ดวงใจภวินท์ - บทที่ 625 ไปส่งพ่อแม่
บทที่ 625 ไปส่งพ่อแม่
เกล้าแก้วเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูอย่างรวดเร็ว ยืนพิงหลังประตู ฟังการเคลื่อนไหวภายนอกอย่างระมัดระวัง กลั้นหายใจอยู่นาน เมื่อไม่ได้ยินเสียง เธอถึงได้ถอนหายใจโล่งอก แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในห้อง
คำพูดเมื่อครู่เพื่อทำให้ป้าตกใจ ตราบใดที่ป้าไม่บอกภูผาเรื่องอาการไม่สบายของเธอ แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย ไม่เช่นนั้น ด้วยนิสัยขี้ระแวงมากของภูผา แน่นอนว่าต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ส่งเธอไปตรวจร่างกายเต็มรูปแบบที่โรงพยาบาล ถึงตอนนั้นคงไม่สามารถปิดบังสถานการณ์ของเธอได้อีก
เธอเดาได้ว่าเพื่อผูกมัดเธอไว้ให้อยู่ข้างกาย ภูผาต้องเก็บเด็กไว้ แต่เธอตัดสินใจที่จะไม่เอาไว้ ดังนั้นเธอจึงต้องเก็บความลับนี้ แล้วทำแท้งลูกที่มาในเวลาไม่เหมาะสมโดยที่แม้แต่ผีสางเทวดาก็ไม่รู้
เมื่อตัดสินใจแล้ว เกล้าแก้วนั่งบนเก้าอี้ มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างว่างเปล่า สีหน้าเศร้าโศก เธอยกมือไปแตะท้องเบาๆ มันยังแบนราบเรียบไม่มีวี่แววใดๆ
เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าจากครั้งสุดท้ายที่เธอมีความสัมพันธ์กับภูผาจนถึงตอนนี้ก็เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ตอนนี้ตัวอ่อนยังเล็กมาก บางทีอาจยังไม่มีการฝังตัว แต่เธอกลับรู้สึกแปลกๆ
การมีชีวิตน้อยๆ ถือกำเนิดในร่างกายเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก
เธอคิดไปขณะที่มุมปากยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่ในไม่ช้า ราวกับถูกใครเอาอ่างน้ำเย็นราดลงบนศีรษะ ได้สติในทันที สีหน้าแข็งค้างฉับพลัน
ไม่ได้! เธอจะต้องไม่มีภาพลวงตาเกี่ยวกับเด็กคนนี้! เธอต้องทิ้งชายที่น่าสะพรึงกลัวคนนั้นไป และตัดสัมพันธ์กับเขาทั้งหมดด้วยมือของตัวเอง!
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ญาธิดาอยู่บ้านทำสวนกับคุณปภาวี อ่านเขียนหนังสือกับดร.ยติภัทร โดยไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ทุกประเภทจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ค่อยเป็นค่อยไปจนอารมณ์ไม่พอใจที่ติดอยู่ในอกของคนแก่ทั้งสองหายไปเกือบหมด กระทั่งถึงเวลาที่พวกเขาต้องออกเดินทาง
เดิมทีเพราะความวุ่นวายในงานแต่งงาน คุณปภาวีจึงตัดสินใจไม่ออกไปเที่ยว และอยู่ที่บ้านกับพวกเขาอย่างสงบ หลังจากที่ญาธิดาชักชวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอถึงได้ขจัดความคิดดังกล่าวออกไป
ก่อนออกเดินทาง ญาธิดาขับรถพาพวกเขาไปที่สนามบินด้วยตนเอง ก่อนไป คุณปภาวีเริ่มกังวลขึ้นมาอีก “แกว่าเราไปแบบนี้ แกกับทัตจะดูแลเด็กทั้งสามคนได้เหรอ”
“นอกจากเลี้ยงลูกแล้วยังมีปัญหาเรื่องอาหารการกินด้วย แม้ฉันบอกว่าไปเที่ยว แต่ก็วางใจไม่ได้!”
“……….”
