ดวงใจภวินท์ - บทที่ 621 น้ำหกไปแล้วอยากจะเก็บกลับคืน
ก่อนหน้านี้ที่เขาเตือนเธอ แค่เพราะภวินท์กังวลจากก้นบึ้งในหัวใจของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าคำทำนายจะกลายเป็นจริงรวดเร็วขนาดนี้ รวดเร็วราวกับแสงตรงกับคำทำนาย
ญาธิดาสายตาเย็นชามาก มองไปยังภวินท์ ขยับริมฝีปาก ลำคอเกร็งแข็ง และสุดท้ายก็ถามว่า “นายรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น นายเป็นหัวโจกหรือมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ใช่ไหม”
เธอพูดเสียงเบามาก ทันทีที่ที่สิ้นเสียง โดยรอบเงียบลงฉับพลัน แม้แต่อัญมณีที่อยู่ข้างๆ ก็มองภวินท์ด้วยความประหลาดใจ
หรือว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับภวินท์
ภวินท์พูดนิ่งๆ น้ำเสียงเฉยเมย “ถ้าเป็นฉัน ทำไมฉันต้องปรากฏตัวเวลานี้เพื่อหาเรื่องใส่ตัวด้วยล่ะ”
ทันทีที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ทันใดนั้นทุกคนก็ต่างได้สติ ภวินท์ไม่มีความจำเป็นจริงๆ ถ้าการแต่งงานพังและเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีก การถูกจับผิดมันไม่เป็นการดีสำหรับเขาเลย
แต่ญาธิดายังคงจับจ้องเขาอย่างระแวง “แล้วนายมาทำอะไร”
“มีใจเอื้อเฟื้อยินดีช่วยเหลือผู้อื่น” ภวินท์เลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ไม่อยากรู้เหรอว่าใครกันแน่ที่ทำชั่วอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา “ทำไมฉันต้องเชื่อนายด้วย”
ภวินท์วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียให้เธอฟังอย่างมีเหตุผล “เธอไม่เชื่อก็ได้ แต่เชื่อฉันเถอะ ลองตรวจสอบดู มันก็ไม่ได้เลวร้ายกับเธอเลย เพราะทันทีที่เกิดเหตุการณ์นี้ คำวิจารณ์จากโลกภายนอกก็ไม่เป็นผลดีต่อเธออย่างมากเช่นกัน”
ญาธิดาเม้มริมฝีปากแน่น จ้องมองตรงไปยังเขา เงียบกริบพูดไม่ออก
เธอรู้ดีว่าเมื่อเหตุการณ์วันนี้แพร่กระจายไป ชื่อเสียงของเธอจะพังเพราะทุกคนต่างกระหายเรื่องคาวๆ ไม่มีใครสนใจความจริงทั้งนั้น
ที่แย่กว่านั้นคือ เธอไม่เพียงแต่ชื่อเสียงพัง ยังทำให้ตระกูลกรเวชรวมถึงดร.ยติภัทรและคุณปภาวีอับอายไปพร้อมกับเธอด้วย
สืบจนรู้ว่าใครเป็นคนทำไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะภาพที่ปล่อยออกมานั้นเป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอม ไม่ใช่การตัดต่อ
เห็นว่านานแล้วเธอก็ไม่พูด อัญมณีที่อยู่ข้างๆ ทนไม่ไหว เธอรีบเอื้อมมือออกไปเขย่าแขนญาธิดา แล้วพูดด้วยเสียงเบา “ธิดาเธอพูดอะไรหน่อยสิ ฉันรู้สึกว่าเราควรตรวจสอบดูนะ”
