ดวงใจภวินท์ - บทที่ 636 ตัดสินใจเก็บเด็กไว้
บทที่ 636 ตัดสินใจเก็บเด็กไว้
เห็นหน้าตาอึดอัดของธีทัต พูดมาเพียงครึ่งเดียว เงียบไปนานและไม่พูดอีก ใจญาธิดารู้สึกขอโทษ เธอถอนหายใจยาว มองชายหนุ่มและพูดอย่างจริงจัง “นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ฉันจะพยายามคิดหาทางจัดให้เกล้าแก้วออกไปโดยเร็วที่สุด แต่ตอนนี้เธออยู่ที่นี่แล้ว ฉันไม่สามารถขับไล่เธอไปได้…”
ธีทัตได้ยินอย่างนี้แล้วแต่คิ้วที่ขมวดแน่นยังไม่คลาย เขามองญาธิดาอย่างลึกซึ้งแล้วพูดเสียงเบา “คุณตัดสินใจเองเถอะ”
เขาทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วก้าวออกจากระเบียงตรงขึ้นไปชั้นบนทันที
ญาธิดายืนอยู่บนระเบียง นิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสงบอารมณ์ลงได้ในที่สุด แล้วหันหลังกลับเดินออกไป
เกล้าแก้วยืนอยู่ตรงโต๊ะอาหาร กำลังมองมาทางนี้ ทั้งสองคนสบตากัน มีความกระอักกระอ่วนไหลเวียนอยู่ระหว่างกัน
เห็นอีธานกับเอลล่าวิ่งออกจากครัวหลังจากล้างมือแล้ว ญาธิดาจึงปรับสีหน้า เดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มและสอนพวกเขา “เช็ดมือให้แห้งก่อนค่อยหยิบของนะ!”
เธอพูดอย่างนั้นแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหาร เมื่อหันหน้าไป เกล้าแก้วยังคงจ้องมองเธออยู่ เธอสูดหายใจเข้าลึก พยายามหาหัวข้อที่ไม่เกี่ยวข้องมาพูดคุยเพื่อให้เรื่องมันผ่านๆ ไป ใครจะรู้ว่าเธอกลับถามขึ้นมาก่อนว่า “ฉันอยู่ที่นี่เป็นการสร้างปัญหาให้พวกเธอใช่ไหม”
ญาธิดายิ้ม ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ที่ไหนล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรหรอก เธออย่าคิดมาก”
เกล้าแก้วเห็นแบบนี้แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่จบหัวข้อไม่พูดถึงมันอีก
ค่ำคืนแห่งความสงบผ่านไป วันต่อมา หลังจากญาธิดาลุกจากเตียง พบว่าอีธานกับเอลล่านั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว แต่เกล้าแก้วกับธีทัตไม่อยู่
ญาธิดาเดินเข้าไปถามคนใช้ “คุณทัตล่ะ ออกไปแล้วเหรอ”
คนใช้ตอบตามจริง “ออกไปแต่เช้าตรู่แล้วค่ะ”
ญาธิดาได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ จากนั้นจึงหันไปมองที่ประตูห้องนอนชั้นหนึ่งที่ปิดอยู่ อดไม่ได้ที่จะถามอีกว่า “แล้วคุณแก้วล่ะคะ ยังไม่ตื่นเหรอ”
“เมื่อครู่ไปเรียกครั้งหนึ่งแล้วค่ะ แต่คุณแก้วบอกว่าไม่ค่อยสบาย เลยไม่ทานอาหารค่ะ”
ญาธิดาพยักหน้าครุ่นคิด เดิมทีจะนั่งทานข้าว แต่เธอก็ยังไม่สบายใจ คิดครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ
เธอไปที่ประตูแล้วยกมือขึ้นเคาะ และถามเสียงนุ่ม “แก้ว เธอไม่ทานอาหารเช้าเหรอ”
