ดวงใจภวินท์ - บทที่ 579 คุณทำบ้าอะไรเนี่ย
บทที่ 579 คุณทำบ้าอะไรเนี่ย?
ใครจะไปรู้ว่าเณรศีลที่เพิ่งจะปล่อยมือออก จู่ๆ กลับเบิกตาโตอย่างทันทีทันใด พลันเงยหน้ามองเธอด้วยความหวาดกลัว เหมือนว่าน้ำตาสามารถหยดลงในชั่วขณะนั้น แถมยังพูดอย่างน่าสงสาร “ผมกลัวครับ…”
ชั่วขณะนั้น หัวใจญาธิดาอ่อนระทวยลงทันควัน จนพูดคำพูดปฏิเสธต่างๆ นานาไม่ออกอีกแล้ว
พลันมีเสียงภวินท์ที่อยู่ทางด้านข้างดังขึ้น “อย่างน้อยก็กล่อมเขาให้นอนหลับแล้วค่อยกลับไป”
ญาธิดากัดริมฝีปากล่าง พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ โดยไร้วิธีอื่นอีกแล้ว จึงทำได้แค่ก้มหน้ามองเณรศีลพลางกระซิบพูด “ตกลง งั้นไปกัน ฉันจะพาหนูไปนอนที่ห้องนอนนะ”
เณรศีลถึงยอมพยักหน้ารับ ดวงตาทั้งสองข้างมีน้ำตาคลอเบ้า เมื่อมองก็น่าสงสารจับใจ
เมื่อเห็นหญิงสาวเดินจูงเด็กน้อยเดินเข้าห้องไปแล้ว รอยยิ้มที่อยู่ในดวงตาของภวินท์ก็เพิ่มมากขึ้น
“โธ่! คุณภวินท์ ช่วงนี้นายชอบพาคนมาที่นี่ นายทำท่าเหมือนบ้านฉันเป็นโรงแรมหรือไงวะ?”
ทันใดนั้น พลันมีเสียงแดกดันของหลุยส์ดังขึ้นมา รอยยิ้มตรงมุมปากภวินท์หุบทันที พลันชะเง้อมองตามต้นตอเสียง
พลันมองเห็นหลุยส์ยืนพิงกำแพงและจ้องมองเขาอย่างเพลิดเพลิน แถมยังมีรอยยิ้มที่ดูผิดแปลกและไม่ชัดเจนปรากฏอยู่บนใบหน้า
ภวินท์เหล่ตามองเขาอย่างเย็นชา ไม่ยอมพูดอะไรมาก พลันเข็นล้อรถเข็นเตรียมหนีทันที ใครจะรู้ว่าอยู่ดีๆ หลุยส์ก็ก้าวเดินฉับๆมาทางด้านนี้ แถมพูดพร้อมกับตอนที่เดินด้วย “นี่ๆๆ ไอ้วิน กูตกต่ำถึงขั้นขนาดโดนคนเชิดใส่แล้วเหรอวะ? แถมไม่มองหน้ากูดีๆ ด้วยซ้ำ!”
ภวินท์พูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค “ไม่ว่างพอที่จะมาสนใจมึง”
หลุยส์หัวเราะร่า พลันเดินไล่ตามอย่างไม่ลดละ “เฮ้ยไอ่วิน เรื่องญาธิดามันเป็นไงมาไง วันนี้พักที่นี่เหรอวะ?”
“เกี่ยวอะไรกับแกด้วยวะ?”
“ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว” หลุยส์ตอบหัวเราะร่า “แต่มันเกี่ยวข้องกับแกนะสิ!”
เขาพูด พร้อมทั้งตบบ่าของภวินท์อย่างออมชอม จากนั้นก็โน้มตัวลงและเขยิบมาพูดใกล้ๆ เขา “ความคิดเล็กๆ ที่อยู่ในใจของแก ฉันชัดเจนดี เอางี้มั้ยวะ เดี๋ยวเพื่อนจะเสกเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่ายเอง?”
นัยน์ตาภวินท์ฉายแววตาหม่นหมองออกมาเล็กน้อย พลันจ้องมองเขาอย่างระแวดระวังกลับทันที “แกคิดจะทำอะไร?”
ก่อนหน้านี้หลุยส์ไม่ค่อยอยากจะชอบหน้าญาธิดา แถมยังใช้กลวิธีบางอย่างต่อเธออยู่หลายครั้ง ตอนนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ เขาย่อมไม่วางใจแน่
จำต้องรู้ว่า ที่นี่เป็นบ้านของหลุยส์ มีแต่คนของเขาอยู่เต็มบ้าน เขาคิดอยากจะทำอะไรขึ้นมา ซึ่งมันง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก
“ทำไมต้องเคร่งเครียดขนาดนี้ด้วยวะ?”
เมื่อเห็นภวินท์แสดงท่วงท่าเช่นนั้นออกมา หลุยส์ถึงกลับกล้ำกลืนฝืนทน พลันตบบ่าของเขาแผ่วเบา น้ำเสียงจริงจังขึ้นมาทันที “วางใจเถอะไอ้วิน กูมองออก มึงจริงใจกับเธอจริงๆ ตอนนี้กูยังจะกล้าไปแตะต้องเธออยู่มั้ยล่ะ?”
