ดวงใจภวินท์ - บทที่ 572 ตามหาตัวเณรศีลเจอแล้ว
บทที่ 572 ตามหาตัวเณรศีลเจอแล้ว!
ร่างกายญาธิดาแข็งทื่อทันที พลันมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับทันควัน เธอหันหน้าไปอีกทางอย่างเขินอาย พลันหยิบกระจกพับจากกระเป๋าขึ้นมาเปิดทันที
ในกระจก ลิปสติกสีแดงของเธอมีรูปปากเป็นวงกลมเคลือบอยู่ พลันเป็นคำบอกใบ้จากความบริสุทธิ์โดยแท้จริง ซึ่งเป็นการทาลิปสติก “Snogged lips” ตามเทรนด์
เมื่อครู่เธอเพิ่งจะวิ่งเสนอหน้าด้วยริมฝีปากแบบนี้? มิน่าล่ะตอนที่เดินผ่านคนหลายคนถึงมองเธอเหมือนกับมองลิงเลย
ญาธิดาทั้งอายทั้งโกรธ พร้อมทั้งหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดริมฝีปากอย่างเต็มแรง
พยัคฆ์เห็นเธอเป็นแบบนี้ พลันยิ้มและเอ่ยปากพูดปลอบใจเธอทันควัน “พี่ธิดา ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องนี้ผมไม่บอกคนอื่นหรอกน่า”
ญาธิดาอยากจะร้องแต่ร้องไม่ออก พลันอยากพูดแต่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ถึงอย่างไรเรื่องมันก็เกิดขึ้นตามที่พยัคฆ์คิดอยู่จริงๆ แต่ว่า…ทั้งๆ ที่เธอ…เธอโดนขโมยจูบเข้าใจมั้ยเนี่ย!
พอคิดถึงเรื่องนี้ ญาธิดาถึงได้อะลุ่มอล่วยในใจตนเองมากขึ้น เธอรีบจัดการเช็ดริมฝีปากของตนเองทันควัน จากนั้นก็แสร้งพูดด้วยความหนักแน่น “พอเลย รีบขับรถออกเร็ว ไปส่งฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
พยัคฆ์ขยิบตาให้เธอ พลันพูดพร้อมทั้งหัวเราะให้ “Yes, sir!”
40นาทีหลังจากนั้น ญาธิดากลับมาถึงแกรนด์ บูเลอวาร์ด หัวใจที่ไม่ยอมกลับมาเป็นปกติเมื่อครู่นี้ค่อยๆ นิ่งลงมาเรื่อยๆ
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้า แถมยังตั้งใจส่องกระจกเพื่อดูแผลทางด้านหลัง แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดื่มเหล้ามาด้วยหรือเปล่า รอยแผลที่ตกสะเก็ดเหล่านั้นมันแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งถูกต้องเหมือนที่ภวินท์พูดไว้ทุกอย่างจริงๆ
ดูเหมือนว่า เขาไม่ได้พูดมั่วซั่วจริงๆ ด้วย
เธอแอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบา พลันเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอน ทันใดนั้นก็คิดถึงนามบัตรที่ชวิศยื่นให้เธอ เธอจึงไปหยิบเสื้อคลุมมา เพื่อค้นหาในกระเป๋าเสื้อ
ในกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้างว่างเปล่า เหมือนไม่มีอะไรใส่ไว้เลย
ญาธิดาไม่ลดละความพยายาม พลันคว่ำกระเป๋าลง คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าทั้งหมดต่างเทลงบนหน้าโต๊ะ เมื่อวนหาซ้ำไปซ้ำมา ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนามบัตรสักนิด
หรือว่าเธอทำหายไปแล้ว?
เธอหวนความคิดอย่างละเอียด แต่กลับไม่มีความทรงจำสักนิด เธอวนหาซ้ำไปมาก็หาไม่เจอ และเหมือนมั่นใจได้ว่านามบัตรใบนั้นมันหายไปจริงๆ แล้ว!
เธอกัดริมฝีปากอย่างโกรธเคือง อดใจไม่ไหวจนอยากตำหนิตนเองสักรอบ แต่มันก็หายไปแล้ว หาไม่เจอแล้วด้วย
เหมือนว่า ทำได้เพียงเอาไว้วันอื่นค่อยไปหาพี่เข้มเพื่อขอช่องทางการติดต่อชวิศอีกครั้ง
เมื่อคิดเช่นนี้ ความกังวลใจของเธอค่อยๆ ผ่อนคลายลง แต่เมื่อหลับไปแล้ว เธอทิ้งเรื่องนี้ไว้เบื้องหลัง และในระยะจากนั้นมาก็ไม่คิดถึงอีกเลย
กระทั่งช่วงบ่ายในวันที่สอง เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์แปลกเบอร์หนึ่ง เธอกวาดตามอง เพื่อมองตัวเลขยาวเป็นหางว่าว มักรู้สึกว่าเป็นเบอร์ Call Center จึงกัดตัดสายทิ้งทันที
ใครจะรู้ว่าทิ้งระยะห่างไปสักพัก โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เธอย่นคิ้วเข้าหากัน พลันกดรับสายทันที
“ฮัลโหลค่ะ?”
