ดวงใจภวินท์ - บทที่ 628 นี่เป็นความคิดของใคร
บทที่ 628 นี่เป็นความคิดของใคร
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจญาธิดาก็สั่นไหวอย่างไม่มีเหตุผล เธอหายใจเข้าลึก แล้วก้าวเข้าไป “ท่านธีระ ฉันรู้จักสถานที่หนึ่ง ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายและเหมาะสม…”
“ไม่จำเป็นหรอก” ธีระส่ายหน้า “ผมวางแผนกลับไปที่สถานปฏิบัติธรรมเขารามพร้อมกับเณรศีล และศิษย์สาวกอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง”
ญาธิดาชะงักไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะ
สถานปฏิบัติธรรมเขารามเป็นสถานที่ที่น่าเศร้า หากพวกเขากลับไปอีก เกรงว่าต้องเสียใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงคิดว่า พวกเขาเปลี่ยนสถานที่ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งดีกว่า
แต่เธอคิดไม่ถึงว่าธีระจะมุ่งมั่นขนาดนี้
เมื่อเห็นเธอท่าทางลังเลเหมือนจะพูดแต่ไม่พูด ธีระจึงพูดเบาๆ “ไม่จำเป็นจริงๆ หลังจากนี้ผมกับพวกเณรจะปรึกษากันอีกที อาจกลับไปเขารามด้วยกันแล้วสร้างวัดเขารามขึ้นมาใหม่ หรือไปพึ่งพาเจ้าอาวาสเพื่อนเก่าที่อื่น สรุปแล้ว ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก”
เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนี้ หัวใจของญาธิดาที่เหมือนถูกบีบก็พลันคลายลง เธอพยักหน้าและพูดเสียงเบา “ในเมื่อพวกคุณมีแผนไว้แล้ว ฉันก็วางใจ”
“ถ้ามีอะไรต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรหาฉันและพยัคฆ์ได้เลย ตอนนี้พวกคุณจะไปไหน เราจะให้คนไปส่งพวกคุณที่นั่น”
ญาธิดาพูดอย่างนั้นแล้วสายตาก็ไปตกที่ตัวเณรศีล ตอนนี้เวลานี้ เขายืนอยู่ข้างธีระอย่างว่าง่าย ดวงตาสีดำขลับยังคงมองเธอตลอดเวลา ญาธิดาแสบจมูก จิตใจสั่นไหวอย่างอธิบายไม่ถูก
อยู่กับเณรศีลมาเนิ่นนาน บอกว่าไม่มีความรู้สึกมันคงเป็นไปไม่ได้ เธอก็คิดไม่ถึงว่าการแยกทางจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ เธอไม่คิดว่าธีระจะเห็นด้วยง่ายๆ ไม่คิดว่าพวกเขากำลังจะแยกจากไป
เธออ้าปากพะงาบๆ ยังคิดจะพูดอะไรอีก ใครจะรู้ว่าจะถูกพยัคฆ์ขวางไว้ “พี่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะจัดการทุกอย่างที่นี่อย่างเหมาะสม วางใจได้ครับ”
ฉับพลัน คำพูดทั้งหมดที่มาถึงลำคอก็ถูกเธอกลืนกลับเข้าไป เธอมองเณรศีล ความอาลัยอาวรณ์ยิ่งมากขึ้นทุกทีๆ
ทันใดนั้นเณรศีลก็ปล่อยมือของธีระ แล้วเดินเข้ามาหาเธอ อ้าแขนออกกว้าง ญาธิดาอบอุ่นหัวใจ รีบโน้มตัวลงกอดเขาเบาๆ
และแล้วความรู้สึกอบอุ่นก็สาดซัดมาท่วมหัวใจ
เณรศีลโน้มเข้าไปกระซิบข้างหูเธอด้วยเสียงเล็กเบา “คุณน้า แล้วพบกันใหม่ครับ”
