่าเธอไม่จำเป็นต้องบำรุงอะไร ในทางกลับกันควรเป็นเขา เพราะได้รับบาดเจ็บตรงช่วงเอวมา จำต้องได้รับการบำรุง
พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ไม่รอให้ภวินท์ตอบ เธอจึงหันศีรษะออกไป พลางเรียกป้าจันทร์ทันที “ป้าจันทร์คะ มีของอะไรบ้างที่จะช่วยบำรุงช่วงเอวหรือบำรุงไตมีไหมคะ?”
“บำรุงไตงั้นเหรอคะ?” ป้าจันทร์หยุดมือที่กำลังยุ่งอยู่กับงานทันที พลางเอ่ยปากพูด “ตะพาบเอย ไตหมูเอย ไข่นกพิราบสามารถเอามาบำรุงช่วงเอวได้หมดค่ะ”
ญาธิดาได้ยินแล้ว พลางพูดอย่างไม่ลังเลสักนิด “งั้นสองสามวันนี้ป้าจันทร์ไปจ่ายตลาดก็ต้องซื้อพวกวัตถุดิบของบำรุงช่วงเอวมาเยอะๆ นะคะ ไม่ว่าจะเป็นการตุ๋นหรือว่าผัดอะไรก็ได้หมดค่ะ บำรุงภวินท์เยอะๆ หน่อยค่ะ”
เมื่อเธอพูดคำพูดนี้ออกไป การแสดงออกทางสีหน้าของป้าจันทร์เริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง พลางมองมาทางภวินท์ จากนั้นก็ตอบรับ “ได้ค่ะ”
ภวินท์จับสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มบนสีหน้าของป้าจันทร์ ราวกับมีบางอย่างผิดปกติไปในชั่ววินาทีนั้น มือที่กำลังจับตะเกียบอยู่นั้นลงแรงเพิ่มเล็กน้อย พลางเอ่ยปากพูดทันควัน “ไม่ต้อง”
สภาพร่างกายของเขาในเช่นนี้ ต้องบำรุงหรือไม่ ญาธิดายังไม่เข้าใจอีกเหรอ?
“ทำไมไม่ต้องล่ะ?” ญาธิดากินซี่โครงหมูไปหนึ่งคำ พลางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ซึ่งไม่ได้คิดถึงความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในหัวข้อเรื่องที่พูดสักนิด “ฉันรู้สึกว่าคุณน่าจะบำรุงสักหน่อยนะคะ”
เมื่อพูดจบ สีหน้าของภวินท์ยิ่งย่ำแย่หนักกว่าเก่า
ผู้หญิงคนนี้ ช่างไม่รู้เรื่องเอาซะเลย…
ภวินท์ทั้งโมโหและเบื่อหน่ายไปพร้อมกัน พลางมองท่าทางที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยของญาธิดา จะโกรธก็โกรธไม่ลงคอ ทำได้เพียงเงียบปากและไม่พูดอะไรต่อ
ป้าจันทร์มองคนสองคนนี้ ยิ้มและส่ายหน้าไปมา และเดินเข้าไปในห้องครัวทันที
ภวินท์จับสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มบนสีหน้าของป้าจันทร์ ราวกับมีบางอย่างผิดปกติไปในชั่ววินาทีนั้น มือที่กำลังจับตะเกียบอยู่นั้นลงแรงเพิ่มเล็กน้อย พลางเอ่ยปากพูดทันควัน “ไม่ต้อง”
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ญาธิดาก็อยากจะกลับไปอาบน้ำที่ห้อง แต่ยังเดินได้ไม่กี่ก้าว ด้านหลังก็มีคนเดินตามมา
ทันใดนั้น ข้อมือถูกกำแน่น เมื่อเธอหันหน้ากลับมา ก็เห็นว่าเป็นภวินท์
ญาธิดาตะลึงพรึงเพริด พลางเอ่ยปากถามกลับ “ทำไมเหรอคะ?”
และไม่รู้ว่าตนเองเข้าใจผิดไปหรือเปล่า เพราะญาธิดารู้สึกว่าเหมือนชายหนุ่มไม่ค่อยดีใจสักเท่าไหร่
หัวคิ้วของภวินท์อดใจไม่ไหวจนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด“คุณรู้สึกว่าเอวผมมันใช้การได้ไม่ดีใช่มั้ย?”
การพูดเช่นนั้นต่อหน้าป้าจันทร์ หรือว่าไม่ไว้หน้าเขาแล้วงั้นเหรอ?
ญาธิดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณ… บาดเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ? สิ่งที่ฉันทำมันดีกับคุณนะ!”
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของหญิงสาวแล้ว ภวินท์เองก็ไม่รู้ว่าจะพูดให้มันชัดเจนได้อย่างไร ทำได้เพียงเลิกคิ้วขึ้นอย่างเบื่อหน่าย
เขาปล่อยมือเธอ และสาวเท้ายาวเดินมุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือทันที
ญาธิดามองแผ่นหลังของชายหนุ่ม ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเรียกรั้งเขาเอาไว้อย่างกะทันหัน “เดี๋ยวค่ะ!”
ภวินท์หยุดฝีเท้าทันที “มีอะไรเหรอ?”
ญาธิดาพลางฉุกคิดถึงภารกิจที่คุณหญิงปภาวีได้ฝากฝังเธอไว้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณค่ะ…”
เรื่องจัดงานแต่งงาน ถ้าเธอไม่ยอมพูดกับภวินท์ เกรงว่าคุณหญิงปภาวีคงร้อนใจจนเต้นเร่า ๆ ถึงขึ้นถ่อมาถามเขาด้วยตัวเองนะสิ
“วันนั้นฉันกลับไปกินข้าวที่บ้านมา…” จู่ ๆ ญาธิดาก็รู้สึกอายขึ้นมาทันที พลางใช้มือขยี้ชายเสื้อ “แม่ฉันถามฉันว่าจะจัดงานแต่งงานได้เมื่อไหร่ค่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่า “จัดงานแต่งงาน” สีหน้าของภวินท์เคร่งขรึมลงเล็กน้อยทันที
เธอพูดอธิบายความคิดของคุณหญิงปภาวีกับยติภัทรอย่างลังเล “พ่อแม่ฉันพวกเขาคิดว่าพวกเราสองคนได้ทะเบียนสมรสกันแล้ว ก็น่าจะจัดงานแต่งงานให้เร็วที่สุด ไม่จำเป็นต้องจัดงานแต่งกันเอิกเกริกมากนัก แค่ให้ญาติทั้งสองฝ่ายได้สนุกสนานกันเท่านั้นพอแล้วค่ะ…”
ภวินท์ขมวดคิ้วแน่น หลังจากตะลึงอยู่ชั่วครู่แล้ว ท้ายที่สุดก็อ้าปากพูด “เกรงว่าผมไม่สามารถตอบตกลงคุณได้…”
ด้วยสถานะของเขาแล้ว ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ข่าวซุบซิบนินทาก็จะทำให้สั่นคลอนไปเกินครึ่งเมือง J โดยเฉพาะอย่างเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานเช่นนี้ เกรงว่าถึงเวลานั้นไม่เพียงจะส่งผลกระทบถึงเขาและตระกูลสถิรานนท์ และยังส่งผลกระทบไปยัง STN Group อีกด้วย
ฉะนั้น เขาจึงแอบจดทะเบียนสมรสเงียบๆ ทว่าเรื่องการจัดงานแต่งงานมันเป็นไปไม่ได้เลย
ญาธิดาคิดไม่ถึงเลยว่าภวินท์จะปฏิเสธทันควันทันที เธอตะลึงอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็ฝืนฉีกยิ้มออกมาพร้อมกัน และอยากจะสอบถามเหตุผลสักหน่อย เธอยังไม่ทันอ้าปากถาม ภวินท์ก็เริ่มพูดแล้ว
“คุณน่าจะเข้าใจในสถานการณ์ของผมเป็นอย่างดี และก็รู้ว่าคำพูดต่างๆ นานามันจะส่งผลกระทบต่อบริษัท ถ้าพวกเราจัดงานแต่งงาน ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงคนภายนอกจะรับรู้เรื่องนี้ ดังนั้นผมจึงไม่สามารถจัดงานแต่งงานกับคุณได้”
เมื่อญาธิดาได้ยินเช่นนั้น จู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกลำบากใจและอึดอัดจนพูดไม่ออก
เธอไม่อยากจัดงานแต่งงานที่ใหญ่โตเอิกเกริกขนาดนั้น แค่มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่ซ้ำใครก็พอแล้ว ทว่าตอนนี้ดูแล้ว เธอไม่มีโอกาสสักนิดเลย
เมื่อเห็นในแววตาของหญิงสาวที่มีความหม่นหมองหนักกว่าเดิม ภวินท์ก็เริ่มทนไม่ไหว