เขาพูด พร้อมทั้งเดินอ้อมมาทางด้านหน้ารถเข็น พลางพูดอย่างจริงจัง “ตราบใดที่แกจริงใจ เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนแน่นอน”
เขาชะงักเล็กน้อย พลันมองเห็นบานประตูทางนั้นปิดสนิท จู่ๆ พลันกดเสียงพูด “แกอยากให้เธอนอนที่นี่ไม่ใช่เหรอ ฉันมีวิธี…”
หลังจากกล่อมเณรศีลให้นอนหลับไปแล้ว ซึ่งเป็นเวลาถัดหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ร่างกายญาธิดาเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งตัว บวกกับได้รับบาดเจ็บและสูญเสียเลือดไปจำนวนไม่น้อย และหมดเรี่ยวแรงไปตั้งนานแล้ว จนไม่อยากขยับเขยื้อน
เธอเหลือบมองเวลา พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ พลันผลักบานประตูเดินออกไป เพื่อเตรียมจะออกไป จะได้รีบกลับแกรนด์ บูเลอวาร์ดเร็วๆ
เมื่อเดินลงมาถึงชั้นหนึ่ง เธอจึงค้นพบว่าบานประตูใหญ่ปิดสนิท แถมยังล็อกจากด้านใน ผลักยังไงก็ผลักไม่มีการขยับเขยื้อน
เธอหันกลับมาเพื่อสำรวจบริเวณโดยรอบ ไม่มีคนรับใช้อยู่เลย
ก็ใช่นะ ดึกดื่นค่อนคืนป่านนี้แล้วด้วย เวลานี้คนรับใช้ก็พักผ่อนกันหมดแล้ว
ญาธิดามองบานประตูที่ล็อกสนิท พลันลองอยู่หลายครั้ง ก็ยังเปิดไม่ได้ ทันใดนั้น มีเสียงผู้ชายดังขึ้นมาทางระเบียงตรงชั้นหนึ่ง“ล็อกแล้วแหละ ใช้มือเปิดไม่ได้หรอก”
ญาธิดาหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นภวินท์นั่งอยู่บนรถเข็น เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองสีเทาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเปียกเหมือนว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
เธอย่นคิ้วเข้าหากัน “ทำไมต้องล็อกไว้ด้วย? งั้นฉันจะกลับออกไปยังไงคะ?”
ภวินท์พูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างเรียบเฉย “เพื่อความปลอดภัย ถึงเวลาก็ต้องล็อกประตู ถือเป็นกฎเกณฑ์ของที่นี่ ถ้าอยากจะออกไป ก็ต้องรอให้บ่าวไพร่ที่เป็นคนถือกุญแจอยู่เป็นคนเปิดประตูให้ในตอนเช้านู่นเลยครับ”
“พรุ่งนี้เช้าเลยงั้นเหรอ?” ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย “ฉันต้องกลับบ้านนะ เปิดให้ก่อนไม่ได้หรือ?”
ภวินท์เข็นรถเข็นมาช่องทางเล็กๆ ทางด้านข้างตู้เย็นเครื่องเล็ก พลันหยิบเบียร์Budweiserออกมาหนึ่งขวด และเปิดให้ตนเอง และยกขึ้นมาดื่มอึกหนึ่งพลันพูดทันที “ได้นะ บ่าวรับใช้ที่เป็นคนถือกุญแจก็อยู่ห้องตรงสุดทางเดินนู่นเลย ถ้าอยากจะให้เปิดประตู ก็เดินไปเอาที่เขาสิ”
คิ้วญาธิดาขมวดไว้แน่น ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
เพราะเวลานี้บ่าวไพร่ก็ต้องนอนหลับแล้วแน่ๆ เธอเดินไปเคาะประตู เป็นการรบกวนปลุกเขาให้ตื่นจากความฝันมั้ยเนี่ย?
ตอนที่กำลังลังเลจนตัดสินใจไม่ได้ ภวินท์ที่อยู่ทางด้านข้างก็พูดขึ้นมาทันที “ดึกมากแล้วนะ นอนพักที่นี่สักคืนเถอะ ที่นี่มีทุกอย่างครบครัน สะดวกมาก”
เขาพูด แต่สายตาจ้องมองบริเวณขาญาธิดาที่ได้รับบาดเจ็บมา
ขาได้รับบาดเจ็บมา ถ้าขยับเขยื้อนอยู่ตลอดเวลา ต้องไม่หายดีแน่ ด้วยสภาพของเธอแล้วด้วย ตอนนี้จำเป็นต้องพักผ่อนให้มากที่สุด
เขาพูดจบ แต่ญาธิดาไม่ได้ตอบรับทันที เธอเลิกคิ้วขมวดเข้าหากัน เพราะรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ อยู่แต่ไม่สามารถนึกออกมาได้ว่ามันคืออะไร
ทันใดนั้น ในหัวสมองก็ผุดภาพหนึ่งขึ้นมา เหมือนว่าตอนที่เธอ พาเณรศีลไปพักยังห้องพักเมื่อครู่นี้ ภวินท์เคยพูดว่าให้เธอนอนค้างอยู่ที่นี่แหละ หรือว่า….
