ดวงใจภวินท์ - บทที่ 576 หน้าซื่อใจคด
บทที่ 576 หน้าซื่อใจคด
ซวยแล้ว! ถูกจับจนได้!
ญาธิดารู้สึกประหม่าทันที เธอทนรอไม่ไหวจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีแต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว เพราะผู้ชายสองคนนั่นเดินอ้อมมาทางด้านข้างๆ ด้านซ้ายคนด้านขวาคน หนึ่งในนั้นเมื่อมองเห็นเธอแล้ว พลันตะโกนเสียงดังลั่น “อีนังนี่มันอยู่ตรงนี้วะ!”
ญาธิดารู้สึกถูกเงาตะคุ่มปกคลุมทางสองด้าน แสงไฟโดยรอบต่างถูกขวางไว้อย่างมิดชิด เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พลันผงกหัวชำเลืองมองผู้ชายสองคนนั้นที่กำลังจ้องเธอย่างเย็นเฉียบ
“ที่แท้อีนังผู้หญิงชั้นต่ำก็ซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ กูก็พูดอยู่ว่าทำไมถึงหาไม่เจอสักที!”
ผู้ชายคนหนึ่งพูดผิวปาก พลันยื่นมือออกไปคว้าขอเสื้อของเธอ เพื่อฉุดกระชากเธอให้ออกมาจากทางด้านหลังของถังขยะ
เมื่อท่อนขาของญาธิดาเริ่มออกแรงปุ๊บ ความเจ็บแสบอย่างปวดร้อน ก็ลามมาถึงแผลที่ขาทันที
เธอกัดฟันไว้แน่น “ปล่อยฉันนะ!”
“หึ! มึงฝันไปเหอะ!”
ผู้ชายทั้งสองคนตรึงแขนของเธอคนละฝั่ง พร้อมทั้งฉุดกระชากลากถูเธอเพื่อมุ่งหน้าไปโรงงานปูนซีเมนต์ทันที ร่างกายญาธิดามีอาการบาดเจ็บอยู่ จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกผู้ชายสองคน ทว่าในเวลานี้เอง พลันมีแสงไฟเป็นเส้นแสบตาส่องมาจากทางด้านหลัง จากนั้นตามมาติดๆ พลันมีเสียงคำรามของคันเร่งของรถยนต์ดังกึกก้องขึ้น
ผู้ชายทั้งสองคนต่างตกใจ พลันหันไปมองข้างหลังอย่างไม่ได้นัดหมายกัน แต่แสงไฟมันสว่างจ้ามากเกิน พวกเขาจึงมองเห็นเงารถอย่างเลือนราง ที่เหลือคือไฟหน้ารถสว่างจ้าที่กำลังส่องตา
พวกเขาเหล่ตาอย่างไม่รู้ตัว แต่รถยนต์คันนั้นก็ขับพุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว และไม่มีท่าทีจะลดความเร็วลงเลย
ผู้ชายทั้งสองคนต่างตกใจทันที เห็นเต็มตาว่ามีรถยนต์พุ่งเข้ามาทางด้านหน้า ซึ่งเป็นจังหวะที่กำลังพุ่งกระโจนใส่พวกเขานั้น พวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองกลับอย่างว่องไว จึงไม่คำนึงถึงญาธิดาสักนิด พลันรีบหลบทางด้านข้างอย่างรวดเร็ว
จากนั้นพลันมีเสียงล้อรถบดกับพื้นผิวถนนจนเกิดเสียงดังแสบแก้วหูดังขึ้น รถคันนั้นกำลังดริฟท์อยู่ที่พื้น ค่อยๆ ลดความเร็วทะยานมาทางด้านหน้า ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ญาธิดากำลังยืนหลบอยู่พอดี
การเลี้ยวหักศอกของรถยนต์ จอดสนิทด้วยความเร็ว จากนั้นก็เปิดประตูตามมาติดๆ พลันมีคนลงมาจากบนรถ พร้อมทั้งเดินมาเธออย่างรวดเร็ว
พยัคฆ์เชิดปลายคางให้เธอเล็กน้อย “พี่ธิดา! ขึ้นรถเร็วครับ!”
เขาพูด พร้อมทั้งเร่งฝีเท้าเดินมาทางด้านหน้าทันควัน เพื่อเดินอ้อมเธอ และวิ่งไล่ตามผู้ชายหนึ่งในนั้น พลันใช้ขาข้างหนึ่งกวาดออกไปเพื่อให้เขาล้มกองอยู่ที่พื้น ส่วนผู้ชายอีกคนถูกลูกน้องคนอื่นคุมตัวอยู่ และฉุดลากกลับไป
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันฉุกคิดถึงเณรศีลที่ยังอยู่ในโรงงานปูนซีเมนต์ พลันหันไปมองยังทิศทางของรถยนต์ ลังเลอยู่ชั่วครู่ เธอย่างเท้าเดินไปหา และขึ้นรถทันที
ภวินท์นั่งอยู่บริเวณเบาะหลังรถ ตอนที่เห็นเธอนั้น แววตาฉายความมืดหม่นที่ไม่สามารถจับสังเกตได้ง่าย “บาดเจ็บตรงไหนมั้ยครับ?”