ปลายสายชะงักทันที พลันมีเสียงหัวเราะละมุนของชายหนุ่มดังขึ้น “ญาธิดา คุณนี่เก่งจริง”
ญาธิดาตกตะลึง พลางชะงักอยู่ชั่วครู่ ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา “คุณ…ชวิศ?”
เขาหัวเราะเยาะใส่ “คิดถึงผมเหรอ?”
“มะ ไม่ใช่ค่ะ ฉัน…”
เดิมที่เธออยากจะพูดว่าเธอไม่ทันระวังจนทำนามบัตรหายไปแล้ว แต่พูดออกไปแบบนี้ มันช่างเป็นเรื่องกระดากปากมาก จนพูดไม่ออก
มีเสียงหัวเราะของชวิศดังกลับมาอีกครั้ง “ขอให้คนอื่นช่วย แถมยังให้คนอื่นเป็นคนติดต่อเข้ามาเองอีก ตัดสายทิ้งก็มีด้วย ช่างถือตัวจริงๆ เลยนะเนี่ย”
แม้จะฟังออกมาว่าเขากำลังล้อเล่นกับเธอ แต่ลำคอญาธิดาตีบตันทันที ด้วยความรู้สึกละอายใจจึงสวนกลับไม่ทัน
หลังจากนั้นชั่วครู่ เธอถึงพูดกล่าวออกมา “ขอโทษค่ะ เอาไว้วันอื่นฉันค่อยเลี้ยงข้าวคุณนะคะ ครั้งนี้ถือว่าฉันทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจริงๆค่ะ”
น้ำเสียงของชายหนุ่มดังมาจากปลายสาย “ตกลงครับ งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกันครับ”
ญาธิดาตกตะลึงทันที
ง่ายแบบนี้เลย? แค่ข้าวมื้อเดียวก็ถือว่าจัดการได้เรียบร้อยแล้วเหรอเนี่ย?
เธอยังไม่ทันถามไถ่ด้วยซ้ำ เสียงของชวิศก็ดังมาจากปลายสายอีกครั้ง “รูปที่สเก็ตช์ภาพเอาไว้ผมได้ให้คนเข้าไปค้นหาใน Smart Libraryเรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่พวกเขาโผล่หัวออกมาท่ามกลางกล้องวงจรปิด ตัวกล้องวงจรปิดจะทำการวิเคราะห์อย่างอัตโนมัติ จากนั้นก็จะถ่ายโอนข้อมูลมาถึงเครื่องเทอร์มินัลทันที”
เมื่อญาธิดาได้ยินก็ตกตะลึงทันที “ไม่ต้องส่งคนไปสืบหาหรือคะ?”
ชวิศหัวเราะ “ไม่จำเป็นเลย มันสิ้นเปลืองทรัพยากรมนุษย์”
ญาธิดาตกใจจนพูดไม่ทัน จากนั้นก็หวนรำลึกถึงคำพูดของเขาอีกรอบ พลันถอนหายใจอย่างอดเสียไม่ได้ “ตอนนี้วิทยาการล้ำหน้าไปเร็วขนาดนี้แล้วเหรอคะ?”
“อืม แน่นอนสิ หลักฐานชิ้นแรกคือเขากำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเมือง J อีกทั้งเมื่อเอาภาพสเกตช์มาเปรียบเทียบกับตัวจริงแล้ว การทำเช่นนี้ถือว่าสามารถวิเคราะห์ออกมาได้”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “น่าจะ…ไม่มีปัญหาอะไร งั้นก็ลองดูสักตั้งก็แล้วกันค่ะ”
ชวิศชะงักเล็กน้อย พลางกล่าวทันที “อืม ถ้าหาจนเจอ ผมจะแจ้งคุณเป็นคนแรก จากนั้นการไปหาคนในสถานที่นั้นนั้นก็ต้องอาศัยตัวคุณเองแล้วแหละครับ”
ญาธิดาตอบรับทันควัน “เรื่องนี้ฉันเข้าใจดีค่ะ”
ตราบใดที่เขาสามารถช่วยเธอว่าคนนั้นปรากฏตัวอยู่บริเวณจุดไหน มันก็เพียงพอแล้ว
“ตกลงครับ อย่าลืมว่าคุณยังติดหนี้เลี้ยงข้าวผมอยู่มื้อหนึ่งนะ”
ชวิศพูดตัดบทเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นก็ตัดสายทิ้งทันที
ญาธิดาเหลือบหน้าจอโทรศัพท์ ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา
แม้เพิ่งจะมีปฏิสัมพันธ์กับชวิศก็ตาม แต่เมื่อมองจากสภาพดูแล้ว ถือว่าเป็นเหมือนกับพี่เข้มพูดเอาไว้ไม่มีผิด เขาจริงใจมากๆ
ครั้งนี้ ถ้าตามหาพวกธีระได้จริงๆ งั้นเธอก็ต้องเลี้ยงข้าวชวิศมื้อใหญ่อย่างแน่นอน เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
ตัวเธอเองก็ไม่คิดว่า จะได้ผลสรุปรวดเร็วขนาดนี้
ช่วงหัวค่ำหกโมงกว่าของวันนั้นเอง ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ญาธิดาก็ได้รับสายโทรศัพท์ของชวิศอีกครั้ง
“หาเด็กเล็กเจอแล้ว เดี๋ยวผมจะส่งคลิปจากกล้องวงจรปิดให้ คุณดูหน่อย ว่าใช่เขามั้ย”
ตอนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ โทรศัพท์ของเธอก็มีเสียง “ติ๊ง” เธอรีบเปิดดูทันควัน
เป็นคลิปจากกล้องวงจรปิดช่วงหนึ่ง สถานที่เหมือนจะเป็นตลาดสดที่มีคนเดินกันขวักไขว่ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าขอทานอยู่ตรงประตูใหญ่ ใส่เสื้อผ้าขาดวิ่นมอมแมม ประจวบเหมาะกับมีคนเดินผ่านมาพอดี พลางโยนเหรียญให้ทางด้านหน้าเขา เขาเงยหน้าขึ้น พนมมือไหว้เพื่อเป็นการขอบคุณ
เมื่อมองเห็นหน้าตาของเด็กผู้ชายคนนั้น หัวใจญาธิดากระตุกทันที
คาดไม่ถึงเลย ว่าจะเป็นเณรศีลจริงๆ ด้วย!