เมื่อเห็นว่าคุณปภาวีกำลังจะเปิดโหมดความฟุ้งซ่าน ญาธิดาจึงรีบก้าวเข้าหา ยกมือขึ้นลูบหลังเธอ และพูดเสียงเบาให้ความมั่นใจ“นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลยค่ะ ก่อนหน้านี้เราก็อาศัยอยู่ต่างประเทศไม่ใช่เหรอคะ ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ พวกท่านแค่ไปเที่ยวกันให้สนุกก็พอ”
ดร.ยติภัทรเก็บสัมภาระไว้ในท้ายรถ พยักหน้าและพูดว่า “ที่ธิดาพูดน่ะถูกแล้ว คุณเอาแต่กังวลเรื่องนี้เรื่องนั้น กังวลหลายเรื่องเกินไป งั้นเราจะไปหรือไม่ไป”
คุณปภาวีถอนหายใจด้วยความกังวล “ก็ฉันไม่วางใจ”
ญาธิดายิ้มและปลอบเธอต่อ “โอเคค่ะคุณแม่ ทัตบอกว่าช่วงนี้จะมีคุณป้าแม่บ้านเข้ามาทำอาหารให้เรา และยังดูแลพวกลูกแฝดได้ด้วย อย่ากังวลเลยค่ะ เราจะดูแลตัวเองอย่างดี”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ คุณปภาวีถึงได้พยักหน้า “โอเค ได้ยินแกพูดแบบนี้ฉันก็เบาใจลงหน่อย”
เธอพูดอย่างนั้นแล้วจึงขึ้นรถ
ญาธิดายิ้ม เดินไปด้านหน้า ขึ้นรถแล้วขับออกจากแกรนด์ บูเลอวาร์ด
ระหว่างทางไปสนามบิน ญาธิดาจงใจกระตุ้นบรรยากาศให้มีชีวิตชีวา ให้สองคนแก่หัวเราะสนุกสนาน และไปส่งพวกเขาที่ล็อบบี้สนามบิน
มองดูพวกเขาเข็นกระเป๋าเดินทางเดินไปข้างหน้า ญาธิดารู้สึกอบอุ่นหัวใจ จะว่าไปแล้ว หลังจากพ่อแม่เลี้ยงดูเธอมา เธอยังไม่มีโอกาสแสดงความกตัญญูต่อพวกเขาเลย แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นรางวัลลอตเตอรี แต่เธอก็อยากให้พวกเขาได้ไปเที่ยวกันให้สนุก
ระหว่างทางจากสนามบินกลับบ้าน ญาธิดารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่หาได้ยาก แม้ว่าช่วงนี้จะมีเรื่อวราวไม่ดีเกิดขึ้นซ้ำๆ แต่เธอจดจ่อแค่กับชีวิตที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเท่านั้น ไม่อยากคิดถึงเรื่องอื่น
แบบนี้ชีวิตจึงง่ายขึ้นมาก
แต่หลังจากที่พ่อแม่ของเธอไป เธอต้องเผชิญกับอีกหนึ่งปัญหา นั่นคือเณรศีล
จากที่เธอพาเณรศีลกลับบ้านจนถึงตอนนี้ มันก็ระยะเวลาหนึ่งแล้ว แม้ว่าเวลาอยู่บ้านเณรศีลจะทำตัวดีมาก และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกแฝด แต่เขาไม่ใช่คนที่นี่ ยังต้องการอยู่ร่วมกันกับธีระและพี่น้องคนอื่นๆ
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ญาธิดาจึงกลับรถขับไปอีกทางหนึ่งทันที
ทางใต้ของเมืองJ มีชื่อเสียงเรื่องความเขียวขจีของทางตอนใต้ เพียงแต่ฝั่งนั้นนับว่าเป็นเมืองเก่า และมีทะเลสาบเชื่อมต่อกับเมืองใกล้เคียง เมืองเล็กๆ ซึ่งเงียบสงบและห่างไกล
ชีวิตความเป็นอยู่แบบนั้นเมื่อถึงช่วงบั้นปลายชีวิต เพื่อได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมั่งคั่ง มันสวยงามและน่าพอใจมาก