ระหว่างที่พูดนั้น สายตาของเขาก็กวาดตาประเมินร่างกายของเธออย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็หยุดตรงตำแหน่งน่องขาของเธอที่ได้รับบาดเจ็บมา
ญาธิดาเอาผ้ามาพันเอาไว้แบบลวกๆ จนเปรอะคราบเลือดเป็นดวงๆ เห็นแล้วก็สะดุดตาและทิ่มแทงตาเหลือเกิน
ภวินท์เลิกคิ้วขึ้นทันที พลันออกคำสั่งกับคนขับรถ โดยที่ไม่รอให้เธอบอกกล่าวอะไร “ออกรถ ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด”
“เดี๋ยวค่ะ!” ญาธิดาสูดหายใจแรงๆ “เณรศีลเขายังอยู่ในมือของคนเลวพวกนั้นอยู่เลยค่ะ!”
วันนี้เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น เธอยังไม่รู้ว่าคนเลวพวกนั้นจะทำอะไรกับเด็กน้อยอายุ5-6ขวบบ้าง หัวใจทั้งดวงของเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย ไม่วางใจเลยสักนิด
ภวินท์ย่นคิ้ว “ผมสั่งให้พวกพี่เข้มเข้าไปแล้ว”
“ไม่ได้ค่ะ! ฉันต้องไปดูให้เห็นกับตาตัวเองถึงวางใจได้ค่ะ!” ญาธิดายังคงแสดงความหนักแน่น “ตรงนั้นมันเป็นการค้ามนุษย์และแก๊งลักพาตัวเด็ก มีเด็กเยอะแยะอยู่ด้านในค่ะ พวกเขากลายเป็นตัวเรียกทรัพย์ให้คนเลวกลุ่มนั้น แถมยังถูกบีบบังคับให้เป็นขอทาน ถ้าพวกเราจับคนเลวพวกนั้นได้ เด็กที่เหลือจะทำเป็นไม่ดูดำดูดีไม่ได้นะคะ”
พอภวินท์ได้ยิน สายตากวาดตามองแผลที่ยังไม่ได้ทำแผลจนมีเลือดไหลไม่หยุด สีหน้าเคร่งขรึมลงเยอะ “ญาธิดา ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทำจิตสาธารณะ”
แผลของตัวเธอเองก็ยังไม่ได้ทำแผลให้เรียบร้อย ถ้าตอนนี้เข้าไปจัดการเรื่องเด็กๆ แล้วจะทันเวลาไหมล่ะ?
ภวินท์ใช้น้ำเสียงหนักแน่นในการกล่าวพูดทันที “ผมส่งพี่เข้มให้พาตัวเด็กที่คุณหาอยู่ให้เอาออกมาแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการไปทำแผลที่โรงพยาบาลก่อน”
ญาธิดาอ้าปากพูด “แต่ว่าพวกนั้น…”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนความเย็นยะเยือกของคนมาขัดจังหวะทันที “ไม่มีคำว่าแต่”
ภวินท์พูดประโยคนี้ทิ้งท้ายเอาไว้ พลันหันไปมองคนขับรถ พร้อมทั้งออกคำสั่งอย่างเย็นเฉียบ “รีบขับรถไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
คนขับรถเห็นสภาพ ไม่กล้าพูดอะไรมา ได้แต่ทำตามทันควัน ญาธิดานั่งอยู่ด้านข้าง อารมณ์โกรธเคืองสุมอกมันกระเพื่อมขึ้นลงอย่างไม่หยุดหย่อน
ในความทรงจำของเธอนั้น ก่อนหน้านี้ภวินท์ได้ทำกิจกรรมการกุศลมาไม่น้อย แต่ตอนนี้เขาได้ยินว่ามีเด็กเร่ร่อนที่ต้องการความช่วยเหลืออีกมากมายทำไมถึงไม่แยแสด้วยซ้ำ ช่างโหดร้ายเกินไปมั้ยเนี่ย หรือว่า การที่เขาทำการกุศล มันไม่ได้มาจากจิตใต้สำนึกเลย แต่เป็นเพียงการสร้างภาพให้บริษัทก็เท่านั้นเอง
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ งั้นเขาก็เป็นคนหน้าซื่อใจคดที่สมบูรณ์แบบมากๆ ทีเดียว!
เมื่อญาธิดาคิดได้เช่นนี้ หัวใจของเธอก็เย็นชาลงในชั่วขณะ พลันเกิดความรู้สึกโกรธเคืองอยู่ในใจ จนกัดฟันไว้แน่น พลางหันหน้าไปมองนอกกระจกรถยนต์ และไม่สนใจไยดีภวินท์ที่นั่งอยู่ด้านข้างอีกเลย
ไม่นานนัก รถยนต์ก็ทะยานมาถึงโรงพยาบาลที่อยู่ละแวกเขตตะวันตก หลังจากที่ญาธิดาลงจากรถแล้ว พยัคฆ์เป็นคนไปเย็บแผลเป็นเพื่อนเธอ ระยะเวลาที่กำลังรออยู่นั้น เธอก็ได้ถามคำตอบคำกับพยัคฆ์
“พายุลาออกไปหลายวันแล้วใช่มั้ย?”
