ดวงใจภวินท์ - บทที่ 585 เขาเป็นใบ้เหรอ
บทที่ 585 เขาเป็นใบ้เหรอ?
ถัดจากนั้นอีกหลายวัน ดร.ยติภัทรกับปภาวีก็เตรียมตัวเดินทางไปทัวร์ยุโรป ญาธิดาอยู่บ้านคนเดียว และอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับอีธานและเอลล่า จนเกิดความรู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่ทุกวัน
เธอทั้งคอยเป็นห่วงเณรศีลที่อยู่ที่โรงพยาบาล อีกทั้งเพราะว่าคำพูดของภวินท์ในวันนั้นที่ทำให้โมโห ท่ามกลางข้อขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา จึงไม่รู้ว่าควรจะไปโรงพยาบาลดีหรือไม่
กระทั่งวันที่สาม ในที่สุดเธอก็เก็บอาการไว้ไม่อยู่ จึงพาฝาแฝดออกจากบ้านไปด้วย ตอนแรกก็คิดว่าจะพาไปเที่ยวให้สนุก คาดไม่ถึงว่าเมื่อขับรถออกมาแล้ว ก็ขับวนมายังบริเวณแถวๆ โรงพยาบาลเอกชนKอย่างไม่รู้ตัว
“คุณแม่ ที่นี่ไม่น่าสนุกเลยนะครับ” อีธานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เบาะหลังเตะขาและพูดออกมา จากนั้นก็ทำแก้มป่องด้วยความโกรธเคือง “ไหนบอกว่าจะพาพวกเราไปดูหนังไม่ใช่เหรอครับ!”
โดยที่ไม่รอให้ญาธิดาเอ่ยปากพูด เอลล่าที่อยู่ด้านข้างก็สมทบทันที “ยังไม่ถึงนี่!”
เนื่องจากเมื่อสองวันก่อนเด็กน้อยทั้งสองคนทะเลาะกัน วันนี้จึงแสดงพฤติกรรมโกรธเคืองใส่กัน ใครก็ไม่ไว้หน้าใคร ความหมายในคำพูดก็ยังแสดงความหมายแขวะกลับมา โดยไม่สนใจอีกฝ่าย
อีธานโกรธจนเชิดปลายคางขึ้น พลันพูดเสียงเด็กน้อย “เอลล่า น้องไม่รู้เหรอ? ตอนที่ผู้ใหญ่คุยกัน เด็กห้ามพูดแทรก!”
เอลล่าส่งเสียงดูแคลนในลำคอ “นายก็แก่กว่าฉันแค่หนึ่งนาทีเอง แสร้งทำทีเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กทำไม?”
……
เมื่อได้ยินเด็กสองคนเถียงต่อปากต่อคำกันไปมาอยู่เบาะหลัง ญาธิดาทั้งโมโหทั้งหัวเราะ เธอจึงพูดแทรกทันที “พอแล้วพอแล้ว! อย่าทะเลาะกันแล้ว เอางี้มั้ยคะ แม่จะพาพวกหนูไปรู้จักกับเพื่อนใหม่ พวกหนูคิดว่ายังไงคะ?”
เด็กน้อยทั้งสองคนโดนเรียกความสนใจไปอย่างฉับพลัน พลันเอ่ยถามอย่างแปลกใจพร้อมกัน “เพื่อนใหม่ที่ไหนคะ/ครับ?”
“เพื่อนใหม่คนนี้พิเศษหน่อยนะ ระยะนี้เกิดเรื่องไม่ดีกับเขาเยอะมาก เขาเสียใจมาก นานวันก็ไม่ค่อยพูดคุยแล้ว ดังนั้นพวกเราเลยมาเยี่ยมเขา เพื่อทำให้เขาสบายใจ พวกหนูรู้สึกว่ายังไงบ้างคะ?”
“ดีครับ! ผมจะเอาสมุดวาดเขียนดาราศาสตร์ให้เขาดู!”
“หนูจะคุยเรื่องตลกให้เขาฟัง!”
“เราจะพาเขาไปเตะบอลกัน!”
