ดวงใจภวินท์ - บทที่ 661 แลกกับชีวิตของพวกเขาสองคน
ญาธิดาตัวแข็งทื่อ เมื่อได้ยินแบบนั้น ขนทั่วทั้งตัวตั้งชัน เธอรีบหันกลับมามองภูผาที่กำลังยิ้มหน้ากรุ้มกริ่ม แล้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “นายพูดว่าอะไรนะ!”
ภูผากระตุกยิ้มแล้วพูดอย่างไม่แยแสว่า “กว่าจะทำให้พ่อแม่ของเธอเชื่อว่าพวกเขาถูกรางวัลจริง ๆ บอกตามตรงว่าฉันทุ่มเทมากเหมือนกันนะ ก่อนที่พวกเขาจะไปยุโรป เธอเป็นคนไปส่งพวกเขาที่สนามบินด้วยตัวเองด้วยใช่ไหม? ถ้าเธอรู้ล่วงหน้าว่าพวกเขากำลังจะตายในต่างที่ต่างแดน เธอยังจะส่งพวกเขาไปไหม?”
คำพูดของเขาราวกับสายลมที่พัดเข้ามาห่อหุ้มตัวเธอจนเจ็บเสียดเข้าไปถึงกระดูกภายในชั่วพริบตา ร่างกายของเธอสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ มือกำหมัดแน่นโดยไม่ได้ตั้งใจ “ที่แท้ก็เป็นฝีมือของนายนี่เอง!”
ตอนแรกที่เธอได้ยินดร.ยติภัทรกับคุณปภาวีบอกว่าพวกเขาถูกรางวัลแจ็กพอต เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ แต่ต่อมาพวกเขาแสดงหลักฐานทุกอย่างที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาถูกรางวัลจริง ๆ เธอจึงเชื่อเขา
แต่ใครจะไปรู้ ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแค่เกมที่ภูผาจัดฉากขึ้นมา!
ภูผานั่งลงบนโซฟาอย่างสบายอกสบายใจ พลางมองใบหน้าของญาธิดาที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนจะกระตุกยิ้ม “ตอนนี้เธอตัดสินใจได้หรือยัง? จะช่วยอะไรฉันสักเล็กน้อยได้หรือเปล่า?”
ขณะที่พูด เขาก็หยิบแฟลชไดร์ฟออกมาถือไว้ในมือ พลางแกว่งมันไปมาเบา ๆ
ญาธิดาปวดหัวจนแทบจะระเบิด เธอยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ กัดฟันแน่นแล้วพูดว่า “นายก็แค่กำลังข่มขู่ฉัน ฉันไม่มีทางหลงกลนายหรอก!”
ภูผายิ้มโดยไม่พูดอะไร เขาหยิบรีโมทคอนโทรลขึ้นมาชี้ไปที่ทีวีบางเฉียบที่แขวนอยู่บนผนัง แล้วกดปุ่ม
วินาทีต่อมา ในทีวีก็มีภาพบางอย่างแสดงขึ้นมา ภายในภาพเต็มไปด้วยฝูงชนพลุ่งพล่าน มีแต่ชาวต่างชาติแปลกหน้าแปลกตา ตาโต สันจมูกโด่งสูง ทันใดนั้นกล้องก็เล็งตรงไปทิศทางหนึ่ง เมื่อญาธิดาจ้องมองเธอก็เห็นดร.ยติภัทรกับคุณปภาวีกำลังเดินอยู่ด้านหน้า พวกเขาเดินพูดคุยกันหัวเราะมีความสุขโดยไม่รู้ตัวเลยว่าห่างจากข้างหลังของพวกเขาไปไม่กี่เมตรมีคนกำลังสะกดรอยตามพวกเขาอยู่ แถมไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย!
ทันทีที่เห็นภาพพวกนั้น ญาธิดาตัวชาไปทั้งตัว ใบหน้าซีดขาว
เมื่อภูผาเห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนไป เขาก็พูดขึ้นมาอย่างจงใจว่า “ทันทีที่ฉันออกคำสั่ง พ่อแม่ของเธออาจจะต้องตายในทันที ต่างบ้านต่างเมืองแบบนั้น แม้แต่คนเก็บศพให้ก็ยังไม่มีเลย จิ๊จิ๊จิ๊!”
