ดวงใจภวินท์ - บทที่ 571 ลิปสติกเลอะแล้ว
บทที่ 571 ลิปสติกเลอะแล้ว
ญาธิดาหันหน้าไปมองเขา จนเริ่มร้อนใจแล้ว ใบหน้าฝืนกลั้นจนแดงแจ๋ “ไม่มีอะไรน่าดูนี่!”
ดวงตาดำขลับของภวินท์เพ่งจ้องใบหน้าของเธอ “หน้าแดงขนาดนี้แล้ว คงไม่คิดว่าผมจะทำอะไรคุณมั้ง?”
ญาธิดารีบสวนปฏิเสธทันควัน “อะไรนะ?”
“งั้นก็ให้ผมดูหน่อยแล้วกัน วางใจได้เลย ผมไม่คิดจะทำอะไรคุณอยู่แล้ว”
คำพูดของชายหนุ่มปะปนด้วยความเถรตรงที่ไม่สามารถพรรณนาออกมาได้ จนทำให้ญาธิดาทั้งอายทั้งโมโห
เธอหน้าแดงระเรื่อ ตอนที่เตรียมจะถกเถียงกับเขานั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาอย่างไม่บอกไม่กล่าว กระทั่งดึงมือทั้งสองข้างของเธอกุมเอาไว้ในฝ่ามือ ถัดจากนั้น เขาก็ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง พลันเลิกเสื้อเชิ้ตโอเวอร์ไซซ์ของเธอขึ้น
บริเวณที่โดนลวกทางด้านหลังจนได้รับบาดเจ็บพลางแห้งสมานแล้ว บ้างก็ตกสะเก็ดออกมา แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังไม่ตกสะเก็ด ผิวพรรณขาวเกลี้ยงเกลาเป็นรอยแผลติดเนื้อเป็นหย่อมๆ พลันมองจนทำให้เขาอดใจขมวดคิ้วนิ่วหน้าไว้แน่น
“เพี๊ยะ!”
ญาธิดาสะบัดมือของเขาอย่างทันควัน โดยใช้ฝ่ามือตีลงบนท่อนแขนของเขาอย่างไร้เยื่อใย เธอทั้งโกรธทั้งโมโห “ภวินท์ คุณทำอะไรเนี่ย!”
มีที่ไหนกันที่ถลกเสื้อผู้หญิงแบบนี้!
ภวินท์ช้อนดวงตาขึ้น จู่ๆ แววตาก็เคร่งขรึมลงมา พร้อมทั้งจับจ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย “นี่คือที่คุณพูดว่าหายดีแล้วใช่มั้ย?”
เสียงของเขาแสดงความเย็นชาอย่างไม่ต้องสงสัย พลันแสดงความโกรธเคืองอยู่ในนัยน์ตาขึ้นมาอีกชั้น
การถูกเขามองเช่นนี้ จู่ๆ ญาธิดาก็รู้สึกเหมือนลูกบอลลมที่ถูกดูดลมออกแล้ว จนไม่สามารถระเบิดอารมณ์ออกมาจากหัวใจอันหดหู่ได้
เธอหยุดชะงัก ตอนที่กำลังเตรียมเอ่ยปากพูด จู่ๆ ภวินท์ก็เขยิบเข้าหาเธออย่างไร้วี่แววใดๆ และกดเสียงพูดอย่างเคร่งขรึม “แผลบนตัวยังไม่หายดีก็กล้าดื่มเหล้า ญาธิดา คุณไปเอาความกล้าบ้าบิ่นมาจากไหน?”
หัวใจญาธิดาบีบรัดไว้แน่น พลันตอบปฏิเสธตามสัญชาตญาณ “ฉันไปดื่มเหล้าตอนไหนคะ?”
“ค็อกเทลมันมีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ คุณคิดว่าจะปิดผมมิดไหมล่ะ?”
