ดวงใจภวินท์ - บทที่ 573 เจอตัวเณรศีล
บทที่ 573 เจอตัวเณรศีล
รถยนต์ทะยานเข้าสู่ถนนเส้นหลัก ญาธิดาไม่เคยขับรถเร็วแบบนี้มาก่อนเลย ตอนที่รีบบึ่งมายังตำแหน่งที่ชวิศได้บอกกับเธอเอาไว้ ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทแล้ว
เธอเปิด GPS โดยปักหมุดมุ่งหน้ามายังตลาดสดนั้นทันที ตอนที่เดินทางมาถึงนั้น คนที่เดินไปมากันขวักไขว่ก็บางตาลงมาก
ญาธิดารีบหาที่จอดรถทันควัน จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ทันที
เมื่อครู่ตอนที่เธอเห็นฉากในวิดีโอนั้น ก็เป็นประตูใหญ่ของตลาดสดทางนี้ บริเวณที่เณรศีลนั่งคุกเข่าตามภาพในกล้องวงจรปิด ตอนนี้กลับเวิ้งว้างว่างเปล่า กระทั่งบริเวณพื้นก็ไม่ทิ้งร่องรอยเหมือนกัน
ญาธิดารีบเร่งฝีเท้าเดินอ้อมประตูวนหนึ่งรอบ ก็ยังไม่ค้นพบอย่างอื่นสักนิด หรือว่าจะเหมือนกับที่ชวิศพูดออกมาเช่นนี้ เณรศีลจะกลับไปตอนสองทุ่มกว่า ประจวบเหมาะเป็นเวลาที่เธอรีบมาหาพอดี ทั้งสองคนเลยคลาดเคลื่อนกันอย่างสมบูรณ์แบบ
ญาธิดากัดฟันไว้แน่น หัวใจทั้งดวงเหมือนถูกแขวนตรงลำคอ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก อันดับแรกคือเพื่อให้ตนเองสงบสติอารมณ์ลงมา จากนั้นก็สำรวจบริเวณโดยรอบ
ทันใดนั้น เธอก็เพ่งบริเวณป้อมขายหนังสือพิมพ์หลังเก่าแห่งหนึ่งข้างถนนที่ติดกับตลาดสด พลันลังเลชั่วครู่ จากนั้นก็อาศัยแค่ความอยากลองในการเดินมุ่งหน้าไป
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังฮัมเพลงและเก็บกองนิตยสารไปด้วย และท่าทางกำลังเก็บของเตรียมจะปิดร้าน
ญาธิดาหยิบเครื่องดื่มขึ้นมาหนึ่งขวดติดมือ และจ่ายเงิน จากนั้นก็สอบถามเจ้าของร้านทันที “ลุงคะ บริเวณประตูทางเข้าตลาดสดนี้มีเด็กมาขอทานเป็นประจำใช่มั้ยคะ?”
เจ้าของร้านคนนั้นพยักหน้า จากนั้นก็ใช้สายตาประเมินเธอ พลันเอ่ยถาม “มีสิ จะทำไมเหรอ?”
“หนูอยากจะทำบุญค่ะลุง ได้ยินว่าทางนี้มีเด็กเร่ร่อนไม่มีที่พึ่งพาน่าสงสารมากค่ะ เลยอยากมาดูสักหน่อย แต่ตอนที่หนูมานั้น ก็ไม่มีคนอยู่ตรงประตูแล้วค่ะ”
เมื่อเจ้าของร้านได้ยิน พลันตอบทันที “หนูมาช้าไป อีกอย่างข่าวที่หนูได้ยินมานะ ก็ไม่น่าเชื่อถือเลย ใครบอกหนูเหรอว่าเด็กขอทานคนนั้นเป็นเด็กเร่ร่อนไม่มีที่พึ่งพา?”
ญาธิดาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ “หรือว่า …ไม่ใช่หรือคะ?”