“……”
ทั้งสองคนพูดสลับกันไปมา พูดคุยกันอย่างครื้นเครง พูดไปด้วยหัวเราะไปด้วย ทำเหมือนเด็กน้อยสองคนที่ไม่ถูกชะตากันเมื่อครู่นี้หายวับไปกลับตาแล้ว
ญาธิดามองกระจกหลัง เมื่อเห็นภาพที่อยู่ทางด้านหลัง พลันยกมุมปากยิ้มอย่างอดใจไม่อยู่
เธอพาฝาแฝดไปรู้จักเณรศีล ไม่แน่การพูดคุยกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ฝาแฝดมีนิสัยร่าเริงเป็นปกติอยู่แล้ว ไปอยู่กับใครก็สามารถเล่นด้วยกันได้ ไม่แน่ เล่นไปเล่นมา ก็สามารถเปิดหัวใจของเณรศีลได้
พริบตา พวกเขาก็เดินทางมาถึงที่หมาย ญาธิดาหาที่จอดรถ พลันพาฝาแฝดไปซื้อขนมและผลไม้เล็กน้อยที่อยู่ในแถวๆ นั้น จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังห้องพักผู้ป่วยทันที
ยังเดินไปถึงประตู เธอก็มองเห็นลูกน้องที่คอยเฝ้าประตูอยู่ ซึ่งเป็นคนของพี่เข้มเมื่อก่อนเธอเคยเจอแล้ว จึงพอจำได้บ้าง
เธอเดินไปทางด้านหน้า และยิ้มให้เขา พลันเอ่ยถาม “เณรศีลอยู่ด้านในมั้ยคะ?”
ลูกน้องพยักหน้า “อยู่ครับ”
ญาธิดาลังเลเล็กน้อย พลันเอ่ยถาม “อาการสองสามวันนี้เป็นยังไงบ้างคะ?”
“เหมือนเดิมครับ ไม่ยอมเจอใคร ทางคุณหมอเหมือนจะไร้วิธี พี่เข้มให้ผมเฝ้าอยู่ตรงนี้ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้เขาครับ”
ญาธิดายิ้มให้เขา “ต้องรบกวนคุณด้วยนะคะ”
หลังจากพาฝาแฝดเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยแล้ว เด็กน้อยทั้งสองคนก็เหมือนเข้าไปสู่โลกใบใหม่ พลันถลึงตาจ้องมองบริเวณโดยรอบอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร จึงดึงเสื้อของญาธิดา พลันก้มหน้าถาม “คุณแม่คะ เพื่อนใหม่อยู่ไหนคะ?”
ญาธิดายิ้มให้ จึงพาพวกเขาเดินตัดทางเดินทางด้านข้าง เพื่อเดินมายังประตูอีกห้องแทน เธอชูมือขึ้นเคาะบานประตู ตั้งใจทำเสียงดัง “เณรศีลฉันเองนะ วันนี้ฉันพาเพื่อนตัวน้อยมาอีกสองคน หนูอยากจะเจอมั้ยคะ?”
ภายในห้องส่งเสียงขลุกขลักดังขึ้น แต่ไร้เสียงคนตอบรับ
ญาธิดารออยู่สักพัก ก็ยังไม่ได้ยินเสียง เธอจึงลังเลอยู่ชั่วครู่ พลันกระซิบพูด “งั้นเราเข้าไปแล้วนะ”
ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับเช่นเดิม เธอผลักประตูเข้าไปอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆ จูงฝาแฝดให้เดินเข้าไปช้าๆ เมื่อเห็นห้องมืดสลัว มีรอยนูนอยู่ใต้ผ้าห่มที่อยู่บนเตียงอย่างชัดเจน
ดูเหมือนว่า เขาจัดการซ่อนตัวเองเรียบร้อยแล้ว
เด็กน้อยทั้งสองคนไม่เคยพบเจอสถานการณ์เป็นแบบนี้มาก่อน พวกเขาจ้องมองคนที่อยู่บนเตียงอย่างตกตะลึงจนงงงวย ลังเลจนไม่กล้าพูดออกมา
ญาธิดาก้มหน้ามองพวกเขา “อีธาน เอลล่า พวกหนูบอกว่ามีของขวัญจะให้เณรศีลไม่ใช่เหรอคะ?”