ขณะนั้นมีสองคนมาจากด้านหลัง ธีทัตเดินนำหน้ามาตามด้วยลูกน้อง ทั้งคู่สีหน้าเย็นชา สายตาธีทัตมองตรงมาทางพวกเขา ฝีเท้าค่อยๆ ช้าลง และยืนมองพวกเขาจากระยะไกล
ญาธิดาสบตาเขา หัวใจบีบรัด ความรู้สึกผิดจากก้นบึ้งตีรวนขึ้นฉับพลัน เธอสูดหายใจเข้าลึก ถอนสายตาแล้วหันมามองภวินท์ พร้อมกับพูดอย่างเฉยเมย “ไม่จำเป็น เรื่องนี้ฉันจะไม่ตรวจสอบ”
ต่อให้สืบได้ คำวิจารณ์ที่ไม่ดีไปแล้วก็เหมือนน้ำที่มันหก ยากจะเก็บกลับคืน
เมื่อได้ยินภวินท์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางจ้องเธอโดยไม่ขยับ ราวกับต้องการมองเธอให้ทะลุ แต่ญาธิดากลับละสายตาไปจากเขา แล้วหันไปมองอีกด้านหนึ่ง
อัญมณีที่อยู่ข้างๆ ก็แปลกใจเช่นกัน รีบถามว่า “ธิดา ทำไมล่ะ ทำไมไม่ลองตรวจสอบดู”
ญาธิดายกยิ้มมุมปากขมขื่น “สืบได้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ต่อให้ฉันจะชี้แจงว่าคนในรูปกับฉันเป็นแค่เพื่อนกัน เธอเชื่อ เขาเชื่อ แล้วคนอื่นเชื่อไหม ทุกคนกระตือรือร้นจะเสวนากันในเรื่องผิดๆ จินตนาการเกินจริงกลับดำเป็นขาว มีชีวิตอยู่กับความบันเทิงไม่ใช่เหรอ”
คำพูดของเธอทำให้อัญมณีพูดไม่ออกไปทันใด
แน่นอนว่าภวินท์ก็ย่อมได้ยิน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าขุ่นมัว นิ่งไปสองวินาทีก่อนจะสั่งพยัคฆ์อย่างเย็นชา “ไป”
พยัคฆ์ค่อนข้างลังเล มองญาธิดาแล้วก็มองเขา “คุณภวินท์…”
ภวินท์สีหน้าบึ้งตึง น้ำเสียงหนักแน่น “กลับ”
พยัคฆ์ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลืนคำพูดที่มาจ่อริมฝีปากกลับไป แล้วเข็นภวินท์ออกไป
เมื่อได้ยินเสียงพวกเขาห่างออกไปไกลเรื่อยๆ ร่างกายที่ตึงเครียดของญาธิดาผ่อนคลายลง เธอสูดหายใจเข้าลึก เมื่อหันหน้าไปอีกที พบว่าธีทัตนำลูกน้องเดินเข้ามาแล้ว
เขามองญาธิดา ไม่ได้ถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับภวินท์เมื่อครู่ แต่พูดด้วยเสียงบางเบา “พายุไปส่งคุณพ่อคุณแม่กับลูกแฝดกลับแกรนด์ บูเลอวาร์ดแล้ว คุณพ่อคุณแม่ของผมออกไปก่อนแล้ว…”
เมื่อได้ยิน ญาธิดาก็จมอยู่กับความเงียบ
ตอนนี้ เธอยังจำสีหน้าคุณพ่อคุณแม่ของธีทัตตอนนั้นได้ชัดเจน พวกเขาสีหน้าซีดเผือดและพยายามเก็บอารมณ์ เกรงว่าพวกเขาคงยอมทนเธอจนถึงขีดสุดแล้ว หากไม่ใช่เพราะเธอแต่งงานกับธีทัตมาหลายปีแล้ว บวกกับเป็นเพื่อนสนิทของอัญมณี เกรงว่าพวกเขาคงตามไล่บี้เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ญาธิดากุมมือตัวเองแน่น และถามอย่างลังเล “พวกท่านพูดอะไรบ้าง”
เหตุการณ์นี้เทียบเท่ากับทำเรื่องเสื่อมเสียให้ทั้งสองบ้าน ต่อให้พ่อแม่ธีทัตจะเกินทนสักแค่ไหน ก็จะไม่พูดออกมาแม้ครึ่งคำ
ธีทัตลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา “ไม่ได้พูดอะไร หมายความว่าเรื่องของเราสองคนเราควรแก้ไขกันเอง ผมคิดดีแล้ว รอผ่านช่วงเวลานี้ไป เราไปทานข้าวด้วยกัน แล้วค่อยพูดกับพวกคุณพ่อคุณแม่ให้ชัดเจน”
ญาธิดาได้ยินคำพูดนี้แล้วหัวใจเต้นแรง และตอบตกลง “โอเค”
ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าธีทัตรับแรงกดดันทั้งหมดเอาไว้คนเดียว
นอกจากบันทึกหนี้ที่มีต่อเขาไว้ในใจ ตอนนี้เวลานี้เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก
ญาธิดาสูดจมูก ยังไม่ทันได้บอกขอบคุณ พลันได้ยินธีทัตพูดว่า “เอาล่ะ ดึกแล้ว เรากลับกันก่อนเถอะ”
เธอลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเบา “ได้”
รอกลับไปแล้วค่อยบอกเขาให้ชัดเจนก็ได้
ในขณะเดียวกัน หน้าประตูสถานที่จัดงานแต่งงาน รถสีดำขับออกมาจากทางออกของลานจอดรถใต้ดินช้าๆ ภวินท์นั่งอยู่บนรถ คำพูดของญาธิดาเมื่อครู่กำลังสะท้อนก้องในโสตประสาท
ตอนแรกเขาเพียงต้องการช่วยเธอค้นหาว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้หลังจากฟังเธอพูดอย่างนั้นแล้ว เขารู้สึกว่าการทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถล้างมลทินให้เธอได้
คิดไปคิดมา สมองเขาสับสนอลหม่าน เขายกมือดึงเนกไทตรงช่วงคออย่างหงุดหงิด และหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทันใดนั้น มีรถคันหนึ่งที่คุ้นเคยเข้ามาในสายตา เขาตั้งสติแล้วพูดกับพยัคฆ์ซึ่งกำลังขับรถอยู่ด้านหน้า “ช้าลงหน่อย”
พยัคฆ์ทำตามทันที
ภวินท์จ้องออกไปนอกหน้าต่างยังรถที่จอดนิ่งอยู่ข้างถนนไม่ไกล ในที่สุดก็เห็นเลขทะเบียนรถ
มันเข้ากับชุดเลขทะเบียนรถที่อยู่ในใจ อย่างที่คาดไว้ มันเป็นรถของเธอจริงๆ
วินาทีถัดมา เขานึกอะไรขึ้นได้ ขมวดคิ้วฉับพลัน พร้อมกับสั่งพยัคฆ์ “เห็นรถสีขาวที่จอดอยู่ข้างถนนทางขวาไหม ไปทางนั้น”
พยัคฆ์พยักหน้า เข้าไปใกล้ทางนั้นโดยไม่พูดอะไร
“ต้องการจอดรถไหมครับคุณภวินท์”
ภวินท์จ้องรถคนนั้นอย่างตั้งใจ และพูดเน้นคำต่อคำ “ไปจอดข้างหน้ารถคันนั้น”
“ครับ” พยัคฆ์รับคำและทำตามทันที แต่ไม่นานเขาก็พบบางอย่าง รีบพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่ารถสีขาวคันนั้นกำลังจะไปครับ”
ภวินท์เลื่อนสายตาขึ้นมองไปทางนั้นทันที เป็นอย่างที่ว่าไว้ รถสีขาวเริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ และกำลังจะไป
เขาแทบจะเดาได้ว่าเจ้าของรถคิดจะทำอะไร จึงพูดในทันทีว่า “พยัคฆ์ ไปขวางทางเธอไว้”
พยัคฆ์เงยหน้าขึ้นมองภวินท์ผ่านกระจกมองหลังอย่างลังเล และถามอย่างระวังว่า “คุณภวินท์ครับ จะทำแบบนี้จริงเหรอครับ”
ภวินท์พยักหน้าโดยไม่ลังเล “ใช่”
เพราะคนในรถ อาจจะเป็นหัวโจกของเรื่องวุ่นวายในวันนี้ก็ได้