เขาพูด พร้อมทั้งยกมือขึ้น เชิดปลายคางของเธอ จากนั้นก็เบียดทับร่างกายมาทางเธอ
วินาทีนั้น ญาธิดาราวกับหยุดหายใจ ร่างกายเกร็งทื่อในทันที พลันมองใบหน้าอันหล่อเหลาสมบูรณ์แบบของชายหนุ่มที่อยู่ทางด้านหน้าที่ค่อยๆ เข้าใกล้เรื่อยๆ หัวใจเต้นจนจะหลุดออกมาจากทรวงอกอยู่แล้ว
ปลายจมูกของทั้งสองคนจ่ออยู่ระยะกระชั้นชิด ซึ่งมีระยะห่างอยู่หนึ่งนิ้วมือได้ ภวินท์ชะงักเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าผ่อนคลายลง เพื่อรักษาระยะห่างของทั้งสองคน พลันจ้องมองเธอและกล่าวอย่างเย็นชาใส่ “น้ำสับปะรด วอดก้า แล้วไปดื่มกับผู้ชายสี่คนพร้อมกัน คุณอยากจะมอมเมาเหล้าให้ตัวเองใช่มั้ย?”
ญาธิดาทั้งตกใจทั้งตื่นตระหนก ไม่คาดคิดเลยว่าเขาถึงขั้นรู้ด้วยว่าตัวเธอเองไปดื่มเหล้าอะไรมา ยังรู้เรื่องที่เธอไปดื่มเหล้ากับผู้ชายสี่คนอีก เนื่องจากอาการตื่นตระหนกจนพูดติดๆ ขัดๆ “คะ…คุณรู้ได้ยังไง?”
สีหน้าภวินท์ฉายความโกรธเคืองเล็กน้อย พลันเพ่งมองเธออย่างเย็นชา “รอยแผลที่อยู่บนตัวของคุณยังไม่ทันตกสะเก็ดจนหมด ตอนนี้ยังมาดื่มเหล้าอีก การกระตุ้นของแอลกอฮอล์มันจะทำให้ร่างกายแดงเป็นปื้น จนทำให้เกิดปรากฏการณ์รอยคล้ำ คุณอยากมีรอยแผลเป็นอยู่บนแผ่นหลังตลอดชีวิตไปเลยใช่มั้ย?”
ญาธิดาหมดคำพูดทันที แต่ก็รู้ตัวเองว่าตนเองทำไม่ถูกต้อง จนสวนกลับไม่ถูก แต่เมื่อตะลึงไปชั่วครู่ จู่ๆ ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที เธอจะมีรอยแผลหรือเปล่าแล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับภวินท์ล่ะ?
เมื่อเธอฉุกคิดถึงจุดนี้ เธออดใจไม่อยู่จนบ่นพึมพำออกมา “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณคะ…”
นัยน์ตาภวินท์ขรึมลงเล็กน้อย “ฉะนั้นคุณก็สามารถไปนั่งดื่มเหล้ากับผู้ชายด้วยกันได้ใช่มั้ย?”
เมื่อครู่ตอนที่เขานั่งอยู่บนรถ จนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ญาธิดาอยู่ร่วมกับชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่พวกนั้น ก่อนจะกลับคนคนนั้นยังยัดของอะไรให้เธอ วินาทีนั้น กองเพลิงที่อยู่ในใจของเขามันก็อดเก็บอาการไว้ไม่อยู่แล้ว
หัวใจภวินท์เย็นเฉียบ จากนั้นก็พูดอย่างเชือดเฉือนมากกว่าเดิมตามมาติดๆ “ไม่กลัวว่าธีทัตกับฝาแฝดจะเห็นเข้าหรือยังไง?”
พอญาธิดาได้ยิน สีหน้าเปลี่ยนทันที
เธอจ้องมองภวินท์ พลันเกิดความรู้สึกโกรธเคืองพลุ่งพล่านปรากฏขึ้นมา “มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณนี่คะ!”