ดวงตา ลักษณะท่าทางเช่นนี้ ไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน!
ญาธิดาลุกพรวดทันที ดวงใจพลันเกิดความรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่รู้ตัว เด็กผู้ชายอายุแค่ 5-6ขวบเอง ทำไมต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ด้วย
เธอกดโทรศัพท์หาชวิศทันควัน น้ำเสียงตื่นเต้นไร้การปกปิด “น่าจะเป็นเขาค่ะ…”
“กล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าระยะนี้เขามาเป็นขอทานแถวๆ นี้ ช่วงสองทุ่มของทุกวันก็จะหายตัวไป ตำแหน่งคือปากประตูทางทิศตะวันออกของตลาดสดถนนตะวันตกบ้านเลขที่ 307 บริเวณตรงจุดนั้นเหมือนเป็นหมู่บ้านในเมือง ซึ่งระยะห่างไกลจากเขตใจกลางเมืองมาก ตอนนี้รีบไปก็เกรงว่าจะไม่ทันเวลาอยู่ดี”
ชวิศพูดกล่าวอย่างใจเย็น “ผมแนะนำว่าพรุ่งนี้คุณค่อยไปเถอะ คอยดักรออยู่ตรงนั้นแหละ”
ญาธิดากุมโทรศัพท์ไว้แน่น ร่างกายสั่นสะท้าน ผ่านไปชั่วครู่เธอถึงได้กล่าวออกมา “ฉันทราบแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ราวกับจับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเธอ ชวิศจึงถามไถ่ทันที “พรุ่งนี้ต้องให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณมั้ยครับ?”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะรีบไปให้เร็วๆ หน่อยก็ได้แล้วค่ะ”
พูดจบ เธอก็ตัดสายทิ้งทันที
เธอกดคลิปวิดีโอนั้น และดูวนซ้ำไปมาอยู่หลายรอบ ราวกับมีสิ่งของบางอย่างมันกดทับตรงหัวใจของเธอ จนทำให้เธอหายใจไม่ออก
ไม่คิดเลยว่าเวลานี้เณรศีลจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทั้งๆ ที่มีอายุเท่ากับฝาแฝด แต่กลับผ่านร้อนผ่านหนาวตั้งมากมายทั้งที่อายุของเขาไม่สมควรจะรับสภาพนี้ด้วยซ้ำ
ถ้าเธอไม่ได้ไปสถานปฏิบัติธรรม ถ้าท่านเจ้าอาวาสยังไม่มรณภาพ เขาก็คงไม่ตกระกำลำบากจนไม่มีที่ซุกหัวนอน คงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้หรอก…
เมื่อเธอคิดได้เช่นนี้ ย่อมนำความผิดพลาดทั้งหมดกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง ด้วยความละอายใจจนทำให้เธอตื่นตระหนกจนจิตใจไม่สงบ นั่งไม่อยู่กับที่
เธอช้อนสายตาเหลือบมองเวลา พลันลังเลซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายจึงตัดสินใจกัดฟันและลุกขึ้นยืน พลางหยิบเสื้อคลุมและกุญแจรถมุ่งหน้าเดินออกไปทางด้านนอก
ถ้าเธอขับรถให้เร็วหน่อย จะทันเวลาก่อนที่เณรศีลจะกลับก่อนหรือเปล่านะ? ถ้าเป็นแบบนั้น เธอก็สามารถพาเขาให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานได้เร็วขึ้น และสามารถชดใช้หนี้ให้เขาเร็วขึ้นด้วย!
ญาธิดากัดฟันไว้แน่น ในหัวสมองหลงเหลือแต่เพียงเรื่องนี้ เธอสตาร์ทรถยนต์ เหยียบคันเร่ง รถยนต์พลันทะยานตัวออกไปอย่างรวดเร็ว