ดวงใจภวินท์ - บทที่ 656 อยากจะกลับมาในองค์กรไหม?
บทที่ 656 อยากจะกลับมาในองค์กรไหม?
ภวินท์เหลือบมองรถเข็น แล้วพูดด้วยเสียงทุ้ม “ทำแบบนี้ มันกลับเป็นการปกป้องตัวเองไปอีกแบบหนึ่ง”
พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด หัวใจของญาธิดาก็กระตุกเกร็งอย่างแรง และรู้สึกเป็นห่วงอย่างอธิบายไม่ถูก
รอจนเธอได้สติกลับมา ภวินท์ก็หันมามองเธอ แล้วบอกกับเธอว่า “อยู่บ้านดีๆ อย่าออกไปไหน”
หลังจากพูดจบ พวกเขาก็เดินไปที่ทางเข้าลิฟต์พร้อมกัน
พอมองไปที่แผ่นหลังของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถเข็น ญาธิดาก็รู้สึกเศร้าและกังวลอย่างอธิบายไม่ถูก
เธอพอจะเดาได้ว่าเขาทำแบบนี้ให้ใครดู ในตอนนั้นภูผาใช้วิธีนี้เพื่อลดความระมัดระวังของผู้อื่นที่มีต่อเขา ตอนนี้ภวินท์ก็ใช้วิธีนี้ ถือว่าเป็นการแก้แค้นอีกฝ่าย โดยใช้วิธีเดียวกัน
สิ่งที่เขาต้องเจอ คงจะมืดมนและเลวร้ายกว่าที่เธอจินตนาการไว้มาก
ญาธิดาสูดหายใจกลั้นอารมณ์ ในขณะที่กำลังจะปิดประตู เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลังเธอ
อีธานกับเอลล่าไม่รู้ว่าเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งสองคนมองมาที่เธอนิ่ง และลังเลใจไม่รู้ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี
ญาธิดารีบปรับอารมณ์ของเธออย่างรวดเร็ว แล้วหันไปพูดกับพวกเขาว่า “มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ทำไมถึงมองแม่แบบนี้ บนหน้าแม่มีอะไรติดอยู่หรือเปล่า”
อีธานเดินไปข้างหน้า แล้วเอื้อมมือเล็ก ๆ ของเขาออกมาดึงมือเธอไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปลอบใจเล็กน้อย “คุณแม่ครับ ไม่เป็นไรนะครับ คุณอาสุดหล่อแค่ไปทำธุระ คุณแม่ยังมีพวกเราอยู่ด้วย อย่าเศร้าไปเลยนะครับ…”
เอลล่าที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ค่ะ ถึงแม้พวกเราจะคิดถึงคุณอาสุดหล่อ แต่เดี๋ยวตอนเย็นเขาก็กลับมาแล้ว! มันเร็วมากค่ะ!”
ญาธิดาจะบ้าตาย
เธอคิดถึงภวินท์ตอนไหนกัน?
ญาธิดาทั้งโกรธทั้งอยากหัวเราะ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอมองดูเด็กน้อยจอมแก่นทั้งสองคน แล้วพูดอะไรไม่ออก
สุดท้าย เธอก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ ก่อนจะปิดประตู แล้วเดินเข้าไปข้างในห้อง
เด็กน้อยทั้งสองมองหน้ากันแล้วรีบเดินตามไป
ตลอดทั้งวัน ถึงแม้ภวินท์จะไม่อยู่ แต่อีธานกับเอลล่าก็มักจะพูดถึง “คุณอาสุดหล่อ” ซ้ำๆ ทำให้ญาธิดาหัวแทบระเบิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เธอคิดว่า นี่เป็นอุบายของภวินท์เช่นกัน รอเขากลับมา เธอจะต้องคิดบัญชีกับเขาให้ได้ เลย!