เมื่อได้ยินคำถามจากความสงสัยของญาธิดา พยัคฆ์พยักหน้าทันที “ใช่ครับ พี่ยุเขาออกอย่างกะทันหัน ไม่พูดถึงมูลเหตุอะไรเลย ผมนี่แปลกใจมาก”
มุมปากญาธิดากระตุก แต่ไม่ได้ตอบกลับทันที พยัคฆ์เห็นภาพนั้นแล้ว จึงจับสัมผัสอะไรได้ จึงเอ่ยปากสอบถามทันควัน “พี่ธิดาหรือว่าพี่รู้อะไรใช่มั้ยเนี่ย?”
ญาธิดาหัวเราะ “อะไรนะ? ฉันจะไปรู้เรื่องอะไรล่ะ?”
“พี่ต้องรู้แน่ๆ!” น้ำเสียงพยัคฆ์พูดอย่างหนักแน่น “รีบพูดให้ผมฟังมาเถอะนะ!”
ญาธิดารูดปากสนิท “ฉันไม่มีอะไรที่ต้องพูดนี่ ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละค่ะ”
“ไม่แฟร์เลยพี่ธิดา งั้นเราสองคนมาแลกเปลี่ยนความลับกันเอามั้ยล่ะ พี่บอกผม ผมก็จะบอกความลับกับพี่เรื่องหนึ่ง”
จู่ๆ พยัคฆ์พลันก้าวทางด้านหน้าทันควัน พร้อมทั้งกดเสียงพูดอย่างลึกลับซับซ้อน “พี่ธิดา พี่รู้เปล่าคุณภวินท์เขาใส่ใจพี่มากนะ! ตอนแรกก็กำลังเจรจาเรื่องโครงการกับพวกเราอยู่ จวนใกล้จะจบอยู่แล้วเชียว จากนั้นก็คุยโทรศัพท์กับพี่ พลันพาพวกเรายกโขยงมาเลย!”
ญาธิดาตกตะลึง พลันเอ่ยปากถามทันที “โครงการไหนเหรอคะ?”
พยัคฆ์พูดตามความเป็นจริง “อะไรที่ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ปล่อยไป คุณภวินท์พูดว่าไม่มีเรื่องไหนที่จะสำคัญไปกว่าพี่แล้วครับ!”
“งั้นเหรอคะ?” ญาธิดายกมุมปากอย่างเย้ยหยัน
เมื่อครู่เธออยากจะไปพาตัวเณรศีลออกมาด้วยตนเอง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาไม่ให้โอกาสเธอสักครั้งเลย
พยัคฆ์ยังอยากจะพูดอะไร ยังไม่ทันอ้าปาก พลันมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างกะทันหัน เขาชะงักเล็กน้อย พลันกลืนคำพูดลงไป และกดรับสายทันที “ฮัลโหลครับ? มีอะไรหรือเปล่าครับพี่เข้ม?”
เมื่อฟังว่าคนที่อยู่ปลายสายคือพี่เข้มญาธิดาเคร่งขรึมลงเยอะอย่างฉับพลัน ช่วงเวลานี้ เขาควรจะอยู่ในโรงงานปูนซีเมนต์สิ
เมื่อเห็นว่าพยัคฆ์คอยฟังโทรศัพท์อยู่ ทันใดนั้นสีหน้าก็ซีดเผือดเล็กน้อย เขาชำเลืองมองญาธิดาทันควัน จากนั้นก็เอ่ยปากถาม “วนหาอีกสักรอบดีมั้ย?”
น้ำเสียงอันหนักแน่นของพี่เข้มที่อยู่ปลายสาย “ไม่มีจริงๆ พวกเราหาตามภาพสเกตช์กันเลย!”
พยัคฆ์ตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยปากพูด “รายงานคุณภวินท์ก่อนเถอะครับ ดูซิว่าเขาจะออกคำสั่งว่าอย่างไรต่อ”
หลังจากพูดประโยคนั้นออกไป เขาก็ตัดสายทิ้ง สายตาเหลือบมองญาธิดาอย่างลองใจ
ญาธิดาจับสัมผัสความผิดปกติได้ พลันเอ่ยปากถามทันที “มีอะไรหรือเปล่า? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ริมฝีปากของพยัคฆ์ขยับขึ้นลง พลันกระซิบพูด “พี่เข้มโทรศัพท์มาหา บอกว่าหาเด็กที่อยู่ในภาพสเกตช์นั้นไม่เจอครับ”
“อะไรนะ!” ญาธิดาตกใจทันที “จะเป็นไปได้ยังไง!”
วินาทีถัดมา ในหัวสมองของเธอฉายความคิดที่น่ากลัวที่สุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หรือว่าพวกกลุ่มคนเลวพวกนั้นพาตัวเณรศีลหนีไปแล้ว?