ทันใดนั้นในใจก็ฉายความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา เธอชำเลืองมองภวินท์อย่างระแวดระวัง ดวงตาถลึงตาโตใส่ “นี่คุณตั้งใจทำบ้าบออะไรใช่มั้ยเนี่ย!”
ภวินท์ดูแคลน พลันพูดอย่างไม่เป็นไปตามนั้น “ผมทำบ้าอะไรเหรอ? เพื่อที่จะให้คุณนอนอยู่ที่นี่เหรอ?”
ญาธิดาใช้มือทั้งสองข้างกอดอก พลางพูดตามสัญชาตญาณทันที “มีแต่ผีเท่านั้นที่รู้…ว่าคุณคิดจะทำอะไรกันแน่!”
รอยยิ้มที่อยู่ในดวงตาของภวินท์ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น พลันเข็นรถเข็นเขยิบเข้าใกล้ เมื่อเห็นท่วงท่าหญิงสาวเหมือนเจ้ากวางตัวน้อยที่ตกใจจนตัวลีบ เขาไม่เพียงไม่ยอมอธิบาย แต่กลับรู้สึกสนุกมากขึ้น
ราวกับช่วงเวลาผ่านไปพริบตาเดียว ก็กลับมาถึงเมื่อห้าปีก่อน เธอเป็นเด็กสาวที่น่ารัก ทั้งโง่เง่าทั้งน่ารักมาก
ญาธิดาถูกภวินท์จับจ้องจนขนลุก จนขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งตัว พลันพูดตะกุกตะกักทันที “คะ…คุณต้องมีกุญแจแน่ๆ รีบเอามาให้ฉันเร็วสิ!”
ภวินท์ค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้น พลางกวาดตามองขาที่ได้รับบาดเจ็บของเธอ และกล่าวอย่างแผ่วเบา “ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว คุณจะกลับยังไง?”
ญาธิดาสวนกลับอย่างไม่ไตร่ตรองแต่อย่างใด “แท็กซี่ไง!”
มุมปากภวินท์ยกขึ้นเล็กน้อย พลันกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ผู้หญิงวัยรุ่น นั่งรถกลับบ้านคนเดียวกลางดึก ขาก็เจ็บ ถ้าเกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้นมาจริงๆ มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมนะ”
เมื่อพูดออกไปหลายประโยค พูดจนญาธิดาหนาวสั่น จนตัวแข็งทื่อ
พูดก็ถูก ล่าสุดมักมีข่าวในโลกโซเชี่ยวอยู่บ่อยครั้งเรื่องที่ผู้หญิงนั่งรถรับจ้างแล้วโดนทำร้าย เห็นแล้วใจตุ้มๆ ต่อมๆ เธอกลับบ้านคนเดียว จึงรู้สึกวิตกกังวลเป็นไปตามธรรมชาติ
ภวินท์หลุดปากพูดย้ำอีกหนึ่งประโยค “ถ้าคุณอยากกลับไปจริงๆ ผมจะไปเอากุญแจมาให้”
ญาธิดาค้อนใส่เขาอย่างเย็นชา “ช่างเถอะ ฉันขอนอนอยู่ที่นี่สักคืนก็ได้”
พูดจบ เธอก็ย่างเท้า เดินขึ้นห้องนอนที่เธอเคยพักอยู่ตรงบริเวณชั้นสองทันที
พลันผลักประตูเดินเข้าไป พลันมีกลิ่นดอกไม้หอมจางๆ ตีเข้ามาต้อนรับทันที มีไฟหัวเตียงเปิดอยู่ ด้านบนยังมีถาดอาหารวางไว้ บนถาดมีโจ๊กร้อนๆ วางไว้หนึ่งถ้วย ทางด้านข้างยังมีห่อประคบเย็นอยู่หนึ่งอัน
หัวใจของญาธิดาบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ พลันจ้องมองของเหล่านี้ จนพูดไม่ออกทันที
หรือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการตั้งใจจัดเตรียมไว้ให้เธอใช่มั้ย?
โจ๊กข้าวหอมนิลโรยดอกหอมหมื่นลี้เป็นโจ๊กที่เธอโปรดปรานเป็นชีวิตจิตใจ ส่วนห่อประคบเย็นก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเธอ เดินมาทั้งวันแล้ว ขาก็บาดเจ็บมาอีก ข้อเท้าบวมเป่งเป็นลูกมะพร้าว ตอนนี้ ได้กินโจ๊กสักถ้วย ประคบข้อเท้าสักหน่อย จากนั้นก็นอนหลับให้สบายใจ ถือว่าสบายที่สุดแล้ว
ทันใดนั้น ในหัวสมองก็ฉายใบหน้าภวินท์ขึ้นมาทันที
คนที่สามารถทำเรื่องพรรค์ให้เธอ ภายในห้องนี้นั้น เกรงว่าจะมีแค่เขาคนเดียวแล้วแหละ