ก่อนหน้านี้ญาธิดาเคยได้ยินเกี่ยวกับหมู่บ้านนั้น วันนี้จึงเดินทางเข้าไปดูว่ามีที่ตั้งถิ่นฐานที่เหมาะสมหรือไม่
หลังจากตระเวนไปรอบเมือง ปรากฏว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เธอจินตนาการไว้ ขนบธรรมเนียมพื้นบ้านเรียบง่าย ชีวิตสุขสบาย และทุกคนมีความสุขมาก
สถานที่แบบนี้ เหมาะสมที่สุดที่ธีระจะอาศัยอยู่กับเณรน้อย
ญาธิดามองๆ ดู เธอตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว เธอมองดูสักพักหนึ่งก่อนจะขับรถกลับ คิดว่าเธอจะได้ไปพบภวินท์ก่อนมืดหรือไม่
ตอนนี้ท่านธีระอยู่ในมือของเขา หากเธอคิดจะทำสิ่งนี้ อย่างน้อยก็ต้องปรึกษาหารือกับเขาถึงจะถูก
รีบไปที่ชั้นล่างของSTN Group ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ส่งข้อความถึงภวินท์ จากนั้นจึงเข้าประตูและไปที่ทางขึ้น
เธอผ่านการควบคุมการเข้าออกอย่างราบรื่น ขึ้นลิฟต์ตรงไปยังชั้นของห้องทำงานประธาน
ขณะยืนอยู่ในลิฟต์ เธอตกอยู่ในภวังค์ราวกับย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายปีก่อน ในเวลานั้น เธอยังเป็นผู้ช่วยข้างกายภวินท์ ฟ้าไม่กลัว ดินไม่เกรง เต็มไปด้วยความเยาว์วัยและความอ่อนต่อโลก
ก่อนที่เสียงจะดัง “ติ๊ง” ลิฟต์มาถึงจุดหมาย ประตูเปิดออกช้าๆ ญาธิดาก้าวออกมา
เธอเพิ่งเดินไปสองก้าว มีสาวผมสั้นลักษณะเป็นผู้ช่วยที่ดูอายุน้อยเข้ามาทักทายและถามด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ใช่คุณญาธิดาไหมคะ”
ญาธิดาพยักหน้าและยิ้มให้เธอ “ฉันเองค่ะ”
“เชิญคุณตามฉันมาทางนี้ค่ะ”
สาวผมสั้นยิ้มและเดินนำหน้าไป พาเธอไปจนถึงประตูห้องทำงานประธาน ผู้ช่วยยกมือขึ้นเคาะประตู แล้วเปิดประตู จากนั้นจึงเปิดประตูแล้วพูดกับคนที่อยู่ข้างใน “คุณญาธิดามาถึงแล้วค่ะ”
เสียงทุ้มลึกของชายหนุ่มดังมา “อืม ให้เธอเข้ามา”
ผู้ช่วยเบี่ยงตัวหลีกทางให้เธอ
ญาธิดายิ้มให้เธอแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงาน
ภวินท์นั่งอยู่ที่โต๊ะ สีหน้าดูจริงจัง จ้องมองเอกสารที่กำลังพลิกดูอย่างจริงจัง
ญาธิดาเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีจะเงยหน้าขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไม่นานประตูก็ถูกเปิดอีกครั้ง ผู้ช่วยคนเมื่อครู่เข้ามาพร้อมชาหนึ่งถ้วย “คุณผู้หญิงไปนั่งพักผ่อนบนโซฟาก่อนสักครู่นะคะ นี่ชาค่ะ”
ญาธิดาขอบคุณเธออย่างสุภาพ กระทั่งหลังจากผู้ช่วยถอยออกไป ถึงได้หันไปมองทางโต๊ะทำงาน
ไม่รู้ว่าเมื่อไร ภวินท์หยุดงานในมือ เขามองเธอด้วยสายตาเรียบเฉยและตรงไปตรงมา เขาหมุนปากกาเซ็นลายเซ็นที่อยู่ในมือ พลางพูดเนิบช้า “มาหาฉันทำไม คงจะไม่ใช่แค่เข้ามาดื่มชาหรอกใช่ไหม”