ดวงใจภวินท์ - บทที่ 583 ความหึงหวงล้นห้อง
ชวิศพูด พร้อมทั้งลุกขึ้นทันที เพื่อหยิบเสื้อคลุมที่พาดบนพนักเก้าอี้ทางด้านข้างขึ้นมา และก้าวเท้าสองสามเก้ามาหยุดข้างตัวเธอทันที พลันพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ผมไม่ได้ดื่มเหล้า สามารถขับรถไปส่งคุณได้ครับ”
โดยที่ไม่รอให้ญาธิดาได้ตอบรับ ชวิศพลันก้าวขายาวเหยียดเดินมุ่งหน้าไปยังประตูเรียบร้อยแล้ว เธอตะลึง จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ ตามเขาหลังเขาไป
รถออฟโรดทะยานมุ่งหน้าบนถนนอันกว้างขวาง ตลอดทาง ชวิศไม่ได้พูดอะไรสักประโยค ทำสีหน้าเคร่งเครียดตลอดทาง สติสัมปชัญญะทั้งหมดเอาแต่สนใจอยู่กับการขับรถ ญาธิดามีเรื่องอยู่ในใจ มีอาการเคร่งเครียดจนไม่ไหวแล้ว และก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
เมื่อเดินทางมาถึงโรงพยาบาลเอกชนK ญาธิดามุ่งหน้าไปยังฝ่ายประชาสัมพันธ์เพื่อสอบถามเรื่องหมายเลขห้องพัก จากนั้นเร่งรุดตาลีตาเหลือกมุ่งหน้าไปทางนั้นชวิศไม่วางใจ จึงเดินตามไปด้วย
ญาธิดาร้อนใจราวกับไฟสุมทรวง เหมือนจะวิ่งเหยาะตลอดทาง ตอนที่เดินตัดผ่านทางเดินห้องพักนั้น มีพยาบาลคนหนึ่งที่กำลังเข็นรถเข็นปลอดเชื้อมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว ฝีเท้าของเธอที่กำลังวิ่งอยู่ มันไม่สามารถหยุดลงในทันที
ทันใดนั้น หัวไหล่ตึงเล็กน้อย เพราะมีฝ่ามือใหญ่คู่หนึ่งที่ยื่นมาจากทางด้านหลัง และจับไหล่ของเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา เธอถึงไม่ชนกระแทกเข้าไปตรงๆ
หัวใจของญาธิดาเต้นโครมครามอย่างรวดเร็ว เมื่อทางนี้เพิ่งจะยืนทรงตัวมั่นคง พอหันหน้ากลับไปมองเห็นชวิศที่อยู่ทางด้านหลังของเธอคอยประคองเธออย่างมั่นคง ตอนที่เตรียมจะพูดขอบคุณ กลับได้ยินเขาพูดว่า “หยุดความรีบร้อนสักสองสามนาที อีกอย่างนะสภาพขาคุณตอนนี้มันวิ่งได้มั้ยล่ะครับ?”
ญาธิดาขมวดคิ้วนิ่วหน้า พลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดหนึบๆ ตรงบริเวณแผลที่ขา เวลานี้ เธอไม่ควรจะวิ่งจริงๆ แต่วันนี้เธอสวมใส่กระโปรงยาว จนปกปิดแผลอย่างมิดชิด แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าเธอได้รับบาดเจ็บมา?
ท่ามกลางสถานการณ์อันเร่งด่วน จึงไม่อยากซักไซ้เรื่องเหล่านี้ ญาธิดาสูดหายใจลึก เพื่อตั้งสติให้มั่นคง จากนั้นก็มุ่งหน้าเดินไปทางด้านหน้า ครั้งนี้แม้ว่าเธอจะเดินเร็วมาก แต่ก็ไม่ได้วิ่งอีกเลย
ตามข้อมูลที่ฝ่ายเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ได้แจ้งมา ญาธิดาตามหาหมายเลขห้องตลอดทาง ในที่สุดก็เจอประตูหมายเลขห้องที่สอดคล้องกัน เธอดาหน้าวิ่งเข้าไปทันที อย่างไม่คิดชีวิต
เมื่อมาถึงประตู เธอยกมือผลักบานประตูอย่างไม่ลังเล และผลักประตูเข้าไป
“แอ๊ด” เสียงประตูดัง เธอผลักประตู ทุกคนที่อยู่ในห้องหันมามองเธอพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
ภวินท์ หลุยส์และพี่เข้มพวกเขานั่งอยู่บนโซฟาที่อยู่ด้านข้างในห้องรับแขกเล็ก จ้องมองเธอด้วยสีหน้าตะลึงเล็กน้อย
ญาธิดาชะงักบ้าง แต่มีปฏิกิริยาตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันเอ่ยปากสอบถาม “เณรศีลล่ะคะ? เขาอยู่ที่ไหน?”