ได้ยินเด็กน้อยใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมอย่างผู้ใหญ่บอกลาเธอ เธอก็แสบจมูกฉับพลัน กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
เธอกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยถาม “เณรศีล อยากกลับไปบอกลาอีธานกับเอลล่าต่อหน้าไหม”
เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอส่ายหน้าและพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณน้า เจ้าอาวาสบอกว่า มีโชคชะตาย่อมกลับมาพบกัน ผมรู้ว่าผมกับพวกเขาจะยังได้พบกันอีก”
ได้ยินเขาพูดอย่างเคร่งขรึม น้ำตาของญาธิดาก็ยิ่งกลั้นไว้ไม่ได้ เธอสูดหายใจเข้าลึก กอดเณรศีลแน่น จากนั้นก็กัดฟันก่อนจะปล่อย และพูดเสียงเบา “โอเค ฉันก็เชื่อว่าพวกเราจะได้พบกันอีก”
เณรศีลพยักหน้าอย่างจริงจัง จากนั้นโบกมือให้เธอและหันกลับเดินไปหาธีระ
ระหว่างทางส่งพวกเขาจากไป ญาธิดายังคงเดินตามหลังพวกเขาไปตลอดทาง เห็นพวกเขาขึ้นรถไปแล้วถึงได้หยุดยืน มองดูรถไกลออกไป
ความอาลัยอาวรณ์และก้นบึ้งหัวใจที่สั่นไหวยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไปพร้อมกับรถที่ไกลออกไป ญาธิดากัดฟันยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากหางตา
ในเวลานี้ มีเสียงดังมาจากด้านหลัง พยัคฆ์เดินมาข้างเธอ และพูดเสียงเบา “พี่ธิดาครับ เรื่องของพวกเขาพี่วางใจเถอะ คุณภวินท์สั่งเป็นพิเศษให้ปกป้องพวกเขาอย่างดี และสุดท้ายพวกเขาก็เลือกชีวิตที่แตกต่างจากพวกเรา เราสามารถช่วยเหลือพวกเขาเท่าที่เราทำได้ ส่วนที่เหลือต้องให้พวกเขาเดินไปด้วยตัวเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ญาธิดาก็เงียบไปนาน
ต้องบอกว่าบางครั้งพยัคฆ์มองสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนกว่าที่เธอมอง ที่จริงแล้ว เมื่อย้อนกลับไปคิด มีเพียงแบบนี้ถึงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขา
ทันใดนั้น น้ำหนักที่แต่เดิมกดทับหัวใจพลันหายไป ญาธิดาราวกับได้บรรเทาภาระหนัก ยกมือเอาผมทัดหู พยักหน้าแล้วพูดว่า “นายพูดถูก โอเค ฉันก็ควรไปได้แล้ว”
พูดอย่างนั้นแล้วเธอก็อมยิ้มให้เขา จากนั้นจึงก้าวขึ้นรถตัวเอง และตั้งใจจะไป
พยัคฆ์ยิ้มและมองดูรถของเธอสตาร์ทช้าๆ จากนั้นขึ้นรถรีบไปที่STN Group
หลังจากมาถึงห้องทำงานประธาน เขารายงานสถานการณ์ทั้งหมดให้ภวินท์ทราบโดยไม่ชักช้า “…ก็ประมาณนี้ครับ หลังจากนั้นพี่ธิดาก็ส่งพวกธีระขึ้นรถ และตัวเองก็ขับรถออกไปครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น คิ้วของภวินท์ก็ขมวดเล็กน้อยจนจับสังเกตไม่ได้ ไม่นานเขาก็พยักหน้านิดหน่อย และถามเสียงเบา “ส่งคนตามธีระไปหรือเปล่า”
พยัคฆ์พยักหน้าและตอบทันที “ส่งไปแล้วครับ รับประกันว่าพวกเขาต้องปลอดภัยแน่นอน”