ในเขตชานเมือง โรงงานที่ทรุดโทรมมีรถสีดำหลายคันจอดอยู่ ภวินท์ถูกพยัคฆ์เลื่อนลงจากรถ และพอเขาเข้าไปในประตูก็ได้กลิ่นอับชื้นภายใน
เขาขมวดคิ้วและมองไปรอบ ๆ อาคารของโรงงานที่เต็มไปด้วยเครื่องจักร และเศษซากที่ทรุดโทรม
ลูกน้องใต้บังคับบัญชาเดินเข้ามา และรายงานสถานการณ์ให้ภวินท์ได้รู้ “คุณภวินท์ครับ พวกเราได้ควบคุมที่นี่ไว้แล้วครับ ตอนนี้รอแค่สิงโตติดกับดัก”
ภวินท์พยักหน้า ก่อนจะมองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “หลุยซ์ล่ะ”
ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงของหลุยซ์ก็ดังมาจากข้างหลังเขา “ทำไม คุณภวินท์คิดถึงผมหรือไงครับ”
พอได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ภวินท์ก็ขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองเขาก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม “นายรายงานให้ทางองค์กรรู้หรือยัง”
“ไม่ต้องห่วง ฉันบอกจรณ์แล้ว”
หลุยซ์ยกมือขึ้นตบไหล่ แล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้ ก่อนจะกระซิบพูด “จรณ์บอกว่าถ้าแผนการนี้ประสบความสำเร็จ เบาะแสและกำลังคนที่นายออกในครั้งนี้ ถ้าจับสิงโตได้ เขาจะพิจารณาให้นายกลับไปที่องค์กรอีกครั้ง”
พอได้ยินแบบนี้ ภวินท์ก็ยกยิ้มย่อง แต่ไม่พูดอะไร
หลุยซ์รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป เขาหันกลับมามอง แล้วเลิกคิ้วถาม “ทำไมไม่มีเสียงตอบกลับ นายไม่พอใจกับผลลัพธ์นี้หรือไง”
ภวินท์พูดเสียงเรียบนิ่ง “ตั้งแต่แรก ฉันก็ไม่ได้จับไอ้สิงโตเพื่อรับเรียกร้องความดีความชอบอยู่แล้ว และก็ไม่คิดจะกลับองค์กรด้วยหลุยซ์ นายช่วยบอกจรณ์ด้วย”
หลุยซ์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “นายคิดแบบนี้จริง ๆ เหรอ นี่คือสิ่งที่นายคาดหวังมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”
ภวินท์ตอบกลับเสียงเรียบ “ไม่อีกต่อไปแล้ว”
เขาแค่อยากจะมั่นใจว่าสิงโตจะถูกจับแล้วจริงๆ หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป
ในตอนแรก เขากับหลุยซ์ได้ก่อตั้งองค์กรที่เชี่ยวชาญในการสืบสวนกลุ่มอาชญากรที่ผิดกฎหมายในเมือง J ภายใต้การนำของจรณ์ องค์กรนี้สร้างความสำเร็จและความดีความชอบตจำนวนมาก แต่ต่อมา เพราะเหตุการณ์เมื่อห้าปีที่แล้ว เขาจึงจำเป็นต้องออกจากองค์กร
จะว่าไปแล้ว แต่การสูญเสีย เขาไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย
ในขณะนี้ การจับสิงโต เหตุผลหนึ่งคือบัญชีความแค้นระหว่างเขากับสิงโต และอีกเหตุผลหนึ่งคือหวังว่าจากนี้ไป คนบางคนจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้
พอได้สติจากความทรงจำในอดีต ภวินท์ก็ปรับความรู้สึกของเขา แล้วหันไปมองหลุยซ์ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นายแน่ใจใช่ไหมว่าเรื่องนี้ไม่มีการรั่วไหล”
หลุยซ์พยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ฉันสั่งการไว้แล้ว ถ้าจับหัวโจกได้แล้ว คนอื่นๆ ก็จะถอนตัวทันที”