หลุยส์เชิดปลายคางมาทิศทางด้านข้าง พลันตอบเสียงเบา “ตรงนั้นแหละ เขาไม่ยอมเจอหน้าคน”
ญาธิดาหันหน้าไปมอง จึงมองเห็นทางเดินเล็กๆ อยู่ทางนั้น และเป็นห้องอีกห้องที่มีลักษณะเหมือนกัน
อุปกรณ์ทุกอย่างในโรงพยาบาลเอกชนดีว่าโรงพยาบาลรัฐอยู่บ้าง ขนาดห้องพักก็ยังเป็นห้องชุด เมื่อผลักประตูเข้ามาก็เป็นห้องรับแขก แถมต้องเดินตามทางเดินถึงจะมาถึงห้องพักผู้ป่วยจริงๆ
ญาธิดาขยับปาก ตอนแรกก็อยากจะสอบถามถึงสถานการณ์ให้มากขึ้น แต่กลับค้นพบสีหน้าเคร่งขรึมของภวินท์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น แถมสายตาคอยจับจ้องมาทางด้านหลังของเธออยู่ตลอด
เธอจับสัมผัสอะไรบางอย่างได้ พลันหันหน้าไปมอง ตอนเห็นรูปร่างสูงใหญ่คอยยืนอยู่ทางด้านหลังของเธอ ชวิศที่ใส่ชุดเครื่องแบบทหาร พลันตะลึงเล็กน้อย
เขาเข้ามาได้อย่างไรเนี่ย?
ช่วงนั้น บรรยากาศภายในห้องรับแขกเล็กเริ่มแปลกเล็กน้อย ภวินท์และหลุยส์ใช้สายตาประเมินชวิศพร้อมๆ กัน และไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย
จังหวะนี้เอง จู่ๆ พี่เข้มก็ลุกขึ้น พลันถามอย่างแปลกใจเล็กน้อย “ชวิศ นายมาได้ยังไง?”
ชวิศสีหน้าตามเดิน พลันตอบอย่างเรียบเฉย “มาด้วยกันกับเธอ ได้ข่าวว่าเธอมีเรื่องทางนี้ เลยมาส่งเธอ”
แม้จะเป็นคำพูดที่แสนปกติธรรมดามาก แต่เมื่อเข้าหูภวินท์แล้ว กลับแปรเปลี่ยนเป็นมีความหมายพิเศษอย่างอื่นแทน
ภวินท์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นหรี่ตาเล็กน้อย เพื่อประเมินชวิศ ราวกับสามารถมั่นใจได้อย่างรวดเร็วมาก ผู้ชายคนนี้ เป็นผู้ชายที่เขาเห็นว่าอยู่บนรถกับญาธิดาเมื่อครั้งที่แล้ว
เขาเบนสายตาออก เพื่อกวาดตามาทางญาธิดา จนเกิดความรู้สึกไม่พอใจกดทับลงมาในหัวใจ พลางใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อยตอนกล่าวออกมา “หมอบอกว่าสภาพของเขาในเวลานี้ทำอะไรไม่ได้มาก เขาแค่ยอมเจอหน้าคนที่เขาเชื่อใจเท่านั้น คุณลองเข้าไปดูสิ”
ญาธิดาจะมีกะจิตกะใจอะไรไปคำนึงถึงสายตาที่แลกเปลี่ยนกระแสน้ำความรู้สึกระหว่างพวกผู้ชายเหล่านี้ หัวใจทั้งดวงของเธอบินลอยละล่องไปอยู่ตรงเณรศีลทางนั้นตั้งนานแล้ว จนผูกดึงไว้ไม่อยู่แล้ว
“ฉันขอลองดูนะ”
เธอพูด พร้อมทั้งยกเท้าก้าวย่างไปทางห้องทางนั้น เพิ่งจะก้าวออกไม่กี่ก้าว จู่ๆ เธอก็ฉุกคิดอะไรได้ พลันย่างเท้าให้เบาลงทันควัน และสูดลมหายใจเข้าอย่างช้าๆ จากนั้นจึงเดินมุ่งหน้าไปทางนั้นอย่างแผ่วเบา
หลังจากมีเสียงประตูดัง “แอ๊ด” ห้องรับแขกเล็กทางนี้ก็สงบลงเยอะ
พี่เข้มชำเลืองมองชวิศ พลันเอ่ยปากถาม “เราไปหาที่นั่งคุยกันมั้ย?”