ภวินท์จ้องมองเธอที่แสดงอาการกระฟัดกระเฟียดออกมา ในใจพลันหงุดหงิดหนักขึ้นกว่าเดิม บวกกับเธอพูดออกมาเช่นนี้ พลันเกิดความโกรธเคืองตีขึ้นมาอยู่ในขั้วหัวใจ
เขาดึงเธอเข้าหาตนเอง ฝ่ามือใหญ่ตรึงช่วงเอวคอดของเธอไว้แน่นหนา เพื่อให้เธอไม่สามารถกระดุกกระดิกได้ “ทำไมถึงไม่เกี่ยวกับผมล่ะ?”
ระยะความห่างของทั้งสองคนใกล้ชิดกันมาก เมื่อทั้งสองสบตา พลันได้กลิ่นลมหายใจทางโพรงจมูก บวกกับอุณหภูมิความร้อนของร่างกายเพราะความตื่นเต้นจากอารมณ์ความรู้สึก บรรยากาศภายในรถยนต์พลันแสดงความหมายเป็นนัยทันที
เปลวไฟความรู้สึกในดวงตาพลันสะท้อนไปมา ญาธิดาสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาตอบสนองจากสายตาของเขาอย่างชัดเจน ภวินท์กลับมองเห็นว่าเธอย่นจมูกเล็กน้อยด้วยความโกรธเคืองของเธออย่างถนัดตา ทั้งสองคนต่างโกรธ โมโห และมองอีกฝ่ายอย่างไม่ถูกชะตาเหมือนกัน
แต่หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที… ความโกรธเคืองค่อยๆกลายเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาทัน ที ภวินท์เชิดปลายคาง พลางประกบริมฝีปากอันอ่อนนุ่มของเธอทันที…
ราวกับลมกระโชก ราวกับห่าฝนกระหน่ำ ราวกับฝนฟ้าคะนองอย่างกะทันหันเนื่องจากสภาพอากาศอึมครึมมางอย่างยาวนาน ในวินาทีนั้น สตริงที่รัดไว้แน่น เสียง “ปึง!” ขาดสะบั้นทันที
ญาธิดาถูกเขาต้อนอยู่ภายในมุมอับของรถ ผลักไม่ออก หลบก็ไม่ได้ ทั้งโกรธจนแสบจมูก สุดท้ายใช้วิธีกัดฟันขบกัดสวนกลับไปอย่างชาญฉลาด เมื่อได้ยินชายหนุ่มสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าจมูกเธอยิ่งลงแรงกัดให้มากกว่าเดิม
แต่สิ่งมหัศจรรย์นั่นก็คือ ร่างกายอ่อนระทวย เร่าร้อน หมดเรี่ยวแรง ความเอาแต่ใจเช่นนี้ ทั้งป่าเถื่อน มันเป็นการกระตุ้นจนก่อตัวกลายเป็นคลื่นน้ำวนอันน่ามหัศจรรย์ พลันโอบรัดเธอไว้แน่น เธออ่อนระทวย ท่อนแขนและฝ่ามือที่คอยค้ำยันซึ่งเป็นวิธีการปฏิเสธตรงบริเวณหน้าอกของเขาพลันเกี่ยวรัดต้นคอของเขาอย่างไม่รู้ตัว ราวกับแมวน้อยร้องหง่าวๆ ด้วยความเชื่อง
เงาที่กอดรัดฟันเหวี่ยงกันอยู่ท้ายรถ ตอนแรกก็เป็นการปฏิเสธ ต่อจากนั้นมาอีกนิดก็เป็นการดึงดูดกันและกัน ทั้งสองคนอยู่ในกฎการดึงดูดเข้าหากัน ต่างทิ้งการคิดไตร่ตรองทุกอย่างไว้ทางเบื้องหลัง …