ญาธิดาเงียบงันอยู่นาน พลันเงยหน้า และจ้องมองภวินท์ด้วยสีหน้าจริงจัง“ความจริงแล้ว… ฉันเข้าใจอยู่นะ”
หลังจากที่ตนเองเห็นรอยแผลเป็นเหล่านั้นที่อยู่บนร่างกายของเขาแล้ว เธอก็รู้ว่าบ่อยครั้งที่เขาเองก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง
เธอยกมุมปากเพื่อคลี่ยิ้มออกมา “ตราบใดที่พวกเราใช้ชีวิตมีความสุข จะจัดงานแต่งหรือไม่จัดก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ”
ภวินท์มองแววตาจากก้นบึ้งหัวใจของเธอเริ่มหวั่นไหว จนเขาเกิดความรู้สึกสับสนอยู่บ้าง พลางตะลึงเล็กน้อย เขาเอ่ยขึ้นอย่างเสียเบา “ผมจะชดใช้คืนคุณให้นะ”
วันนี้เขาติดหนี้เธอ และยังติดหนี้บุญคุณกับเรื่องในอนาคตที่ใกล้จะมาถึง เขาจะค่อยๆ ชดใช้คืนให้ทั้งหมด
ญาธิดาได้ยินเช่นนี้ หัวใจอบอุ่นทันที จนดวงตาหรี่ด้วยรอยยิ้ม “ตกลงค่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้จากเขาแล้ว เธอก็พอใจมากแล้วแหละ
ส่วนภวินท์ที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้น กลับมีสภาพจิตใจตรงกันข้ามกัน
แค่เกรงว่าไม่ช้าหรือเร็วต้องมีสักวันหนึ่ง ญาธิดารู้เป้าหมายที่แท้จริงของเขาแล้ว ก็จะไม่ยิ้มให้เขาเช่นนี้อีกแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ญาธิดาไปทำงานตามปกติ เพิ่งมาถึงห้องทำงาน ก็เห็นเอกสารกองพะเนินอยู่บนโต๊ะทำงานแล้ว
เธอไม่ต้องไปถามไถ่ ก็เดาออกว่าพิชญ์สินีเป็นคนทำ การโยนงานพื้นฐานตั้งมากมายขนาดนี้ให้เธอทำ เป็นการจงใจอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน
ญาธิดาครุ่นคิดแล้วคิดอีก และขี้เกียจจะไปต่อล้อต่อเถียงกับเธอ ทำได้เพียงเริ่มต้นทำงานทันที
เธอยุ่งตลอดทั้งวัน งานที่พิชญ์สินีแบ่งงานให้เธอก็ยังทำไม่เสร็จ ดูเหมือนวันนี้เธอจำต้องทำโอทีอย่างเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
ญาธิดาถอนหายใจ พลางยื่นมือบิดขี้เกียจ และนั่งทำงานต่อไปเรื่อย โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะก็มีเสียง “ติ่งต่อง” ดังขึ้นมาหนึ่งเสียง
เธอหยิบโทรศัพท์ติดมือมาพลางกวาดตามอง ตอนที่เห็นว่าคนที่ส่งข้อความมาหาเธอนั้นคือภวินท์ พลางตกใจอย่างไม่รู้ตัว
เดิมเธอจะเป็นคนส่งข้อความหาภวินท์เองในทุกครั้ง การที่เขาเป็นคนออกตัวส่งข้อความหาเธอก่อนถือว่าร้อยวันพันปีจะมีสักครั้ง
“คืนนี้หลังเลิกงาน จะรอคุณอยู่ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน”
เมื่อเห็นประโยคนี้เท่านั้นแหละ อารมณ์โกรธเคืองที่อัดแน่นอยู่ในใจของญาธิดาพลางผ่อนคลายลงทันที จนปรากฏรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าขึ้นมาทันควัน
ดูเหมือนว่า ภวินท์กำลังรอเธอกลับบ้านพร้อมกัน!
ยากนักที่เธอจะปิดบังความรู้สึกยินดีปรีดาที่อยู่ในหัวใจเอาไว้ก่อน พลางกำโทรศัพท์ด้วยความดีใจอยู่นาน
ทันใดนั้น ประตูห้องทำงานก็ถูกผลักเข้ามา ชมพู่เร่งฝีเท้ารีบเดินเข้ามา “ธิดา พี่แนนเรียกหาแกอยู่ แกรีบไปห้องทำงานของเธอเร็วสิ!”
เมื่อเห็นสีหน้าแววตาอันตื่นเต้นของชมพู่แล้ว ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย และรีบถามทันที “ทำไมล่ะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?”