ถ้าไม่ใช่ตัวคนเดียวไม่มีที่พึ่งพา ใครอยากจะไปนั่งคุกเข่าขอทานอยู่ตรงนั้นล่ะ?
เจ้าของร้านชำเลืองมองเธอ เหมือนว่าไตร่ตรองแล้วถึงได้ตักเตือนด้วยความหวังดี พลันลดเสียงต่ำกระซิบพูดทันที “ลุงแนะนำให้นะ อย่าไปยุ่งกับพวกเขา เด็กเหล่านั้น มันไม่ใช่เด็กเร่ร่อน มันเป็นแก๊งกัน”
ญาธิดาตกตะลึง “หมายความว่าไงหรือคะ?”
เจ้าของร้านหันหน้าไป พลันใช้ปลายคาง ชี้ไปยังทิศทางนั้น “ลุงได้ข่าวว่าพวกนั้นจะนอนอยู่แถวโรงงานปูนซีเมนต์ แต่ไม่ใช่หัวเดียวกระเทียมลีบเหมือนที่หนูพูดออกมานะ อย่าหาเรื่องใส่ตัว คนสวย รีบกลับบ้านเถอะนะ!”
เจ้าของร้านโบกมือ ไม่ยอมพูดต่อแล้ว จากนั้นก็เก็บนิตยสารต่อ ผลักตู้เย็นเข้าไปในป้อมร้านขายหนังสือพิมพ์ จัดการล็อกร้านและเดินกลับบ้านทันที
ญาธิดาดื่มเครื่องดื่มอึกหนึ่ง พลันคาดเดาความหมายในคำพูดของเจ้าของร้านเมื่อครู่นี้อย่างพินิจพิจารณา เธอเงยหน้ามองไปยังทิศทางที่เจ้าของร้านพูดเมื่อครู่ ลังเลอยู่ชั่วครู่ ถึงได้ย่างเท้าเดินไป
บริเวณนั้นเป็นโซนเมืองเก่า ตึกรามบ้านช่องต่างเป็นตึกเตี้ยไม่กี่ชั้น เป็นตึกสไตล์ฝรั่งสองสามชั้นที่สร้างกันเอาเอง เก่าคร่ำครึบุโรทั่ง ผิวถนนไม่สม่ำเสมอ
สองทุ่มกว่าแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิท แต่ไฟเขตหมู่บ้านเก่าๆ ทางนี้ไม่สว่างเหมือนกับในเมือง ทั่วทั้งโซนเมืองต่างมืดสลัว
ญาธิดาค่อยๆ เดินมุ่งหน้าไป พลันเดินตัดหลายซอย พลันเห็นเด็กผู้ชายใส่เสื้อผ้าขาดวิ่นหลายคนที่ยืนอยู่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่งพลันก้มหน้ากระซิบกระซาบพูดคุยอะไรบางอย่าง
ญาธิดาเพ่งมอง จึงเห็นหน้าด้านข้างของเด็กผู้ชายหนึ่งในนั้น พลันตื่นเต้นทันที
คนนั้นคือเณรศีล! ศีรษะกลมเล็กของเขามีเส้นผมสั้นหยักศกที่ไม่เท่ากัน เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนตัวก็เหมือนกับที่เธอเห็นในคลิปวิดีโอไม่ผิดเพี้ยน!