นิ่งไปสักพักก่อนจะมีเสียงการเคลื่อนไหวดังออกมาจากในห้อง จากนั้นประตูก็ถูกดึงเปิดออก เกล้าแก้วปรากฏตัวตรงหน้าประตู
เธอหน้าซีด ใต้ตามีรอยคล้ำจนเห็นได้ชัด บวกกับร่างกายที่ผอมไปจากเดิม จึงดูซูบซีดมาก
ญาธิดาขมวดคิ้ว รู้สึกกังวลใจ อดไม่ได้ที่จะสอบถาม “เธอเป็นอะไร มีตรงไหนผิดปกติหรือเปล่า”
เกล้าแก้วฝืนยิ้มอย่างหมดหนทาง “ตื่นเช้ามาแล้วคลื่นไส้อาเจียนหนัก ไม่อยากอาหารเลย”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ญาธิดาถึงได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก้าวเข้าไปแล้วพูดเสียงนุ่มนวล “ก่อนหน้านี้ตอนที่ฉันตั้งครรภ์ก็อาเจียนหนักมากเหมือนกัน ช่วงเวลานั้นเด็กน้อยทั้งสองคนกำลังเหวี่ยงไปมาในท้อง เกือบจะฆ่าฉันตายแล้ว ฉันมีวิธีเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง แม้จะแก้อาการพื้นฐานไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็สบายขึ้นบ้าง…”
เกล้าแก้วดวงตาเป็นประกาย เอ่ยถามเสียงเบา “ทำยังไงเหรอ”
ญาธิดายิ้ม จับมือเธอเดินเข้าไปในห้อง “เธอตามฉันมา”
ทั้งสองเดินตามกันไปที่เตียง ญาธิดาหาจุดฝังเข็มบนร่างกายเธอ นวดเบาๆ และบอกวิธีกับเธอ “ตรงนี้มีจุดฝังเข็ม เวลาที่รู้สึกคลื่นไส้มากก็กดมันเบาๆ มันจะบรรเทาลง และตรงนี้…”
นิ้วของญาธิดาเหมือนมีพลังวิเศษ เมื่อกดๆ คิ้วที่ขมวดของเกล้าแก้วก็ค่อยๆ คลายออก เธอมองญาธิดาด้วยรอยยิ้มอบอุ่นในดวงตา “ขอบคุณนะธิดา”
ญาธิดาพูดย่างอ่อนโยน “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ขอบคุณอะไรกัน”
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบลง แม้แต่บรรยากาศในห้องก็อบอุ่นขึ้นมาก ในขณะนั้น จู่ๆ เกล้าแก้วก็พูดเสียงแผ่ว “ความจริง…ฉันอยากเก็บเด็กคนนี้ไว้”
ได้ยินอย่างนี้ ญาธิดาก็หันไปมองเธอด้วยรอยยิ้ม และพูดน้ำเสียงนุ่มนวล “ฉันไม่แปลกใจเลย”
เกล้าแก้วมองเธอด้วยความประหลาดใจพร้อมกับถามว่า “ทำไมล่ะ”
ญาธิดาพูดอย่างสบายๆ “เพราะตอนนั้นที่ฉันตั้งครรภ์เอลล่ากับอีธานก็มีความคิดแบบเดียวกัน แรกเริ่มยังลังเล แต่นับวันฉันก็คิดว่านี่เป็นของขวัญจากพระเจ้า ฉันอาลัยอาวรณ์ที่จะละทิ้งพวกเขาไป”
พูดอย่างนั้นแล้วสายตาก็อ่อนลงมาก “ตั้งครรภ์สิบเดือน ความจริงแล้วต้องทนทุกข์และเหน็ดเหนื่อยมาก แต่ตั้งแต่พวกเขาคลอดออกมา ฉันไม่เคยเสียใจภายหลังเลย พวกเขานำความสุขและความปีติยินดีมาให้ฉัน มันห่างไกลกับความเจ็บปวดเหล่านั้นมากนัก หากเป็นธุรกิจ ฉันรู้สึกว่าธุรกิจนี้มีแต่ได้ไม่มีเสีย”
เกล้าแก้วได้ยินญาธิดาพูดแบบนี้แล้วหัวใจก็อ่อนลงมาก เธออมยิ้ม ความคิดแต่เดิมที่ไม่ค่อยมั่นคงพลันแข็งแกร่งขึ้นมากในวินาทีนี้เอง