พอได้ยินแบบนี้ ภวินท์ก็พยักหน้าแล้วคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาของเขาเคร่งขรึม “พ่อฉันอยู่ที่ไหน”
หลุยซ์ลังเลเล็กน้อย แล้วพูดว่า “พาขึ้นรถไปแล้ว อยู่ในรถของฉัน”
พอได้ยินแบบนี้ ภวินท์ก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันจะพาเขากลับไปด้วยเลย”
“ฉันรายงานกับจรณ์แล้ว เขาอนุญาตแล้ว”
หลุยซ์พูด ก่อนจะยกมือขึ้นมาตบไหล่ของภวินท์เบา ๆ
ภวินท์ไม่ได้พูดอะไร เขากดปุ่มควบคุมบนรถเข็น แล้วเคลื่อนตัวออกจากโรงงานไป
ก่อนขึ้นรถ พยัคฆ์ก็เอ่ยถามอย่างลังเลใจ “คุณภวินท์ครับ จะให้เขาขึ้นรถคันไหนครับ”
ภวินท์ตอบเสียงเรียบ “คันข้างหลัง”
“ได้ครับ”
จากนั้นเขาก็นั่งรถเข็น และขึ้นรถคันข้างหน้าไป
จะว่าไป เขากับปกรณ์ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับเขา รวมทั้งเรื่องที่สองขาของเขาถูกตีจนหัก และเกือบตายอยู่หลายครั้ง
ถึงแม้ลึกๆ ในใจของเขาจะเป็นห่วงปกรณ์ แต่สุดท้ายแล้ว ความเย็นชาไม่แยแสที่อีกฝ่ายมีต่อตนเองนั้นมากกว่าอบอุ่นที่เขาเคยให้
เพราะยังไง ความรักของพ่ออย่างปกรณ์มีให้เขานั้นมีไม่มาก
รถสองคันขับจากไปติดต่อกัน และขับจากชานเมืองมาจนถึงในตัวเมือง สุดท้ายพยัคฆ์ที่เป็นคนขับรถก็ถามออกมาอย่างอดใจไม่ได้ “คุณภวินท์ครับ จะให้คุณท่านไปพักที่ไหนครับ? ”
พวกเขาจะต้องกลับไปที่คอนโด คงจะพาปกรณ์กลับไปกับพวกเขาด้วยไม่ได้
ภวินท์เอ่ยสั่งเสียงเรียบนิ่ง “จัดบ้านทางฝั่งตะวันตกของเมืองให้เขาพัก และส่งคนไปดูแลเขาเพิ่มอีกสองสามคน”
พยัคฆ์รวบรวมความกล้าถามขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น… คุณภวินท์ไม่คิดที่จะคุยกับเขาบ้างเหรอครับ?”
ทันใดนั้นเอง สีหน้าของภวินท์ก็บูดบึ้ง อากาศรอบตัวเย็นยะเยือก บรรยากาศในรถนิ่งเงียบไปทันที
จนสุดท้าย เปลือกตาของภวินท์ก็ขยับ เขาพูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้พาเขาไปส่ง ฉันจะคุยกับเขาแล้วค่อยกลับ”
“ครับ”
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่พักทางฝั่งตะวันตกของเมือง ภวินท์นั่งอยู่ในรถเป็นเวลานานและในที่สุดก็ปรับอารมณ์ของเขาและลงจากรถมา
ปกรณ์อยู่ในห้องนอนแล้ว ภวินท์นั่งรถเข็นเข้าไปในห้องช้าๆ
ภายในห้อง ม่านถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง ภายใต้แสงสลัว ก็สามารถมองเห็นปกรณ์ที่นั่งอยู่บนเตียงได้ รูปร่างของเขาซูบผอม ดูแก่ไปมาก
หัวใจของภวินท์บีบรัดแน่น รถเข็นของเขาค่อยๆ เข้าใกล้เตียง ในเวลานี้เอง ปกรณ์ถึงได้เงยหน้าขึ้นมองช้าๆ
เขาดูแก่กว่าเดิมมาก ผมของเขาเป็นสีขาว ใบหน้าซูบผอม แววตาของเขาไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน
พอเขาเห็นภวินท์ ดวงตาที่หมองมัวก็เป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ยื่นมือออกไปหา “ตาวิน นี่พ่อไม่ได้ฝันไปใช่ไหม? ”
จะว่าไปแล้ว ทั้งสองไม่ได้เจอกันมาเกือบครึ่งปี และไม่ได้คุยกันเลย
การได้มาเจอกันอีกครั้ง ก็ต้องมีความรู้สึกแปลกหน้าบ้างเป็นธรรมดา