ญาธิดาดีใจมาก จึงเดินสาวเท้าเข้าไปทันควัน โดนเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าเดินไปทางนั้น
หาตัวเณรศีลเจอแล้ว ไม่แน่นะก็สามารถหาเณรน้อยรูปอื่นได้ ยังมีธีระ บางทีอาจเป็นเพราะว่าไม่มีสถานที่ป้องกันอันตราย พวกเขาเลยมาใช้ชีวิตหลบซ่อนกันอยู่ที่นี่ กล่าวได้ว่า จากที่นี่ก็ไม่ได้ห่างไกลจากภูเขารามมากนัก
เธอเดินมุ่งหน้าไป ตอนแรกก็คิดว่าจะเอ่ยปากเรียก ทว่าอยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายตัวใหญ่โตอวบอ้วนคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านของชำเล็กๆ ที่อยู่ทางด้านข้าง ริมฝีปากของเขายังคาบบุหรี่ไว้หนึ่งมวน พลันหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุด จากนั้นจึงเดินไปยังเด็กกลุ่มนั้น พลันยกเท้าขึ้นมาเตะ พร้อมทั้งสบถด่าทันที “วันนี้พวกแกไปขอมาได้มากระติ๊ดเดียวเอง ขนาดกูจะสูบบุหรี่ให้สบายใจหน่อยยังไม่ได้เลย! โอกาสดีๆ ก็ไม่คว้าเอาไว้!”
เขาพูด พร้อมทั้งเดินมาทางด้านหลังของพวกเขา จากนั้นก็ผลักให้พวกเขาเดินมุ่งหน้าไปทางด้านหน้า “ไป! กลับเข้าไป ดูซิว่าเฮียทิงจะจัดการพวกแกยังไง!”
เขาพูด พร้อมทั้งยกมือขึ้นตบท้ายทอยของเณรศีลดังรุนแรง พลันฉุดกระชากพวกเขาให้เดินไปทางด้านหน้า
ญาธิดาร่างกายแข็งทื่อและยืนอยู่ที่เดิม สมองมึนเบลอไปหมด
ตกลงว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใครกัน? ทำไมเณรศีลต้องก้มหน้าก้มตาตลอดเวลา แถมยังไม่กล้าหายใจเต็มแรง พร้อมทั้งปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นรังแกแบบนี้ได้!
เมื่อเห็นว่าเด็กไม่กี่ขวบถูกกระทำเช่นนี้ อารมณ์โกรธเคืองของเธอก็พุ่งขึ้นขั้วหัวใจทันที เธอกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว เธอไม่อยากไล่ตามแล้ว แต่ในชั่วขณะนั้น จู่ๆ ในหัวสมองก็ฉายคำพูดที่เจ้าของร้านป้อมขายหนังสือพิมพ์พูดมันแวบขึ้นมา
“ลุงขอแนะนำ หนูอย่าไปหาเรื่องพวกเขาเลย…”
คำพูดของเจ้าของร้านมันหมุนติ้วๆอยู่ในหัวสมองของเธออยู่หลายตลบ พลันหวนนึกถึงความสีหน้าแววตาของเขาในเวลานั้น แววตามีแต่ความหวาดกลัวเล็กน้อยจนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่า คนพวกนั้นจะไม่เหมาะที่จะเข้าไปหาเรื่อง
เจ้าของร้านป้อมขายหนังสือพิมพ์พูดว่าพวกมันเป็นแก๊ง ซึ่งตอนนี้เห็นกับตา แม้ว่าเธอเห็นผู้ชายอวบอ้วนอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่สามารถแยกแยะว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นอยู่มากน้อย อีกทั้งเธอเห็นเด็กแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ไม่แน่อาจจะมีมากกว่านี้ นั่นก็กล่าวได้ว่า ที่นี่เป็นแก๊งมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในการลักพาตัวเด็กและคอยสอนให้เด็กไปขอทานเพื่อเอาเงินมา
เด็กๆ ที่ยากจน โดดเดี่ยวไม่มีที่พึ่งพา กลายเป็นต้นไม้เรียกทรัพย์ของพวกมัน
ญาธิดากัดฟันไว้แน่น ตอนที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี พลันเห็นผู้ชายคนนั้นเดินไม่กี่ก้าวก็หันหน้ากลับมาอย่างกะทันหัน ร่างกายเธอแข็งทื่อ พลันรีบหลบไปทางด้านข้างทันที
เพราะว่าท้องฟ้าดำมืดลงแล้ว ดังนั้นผู้ชายอ้วนคนนั้นจึงมองไม่เห็นญาธิดา เขาสำรวจมองซ้ายมองขวา จากนั้นก็จัดการผลักเด็กหลายคนนั่นที่อยู่ด้านข้าง “อยากกินข้าวเย็นก็รีบเข้าไปข้างในเร็วๆหน่อย!”