ทันใดนั้นเธอพูดขึ้นว่า “ธิดา ฉันตัดสินใจแล้วจริงๆ ว่าจะเก็บเด็กไว้ ฟังเธอพูดอย่างนี้ ฉันจึงมีความคาดหวังต่อเด็กคนนี้มากมายเลย แม้ว่าในอนาคตมันอาจจะยาก แต่ฉันเต็มใจยอมรับ”
เมื่อได้ยิน ญาธิดาพลันขดยิ้มมุมปาก แววตาอ่อนลงพอสมควร “เมื่อเป็นแม่แล้ว เธอจะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้ แต่ก่อนอื่น เธอต้องแข็งแรงก่อนถึงจะได้”
พูดอย่างนั้นแล้วเธอก็บีบแขนเรียวเล็กของเกล้าแก้ว “ถึงจะมีอาการแพ้ท้อง ก็ต้องพยายามทานสักหน่อย ไม่อย่างนั้นลูกจะหิว”
ได้ยินดังนั้นเกล้าแก้วจึงอดจะยกยิ้มมุมปากไม่ได้ และพูดเสียงนุ่มว่า “ได้ ถึงจะคลื่นไส้มาก แต่ฉันจะบังคับตัวเองให้ทานสักหน่อย”
เมื่อพูดจบเธอก็ลุกขึ้น และเดินออกจากห้องไปกับญาธิดา
เวลาเดียวกัน ในห้องประชุมชั้นบนสุดของบริษัทเทคโนโลยีคลาวด์ ในห้องประชุม ธีทัตกำลังประชุมอยู่ เวลานี้โทรศัพท์มือถือเกิดเสียงเตือนดังขึ้น ได้รับข้อความใหม่
เขาเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจ เห็นข้อความจาก “ผา” สายตาจึงนิ่งไป และสีหน้าก็ค่อยๆ ทรุดลงเล็กน้อย
เขาจำได้ดีว่าครั้งล่าสุดได้ตั้งบันทึกให้กับภูผาเป็นพิเศษ จะว่าไป ทั้งสองคนไม่ได้ติดต่อกันมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่คิดว่าจู่ๆ ก็ส่งข้อความหาเขามาเวลานี้
ธีทัตสูดหายใจเข้าลึก ฟังรายงานของแผนกที่กำลังดำเนินอยู่ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดข้อความและกวาดตามอง
“เดี๋ยวเจอกัน”
ธีทัตชะงักไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วทันที สีหน้าขุ่นมัว ถือโทรศัพท์มือถือนิ่งไม่ขยับ
ภูผาหมายความว่าอะไร เขาจะมาหาตนเหรอ
ในขณะนั้น จู่ๆ ประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดจากด้านนอก จากนั้นผู้ช่วยของธีทัตก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว และกระซิบที่ข้างหูของเขาว่า “แผนกต้อนรับเพิ่งโทรมาครับ คุณภูผา รองประธานSTN Group มาที่นี่ และถามว่าทางนี้จะให้ปล่อยขึ้นมาหรือไม่ครับ”
ธีทัตคิ้วขมวด
คิดไม่ถึงว่าเขาบอกว่ามาก็มาเลย ทางตนเพิ่งได้รับข้อความที่เขาส่งมา จากนั้นตามมาติดๆ ด้วยการได้รับข่าวว่าเขามาถึงแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ให้โอกาสเขาได้ตัดสินใจ
เมื่อเห็นว่าเขานิ่งไม่พูด ผู้ช่วยก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบถามอีกครั้ง “คุณธีทัตครับ คุณจะ…”
ธีทัตได้สติ พูดอย่างเย็นชา “ให้เขาขึ้นมา”
เขารู้นิสัยของภูผาพอสมควร สิ่งที่เขาต้องการทำก็จะดึงดันทำให้ได้ ต่อให้วันนี้ตนจะหาเหตุผลไม่พบเขาได้ วันต่อไปเขาก็จะเปลี่ยนวิธีมาหาตนถึงที่อยู่ดี เป็นอยู่อย่างนั้นไม่มีทางเลี่ยงได้
ไม่สู้เคลียร์ให้จบในวันนี้เลยดีกว่า