ชวิศชะงักเล็กน้อย พลันเอ่ยปาก “รออยู่ที่นี่แหละ”
รออยู่ที่นี่ นั่นก็แสดงอย่างชัดเจน เขากำลังรอญาธิดาอยู่
แม้ว่าคำพูดจะไม่แน่ชัด แต่ทว่าก็สามารถทำให้คนอื่นฟังแล้วเข้าใจความหมายดี
ภวินท์หันหน้าไป สายตาสับสนเพิ่มมากขึ้น จึงชำเลืองมองเขา แต่กลับไม่ได้ว่าอะไร
หลุยส์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคอยมองชวิศ และหันมาหาเขา ยิ้มอย่างสะใจอย่างสื่อความหมายเป็นนัย
เขาเลิกคิ้วขึ้น สุดท้ายก็ไม่สามารถระงับใจที่อยากหาเรื่องเพื่อดูเรื่องสนุกเอาไว้ได้ เขาจึงกดหน้าจอโทรศัพท์ และส่งข้อความหาภวินท์ “ทำไมฉันได้กลิ่นอาการขี้หึงในห้องนี้วะ? แกได้กลิ่นป่ะ?”
เป็นเรื่องปกติของหลุยส์ที่ชอบดูเรื่องสนุกของชาวบ้าน แต่เป็นคนไม่จริงจัง ภวินท์กวาดตามองหน้าจอแวบหนึ่งพลันใช้สายตาเย็นชาเหล่มองเขา จากนั้นจึงเบนสายตาหนี
ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องเล็กนั่น ญาธิดาผลักบานประตูเข้าไปด้านใน จึงมองเห็นเงาร่างกายเล็กๆ กำลังขดตัวอยู่บนเตียง เอาผ้าห่มมาคลุมตัว จนเห็นรูปร่างตรงรอยพับ
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งก้าวฝีเท้าเดินไปทางข้างเตียง พลันกระซิบพูด “เณรศีลฉันเองนะ”
ร่างกายเล็กๆ ที่อยู่ใต้ผ้าห่มเริ่มขยุกขยิกเล็กน้อย แต่กลับไร้ปฏิกิริยาตอบสนองมากนัก
ญาธิดาพูดต่อ “ฉันรู้ว่าช่วงนี้หนูต้องผ่านเรื่องต่างๆ มามากมาย ฉันเข้าใจนะ หนูไม่เชื่อมั่นคนอื่น แต่ฉันรับประกันกับหนูได้เลย ฉันอยากจะช่วยหนูจากใจจริง เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ฉันเจอกับพระอาจารย์ธีระ….
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ในที่สุดเณรศีลก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา ศีรษะของเขาโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม และจ้องมองญาธิดาอย่างไร้การเคลื่อนไหว ดวงตายังคงจ้องเธอโดยมีการป้องกันดังเดิม และไม่พูดอะไรกับเธอ
ญาธิดาคลี่ยิ้มมุมปากให้เขา จากนั้นก็พูดเล่าเรื่องภาพตอนที่ตอนเองไปเจอกับธีระในเวลานี้อย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นก็พูดต่อ “ไม่ว่าพระอาจารย์ธีระจะเอามีดมาจ่อคอฉัน ฉันก็ไม่กลัว เรื่องเหล่านั้นที่ฉันไม่ได้เป็นคนทำ ฉันก็ไม่ยอมรับ ดังนั้น ก่อนที่เรื่องจะถูกเปิดเผยความจริงออกมา ฉันจะต้องรับประกันความปลอดภัยของหนูเอง หนูก็ต้องรอจนวินาทีที่สืบเสาะจนได้รู้ความจริงนะ”
เณรศีลทำเหมือนจะเข้าใจ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พลางแนบพิงหัวเตียงและคอยจ้องมองเธอ แต่กลับไม่พูดอะไรออกมาสักประโยค
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และกล่าวพูดอย่างเหนื่อยล้า “ถ้าฉันมีเจตนาคิดไม่ดีกับหนู ตอนนี้ก็คงไม่พูดอะไรกับหนูตั้งเยอะแยะขนาดนี้หรอก”
เณรศีลยังคงไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
ญาธิดาถอนหายใจออกมา เริ่มเหนื่อยใจ เมื่อครู่เธอพูดไปเยอะมาก ส่วนเณรศีลฟังรู้เรื่องกี่ประโยคเหรอ? อีกอย่างอาศัยแค่เธอตบมืออยู่ข้างเดียวพูดไม่กี่ประโยคและให้เณรศีลยอมปลดระวางการป้องกันทั้งหมด เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยเป็นค่อยสมจริงสักเท่าไหร่
“หนูพักผ่อนเถอะนะ ถ้าอยากจะเจอฉัน ก็บอกกับคนทางนี้ได้ตลอดเวลา”
พูดจบ ญาธิดาก็ถอนหายใจ จากนั้นก็ก้าวฝีเท้าเดินออกมาอย่างเบาเสียง
เพิ่งจะเดินมาถึงห้องรับแขก เวลานี้ ผู้ชายที่อยู่ในห้องทั้งหมดต่างมองมาทางเธอ