“นายหยุดพูดได้แล้ว!” ญาธิดาร้องขึ้นขัดคำพูดของเขา
เธอไม่อยากเชื่อเลย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับดร.ยติภัทรกับคุณปภาวีจริง ๆ เธอจะทำยังไง?
ภูผาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยิบรีโมทคอนโทรลออกมากดปิด จากนั้นก็รอให้เธอตัดสินใจอย่างเงียบ ๆ
ตอนนี้ญาธิดารู้สึกเหมือนเป็นมดที่ถูกมัดและกำลังถูกแผดเผาอยู่บนกองเพลิง ตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่มีทางออกอื่นเลย
เธอไม่อยากทรยศภวินท์และSTN Group และเธอก็ไม่อยากให้ดร.ยติภัทรกับคุณปภาวีโดนทำร้ายเหมือนกัน บอกตรง ๆ ว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นเลย!
แล้วภูผาก็เริ่มบังคับให้เธอตัดสินใจ “ฉันให้เวลาเธอคิดแค่สามนาทีเท่านั้น”
ขณะที่พูดเขาก็หยิบแฟลชไดร์ฟออกมาวางลงบนโต๊ะและรอให้เธอตัดสินใจอย่างเงียบ ๆ
ญาธิดากัดฟันแน่น สองมือถูกันไปมา ไม่รู้ว่าจะเลือกยังไง แต่ไม่ว่าจะเลือกอย่างไหน เธอก็รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ถูก
เมื่อเห็นว่าสามนาทีค่อย ๆ ผ่านไป แต่ญาธิดากลับยังไม่มีคำตอบ จู่ ๆ ภูผาก็ยืดตัวลุกขึ้นนั่ง เม้มริมฝีปากแน่นและกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง ญาธิดารู้ว่าตอนนี้ครบสามนาทีแล้ว!
เธอกัดฟันแน่น ยื่นมือออกไปคว้าแฟลชไดร์ฟที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ว่ามา จะให้ฉันทำอะไร!”
ตอนนี้ชีวิตของดร.ยติภัทรกับคุณปภาวีอยู่ในมือของเธอ เธอไม่สามารถยอมรับความเสี่ยงครั้งนี้ได้! จากสองตัวเลือกนี้ เธอทำได้เพียงเลือกตัวเลือกที่ตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกละหุกก่อน
ภูผากระตุกยิ้ม “เธอไปที่STN Group หาโอกาสเข้าไปในห้องทำงานของภวินท์ เอาทุกอย่างที่อยู่ข้างในใส่ลงไปในคอมพิวเตอร์ ขอเตือนไว้ก่อนว่าคอมพิวเตอร์ของเขามีรหัสผ่าน ซึ่งมันถอดรหัสยากมาก ดังนั้นเธอจะต้องเอารหัสผ่านออกมาจากปากเขาให้ได้ก่อนถึงจะทำได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น ญาธิดาจึงเข้าใจทันทีว่าภูผาตามหาเธอทำไม ด้วยนิสัยละเอียดรอบคอบของภวินท์ คอมพิวเตอร์ของเขาจะต้องตั้งระบบป้องกันเอาไว้หนาแน่นมากแน่นอน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแฮ็ก มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ได้ และไม่มีใครที่มีโอกาสได้เข้าใกล้คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ ดังนั้นภูผาจึงหาโอกาสเอาสิ่งที่อยู่ข้างในนี้ลงในเครื่องได้ยาก ฉะนั้นเขาจึงมาพบเธอ…
เธอค่อย ๆ สงบลง สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดอย่างเยาะเย้ยว่า “ฉันไม่รับประกันหรอกนะว่าฉันจะหารหัสผ่านเข้าคอมพิวเตอร์ของเขาได้”
“ไม่ได้ไม่เป็นไร” ภูผาจิบชาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “สรุปง่าย ๆ คือชีวิตพ่อแม่ของเธออยู่ในมือเธอ อยู่ที่เธอว่าจะสามารถรักษาเอาไว้ได้ไหม”
เพียงประโยคเดียว สีหน้าของญาธิดาก็เปลี่ยนไปทันที
ตอนนี้ภูผาทำเกินกว่าเล่นแง่แล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขากำลังข่มขู่เธอ โดยไม่มีหนทางอื่นให้เธอเลือกเลย เธอจึงทำได้เพียงแค่ตอบตกลง
“ขอเตือนเธอไว้อย่าง อย่าคิดจะเล่นแง่กับฉัน พวกเราติดตั้งกล้องรูเข็มเอาไว้ในห้องทำงานของภวินท์ ดังนั้นเธอทำตามที่ฉันบอกหรือไม่ ฉันรู้ดีทุกอย่าง”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ญาธิดารู้สึกชาไปทั้งตัวอีกครั้ง สายตาที่มองไปทางภูผาราวกับกำลังมองปีศาจ
เขาช่างต่ำทราม ไร้ยางอาย น่ารังเกียจจริง ๆ!