ภวินท์พยักหน้าเมื่อได้รับคำตอบที่แน่นอน จากนั้นจึงดึงความสนใจกลับมาจดจ่อกับเอกสารบนโต๊ะ
ตอนนั้นเอง พยัคฆ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และจู่ๆ ก็พูดว่า “จริงสิครับคุณภวินท์ ช่วงนี้ในบริษัทมีคนตั้งใจสร้างความปั่นป่วนไม่ใช่เหรอครับ ผมคิดวิธีดีๆ ได้หนึ่งวิธีไปจัดการกับพวกเขา…”
พยัคฆ์ถ่ายทอดวิธีการของญาธิดาตั้งแต่ต้นจนจบทันที
เมื่อฟังจบ คิ้วของภวินท์ก็เลิกขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาปรากฏรอยยิ้มที่มองไม่เห็น เขาท่าทีผ่อนคลายและไม่ได้พูดอะไร
พยัคฆ์มองท่าทีที่คาดเดาไม่ได้ของเขาแล้วรู้สึกไม่มั่นใจ จึงถามอย่างหยั่งเชิง “คุณภวินท์คิดยังไงครับ”
ภวินท์เลิกคิ้วเลื่อนสายตาขึ้นมองเขา “นี่เป็นความคิดของใคร”
พยัคฆ์ตกใจทันที และไม่รู้ควรตอบอย่างไร “เอ่อ…”
เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของเขา ภวินท์ก็กระตุกยิ้มและถามด้วยว่า “ความคิดของญาธิดาใช่ไหม”
พยัคฆ์ตัวสั่น เขาไม่รู้ว่าตัวเองผิดพลาดไปตรงไหน อยู่ดีๆ กลับถูกภวินท์จับได้
เขาถามด้วยความรู้สึกผิด “วิธีนี้…ไม่ค่อยดีเหรอครับ”
ภวินท์หัวเราะแผ่วเบาและพูดนิ่งๆ “ดีมาก ดำเนินการเดี๋ยวนี้”
พยัคฆ์รู้สึกสับสนและมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากถูกภวินท์มองอย่างเย็นชาถึงได้สติ รีบพยักหน้าตอบรับ “ตกลงครับ ผมจะจัดการเดี๋ยวนี้!”
มองด้านหลังของพยัคฆ์ที่ออกจากห้องทำงานไป รอยยิ้มที่มุมปากของภวินท์ก็กดลึกขึ้นพอสมควร
วิธีการแบบนี้ นอกจากญาธิดาที่คิดออกมาได้ เกรงว่าจะไม่มีใครอื่น
เพราะคนที่สามารถคิดวิธีแบบนี้ได้ ต้องเป็นคนที่คุ้นเคยกับภายในบริษัทมาก เพราะเธอรู้พฤติกรรมและนิสัยโดยทั่วไปของพนักงาน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงแม่นยำมากกับการระบุทุกสถานที่ที่เป็นไปได้มากที่สุดในการติดต่อสื่อสาร เพื่อจะจับได้โดยไม่ให้หนีรอดแม้แต่คนเดียว
พยัคฆ์กับญาธิดาได้พบกัน และญาธิดาสอดคล้องกับเงื่อนไขที่เขาคาดเดา ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเธอ
แต่ต้องบอกว่า วิธีการของเธอนั้นดีมาก วิธีนี้แม้เขาจะไม่ได้คิดมาก่อน แต่เธอกลับเกิดความคิดเฉลียวฉลาดแบบนี้ขึ้นมาได้
เมื่อจะว่าไป เขาหวังว่าวิธีนี้จะได้ผล
ผ่านไปแค่ช่วงบ่าย ความคาดหวังของเขาก็ได้ทดสอบทันที
ในตอนบ่าย ภายใต้การจัดการของพยัคฆ์ พวกลูกน้องอันธพาลในมือภวินท์ซึ่งไม่เคยเข้ามาในSTN Groupล้วนมาตระเวนในSTNอยู่ครึ่งวัน ในเวลาเดียวกัน ต่างคนต่างเดินเตร็ดเตร่ไปตามสถานที่สำคัญ จับคนที่คอยปลุกปั่นก่อกวนจิตใจผู้อื่นได้แปดคนในคราวเดียว
เหตุการณ์ที่คนทั้งแปดถูกพาไปที่ห้องทำงานของประธานเหมือนสายลมพัดไปทั่วSTN และไปถึงหูภูผาในเวลาเดียวกัน