เมื่อได้รับคำเตือนจากเธอเช่นนั้น อีธานกับเอลล่า ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ทั้งสองคนต่างมองหน้ากันไปมา ด้วยกันทั้งคู่ จากนั้นถึงได้เรียกความกล้าหาญเดินไปข้างเตียง และพูดคุยกับร่างกายที่นอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม “ฉะ…ฉันชื่ออีธาน นี่เป็นสมุดวาดรูปดาราศาสตร์ที่ฉันเตรียมมาให้นาย สวยมาก…”
“ฉันชื่อเอลล่า…”
เมื่อเห็นว่าพวกเขาสองคนต่างแนะนำตัวอย่างหวาดหวั่น ญาธิดาอดหัวเราะไม่ได้
อย่างแรกคืออีธานกับเอลล่าทำเหมือนเด็กที่อยู่บนเตียงเป็นสัตว์ประหลาด ความจริงแล้วเธอชัดเจนมาก เณรศีลเป็นคนจิตใจเมตตามาก และไม่ทำเรื่องที่ทำร้ายคนอื่นแน่
ไม่นานนัก ความหวาดกลัวของเด็กน้อยทั้งสองคนก็ลดน้อยลงไปเยอะ พวกเขาพูดคุยกันไปมา เหมือนว่าพูดเป็นเสียงเดียวกัน จนทำให้บรรยากาศภายในห้องกลับมาครึกครื้นขึ้น
ในที่สุด บนเตียงเริ่มขยับเขยื้อนแล้ว ศีรษะเล็กๆ ค่อยโผล่ออกมาจากผ้าห่ม พลันถลึงตามองอีธานกับเอลล่าด้วยความแปลกใจ
เมื่ออีธานเห็นเณรศีลปุ๊บ ก็มองเขาอยากแปลกใจ พลันถามทันที “นายอายุเท่าไหร่แล้ว?”
เณรศีลเงียบสนิทไม่ยอมพูด
เอลล่าที่อยู่ด้านข้างก็เขยิบมาหาด้วย พลันจ้องตาเขาและพูดกับเขา “เธอชื่ออะไรเหรอ?”
เณรศีลก็ยังคงไม่ยอมพูดเหมือนเดิม
อีธานกับเอลล่าสบตากันอย่างลังเล จากนั้นก็หันหน้าไปมองเณรศีล และถามต่อ
การถามยาวเป็นพรวด เณรศีลก็ยังไม่ตอบคำถามเหมือนเดิม เขาไร้ปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เอาแต่จ้องมองพวกเขาสองคน
ทันใดนั้นอีธานก็นึกขึ้นได้ “อ้อฉันรู้แล้ว! เขาน่าจะพูดไม่ได้!”
เอลล่าเกาศีรษะ และถามอย่างสงสัย “พูดไม่ได้ ก็เป็นใบ้นะเหรอ?”
อีธานพยักหน้าเล็กน้อย “น่าจะมั้ง!”
จังหวะนี้เอง เณรศีลที่นั่งอยู่บนเตียงสีหน้าย่ำแย่มาก เขาย่นคิ้วหากัน จู่ๆ ก็พูดออกมาทันที “ฉันพูดได้ ไม่ได้เป็นใบ้!”
อีธานกับเอลล่าเด็กน้อยสองคนที่ขี้สงสัย ถามต่อสลับกันคนละประโยคทันที “แล้วทำไมเธอไม่ยอมพูดล่ะ?”
“ใช่! เมื่อกี้เราแนะนำตัวเองแล้ว ตอนนี้ตานายแล้วแหละ!”
เณรศีลขยับปาก “ฉันไม่อยากพูด…”
ไม่นานนัก พวกเขาก็พูดคุยสื่อสารกันไปมาสลับกัน
ญาธิดายืนอยู่ทางด้านข้าง เมื่อเห็นภาพนี้แล้ว จึงยกมุมปากขึ้นอย่างอดใจไม่ได้
ความจริงแล้ววันนี้ก่อนที่เธอจะพาฝาแฝดก็คิดได้แล้ว บางทีสำหรับเณรศีลแล้ว การพูดคุยสื่อสารกับผู้ใหญ่มันมีอุปสรรคขวางกั้น แต่ระหว่างเด็กด้วยกันมันไม่เหมือนกัน
คิดไม่ถึงเลยว่า นี่มันจะเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมาจริงๆ
เมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสามคนพูดคุยโขมงโฉงเฉงกันอย่างครื้นเครง ญาธิดายกมุมปาก พลันถอยออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ
ตอนที่เธอค่อยๆ งับประตูนั้น เมื่อหันตัวกลับมา จู่ๆ ก็ค้นพบมีคนนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกเล็ก เป็นผู้ชายคนหนึ่ง