ญาธิดากำแฟลชไดร์ฟในมือแน่น จ้องเขาตาเขม็ง พลางกัดฟันถาม “ถ้าฉันทำได้ พ่อแม่ของฉันแล้วก็แก้ว…”
ภูผาพูดขัดจังหวะขึ้นมาทันที “ฉันปล่อยพ่อแม่ของเธอแน่ ส่วนเกล้าแก้วไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ และสิ่งที่เธอทำมันเพียงพอแค่จะแลกชีวิตพ่อแม่ของเธอสองชีวิตเท่านั้น”
“นาย…”
ญาธิดาโกรธมากแต่กลับพูดอะไรไม่ได้
ดูเหมือนว่าครั้งนี้เกล้าแก้วจะเป็นแค่ตัวล่อให้เธอออกมาเท่านั้น ส่วนพ่อแม่ของเธอคือไพ่ใบสำคัญที่เขากำลังถืออยู่ในมือตอนนี้ ผู้ชายคนนี้โหดร้ายมากจริง ๆ!
ภายในห้องเงียบไปพักใหญ่ สุดท้ายภูผาก็พูดขึ้นว่า “ฉันให้เวลาเธอสามวัน ก่อนวันที่สิบเจ็ด เธอต้องทำให้สำเร็จ”
ญาธิดากลับมาได้สติ เธอนิ่ง เสแสร้งทำเป็นว่านิ่งสงบและพยักหน้า ก่อนจะเดินจากไป
ระหว่างทางกลับบ้าน เธอตกอยู่ในอาการเหม่อลอยตลอดเวลา เรื่องพวกนั้นทับซ้อนกันแน่นอยู่ในใจของเธอ มันยุ่งเหยิงคิดอะไรไม่ออก
หรือว่าครั้งนี้เธอจะต้องหักหลังภวินท์เพื่อช่วยพ่อแม่ของเธอจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ? เธอขัดแย้งกับตัวเองไปมาในใจจนกระทั่งถึงชั้นล่างคอนโด เธอก็ยังคิดอะไรไม่ออกอยู่ดี
เมื่อกลับมาถึงคอนโด ทันทีที่เปิดประตูเธอก็เห็นภวินท์กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ดูเหมือนว่าเขากำลังรอเธอกลับมา
เมื่อภวินท์ได้ยินเสียง เขาจึงหันมองมาทางเธอ เมื่อเห็นว่าเธอกลับมามือเปล่า สีหน้าซีดขาว เขาก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาเธอ
“เป็นอะไร? เธอบอกจะไปซื้อของไม่ใช่เหรอ?”
ญาธิดาเงยหน้าขึ้นสบสายตากับชายหนุ่ม และจู่ ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมา เธอรีบส่ายหน้าไปมาแล้วตอบเขาไปว่า “ฉันเหนื่อยนิดหน่อย ขอตัวกลับห้องก่อนนะ”
ขณะที่พูดเธอก็รีบเบือนหน้าหนี เพื่อหลบสายตาของเขาแล้วรีบเดินจากไป
ภวินท์ยืนอยู่ที่เดิม มองไปทางห้องที่ถูกปิดประตูลง ก่อนจะขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร
วันนี้ญาธิดาผิดปกติมาก เธอออกไปทำอะไรกันแน่?