จู่ๆ พลันมีเสียงสายโทรศัพท์ดังขึ้นมา จนขัดจังหวะความหลงใหลอันละเอียดอ่อนที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ร่างกายของทั้งสองคนที่กอดเกี่ยวอยู่ด้วยกันพลันแข็งทื่อทันที วินาทีต่อมา ญาธิดาเป็นคนผลักเขาออกก่อน พลันลุกขึ้นและเขยิบเข้าหาบานประตูรถทันทีอย่างกระชั้นชิด พร้อมทั้งหอบหายใจตอนมองเขา
ภวินท์อารมณ์เสียขึ้นมาทันทีเพราะว่าเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาจนแสดงออกทางสีหน้าขึ้นมาทันที ตอนที่กำลังกดตัดสายนั้น ก็เห็นญาธิดาหยิบกระเป๋าถือขึ้นมาอย่างร้อนรน และรีบลงจากรถไปอย่างตื่นตระหนก
กระทั่งเธอไม่ได้ปิดบานประตูรถด้วยซ้ำ แต่กลับกางขาวิ่งจ้ำอ้าวออกไปแล้ว
ภวินท์หันหน้าไปมอง จึงมองเห็นเงาของเธอที่วิ่งหนีเตลิดไปไกล ตอนแรกก็โกรธ ถัดจากนั้นก็ยกมุมปากคลี่ยิ้มอย่างอดใจไม่ไหว จนคลี่ยิ้ม
บนริมฝีปากร้อนผ่าว ปลายจมูกยังได้กลิ่นหอมจางๆ อบอวลอยู่ ภวินท์ชูนิ้วขึ้น พลันแตะริมฝีปากที่บวมฉึ่งเบาๆ รอยยิ้มในแววตายิ่งมากขึ้นกว่าเดิม
ทันใดนั้น เขาหลุบตาลงต่ำ พลันกวาดตามองนามบัตรใบหนึ่งที่ตกอยู่บนที่นั่งบนเบาะที่นั่งในรถ สายตากระจุกอยู่ตรงนั้น สีหน้าพลันเคร่งขรึมตามทันที
เขายื่นมือออกไปหยิบขึ้นมาดู เป็นนามบัตรสีขาวที่เรียบง่ายมากใบหนึ่ง โดยมีชื่อและเบอร์โทรศัพท์พิมพ์ไว้บนนามบัตร
ชวิศ ชเยมะ
ภวินท์หยุดอ่านนามบัตรใบนี้อยู่นาน พลันฉุกคิดอะไรออก จึงค่อยๆ เก็บนามบัตรใบนี้ขึ้นมา
ถ้าเขาคาดเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นสิ่งของผู้ชายคนเมื่อครู่ยื่นให้ญาธิดา ตะกี้นี้เขารับรู้จากปากของพยัคฆ์ผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนกับพี่เข้มที่คอยช่วยญาธิดาเสาะหาที่อยู่ของพวกท่านธีระ เป็นนายทหารคนหนึ่ง
แต่เขาไม่เชื่อ เขามักรู้สึกว่า ผู้ชายคนนั้นไม่ธรรมดาเลย
ผู้ชายที่มาล้อมหน้าล้อมหลังญาธิดา เขาไม่ไว้ใจทั้งนั้นแหละ
เมื่อครุ่นคิดอยู่นาน ท้ายที่สุดเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และกดโทรออก “ช่วยฉันตรวจสอบคนคนหนึ่งหน่อยสิ…”
ญาธิดาวิ่งขึ้นรถของตนเองอยากตื่นตระหนก ตอนที่ขึ้นไปนั่งบนที่นั่งถึงได้ค้นพบว่าพยัคฆ์ได้นั่งอยู่ที่นั่งคนขับแล้ว และหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และเพ่งมองเธออย่างสนใจใคร่รู้
หัวใจญาธิดาหดหู่ “ทำไมมองฉันด้วยหน้าตาแบบนี้ล่ะคะ?”
พยัคฆ์ยิ้มอย่างมีความหมาย พลันชี้ไปที่ริมฝีปากของเธอ เพื่อพูดแสดงความหมายกับเธอ “ลิปสติกพี่มันเลอะแล้วนะสิครับ”