ตึกเล็กที่มีสามชั้นมีลานอยู่ข้างล่างตรงบริเวณนั้น เด็กหลายคนโค้งหลังลงและสอดตัวเข้ารอยแง้มประตูเข้าไป ชายอ้วนอยู่เป็นคนสุดท้าย และมองซ้ายมองขวา เมื่อวางใจเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงผลักประตูเดินเข้าไปด้านใน
เมื่อประตูเหล็กปิดลง ญาธิดาถึงได้เริ่มขยับตัว พลันย่างเท้าเพื่อเขยิบเข้าใกล้บริเวณนั้น หลังจากที่เดินเข้าไปใกล้แล้ว เธอถึงได้ค้นพบว่าด้านข้างประตูติดป้ายไว้ ด้านบนเขียนประทับไว้ว่า “โรงงานปูนซีเมนต์ตะวันตก” ตัวอักษรตัวโตไม่กี่ตัว
บนป้ายยังมีฝุ่นหนาเตอะเป็นชั้นๆ มองดูทั้งสกปรกทั้งเก่าคร่ำครึ ญาธิดาสูดหายใจลึกๆ เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู จึงลองมองผ่านลอดช่องประตู แต่ประตูปิดสนิทมาก มองไม่เห็นด้านในเลย เธอได้ยินมีเสียงเด็กเอะอะเอ็ดตะโรดังเล็ดลอดออกมาจากด้านใน พลันเกิดความรู้สึกร้อนรุ่มอันแรงกล้ามากกว่าเดิม
ไม่ได้การ เธอจำต้องคิดหาวิธี เพื่อให้เห็นภาพจากด้านใน!
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันเดินอ้อมโรงงานปูนซีเมนต์ ใครจะไปรู้ว่าเพิ่งเดินมาได้ครึ่งรอบ จู่ๆ ก็ค้นพบว่าทางด้านหลังโรงงานปูนซีเมนต์จะมีประตูหลังอยู่ด้วย
ประตูหลังทั้งทรุดโทรมมาก มีสนิมเกาะเต็มไปหมด บานประตูแง้มเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งสามารถมองเห็นทางลานด้านหลัง ทางด้านหลังเป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่มีถุงซีเมนต์วางเป็นกองกองเอาไว้ บริเวณอื่นมีแต่ขยะกลาดเกลื่อนไปหมด ทั้งสกปรกและเละเทะ
ญาธิดาชะโงกหน้าเข้าไปดู ไม่คิดเลยว่าจะมีคน พร้อมทั้งปลุกความกล้าหาญเพื่อเดินเข้าไป
ทางด้านหลังบ้านเหมือนไม่มีคนอยู่ หลังจากเดินเข้าไปแล้ว ยิ่งใกล้ตัวบ้านเรื่อยๆ เธอก็ได้ยินมีเสียงเอะอะดังเซ็งแซ่ออกมาจากด้านใน เป็นเสียงกรีดร้องของเด็กดังปะปนกันไป
ในช่วงเวลาคลุมเครือนั้น เธอมองเห็นภายในบ้าน ทั้งสกปรกเละเทะไปหมด แถมยังวางเครื่องจักรเอาไว้ เด็กๆ ต่างวิ่งสวนกันไปมา
มีทั้งเด็กเล็กเด็กโตประมาณสิบกว่าคน เธอมองซ้ายมองขวา แต่กลับไม่เห็นเงาของเณรศีล
จังหวะนี้เอง มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านใน ญาธิดานั่งยองๆ ลง เพื่อหลบอยู่ด้านหลังกองขยะในลาน และไม่กล้าจะหายใจแรงๆด้วยซ้ำ