ดวงใจภวินท์ - บทที่ 662 ฉันไม่มีทางทอดทิ้งเธอ
ความสงสัยเกิดขึ้นในใจเขา ภวินท์ขมวดคิ้ว ลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียง ทอดสายตามองออกไปไกล
ทีแรกเขาอยากจะยืนแค่แป๊บเดียวแล้วกลับเข้าห้อง แต่ไม่นานประตูห้องของญาธิดาก็เปิดออก เธอเดินออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะปิดประตูลงอย่างระมัดระวัง
ตอนกลางวันอีธานกับเอลล่าเอาแต่เล่นตลอดทั้งวันเลยเพลียและหลับสนิทไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ญาธิดากลับไม่ง่วงนอนเลยสักนิด เรื่องวุ่นวายใจทำให้เธอนอนไม่หลับและฟุ้งซ่าน
อันที่จริงเธอเป็นห่วงดร.ยติภัทรกับคุณปภาวีมาก ระหว่างทางที่กลับมาเมื่อกี้ เธอพยายามคิดอยากจะโทรหาพวกเขาหลายครั้ง แต่เพราะกลัวว่าจะกลั้นร้องไห้เอาไว้ไม่อยู่ เธอจึงฝืนใจเก็บมันเอาไว้
ตอนนี้พ่อแม่กำลังถูกจับตามอง เธอไม่รู้ว่าภูผาทำเรื่องทุกอย่างไปถึงขั้นไหนแล้ว เธอกลัวว่าจะแสดงอาการแปลก ๆ ต่อหน้าพ่อแม่ และกลัวว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นเธอจึงไม่ติดต่อไปหาพวกเขา แต่พอเห็นว่าคุณปภาวียังส่งวิดีโอต่าง ๆ มาให้เธอก็รู้ว่าพวกเขายังปลอดภัยดี
แล้วต่อไปล่ะ? เธอจำเป็นต้องหักหลังภวินท์เพื่อแลกกับความปลอดภัยของพวกเขา และมีความเป็นไปได้มากที่แม้ว่าเธอจะทำตามที่ภูผาสั่ง แต่เขาอาจจะยังไม่ยอมปล่อยพ่อแม่ของเธอไปและใช้สิ่งนี้ข่มขู่เธอไม่รู้จักจบจักสิ้น
ญาธิดายิ่งคิดก็ยิ่งกลัว จิตใจสับสนวุ่นวาย เธอกัดฟันแน่นทันทีที่ออกจากห้องก็เห็นภวินท์ที่กำลังยืนมองเธอจากริมระเบียง
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ เดินไปที่ตู้เย็น แล้วหยิบเบียร์ขวดหนึ่งออกมา
เมื่อภวินท์เห็นเธอหยิบเบียร์ออกมา นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ วินาทีต่อมาญาธิดาก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา ก่อนจะชูเบียร์เป็นสัญญาณให้เขา “คุณจะเอาหน่อยไหม?”
ภวินท์เม้มปากแล้วพูดเบา ๆ “ขอขวดนึง”
ญาธิดาหยิบออกมาอีกหนึ่งขวด หลังจากปิดตู้เย็นเธอก็เดินตรงมาทางเขา
ริมระเบียงมีโต๊ะกลมเล็ก ๆ กับเก้าอี้เอนหลังอีกสองตัว ท่ามกลางสายลมเย็น ๆ ตอนดึก ๆ นั่งจิบเบียร์ชมแสงจันทร์ตรงนี้มันสบายสุด ๆ ญาธิดายื่นให้เขาก่อนจะนั่งลงแล้วเริ่มดื่มเบียร์เงียบ ๆ
ภวินท์เหลือบมองเธอ ก่อนจะยกขึ้นจิบตาม ก่อนจะถามเสียงเบาว่า “มีเรื่องอะไรรบกวนใจหรือเปล่า?”
ญาธิดาเงียบครู่หนึ่ง ไม่มีเสียงตอบรับ ผ่านไปพักใหญ่เธอถึงพูดขึ้นว่า “ภวินท์ จะว่าไปแล้วก็แปลก ฉันรู้สึกว่าหลังจากที่ได้เจอกับคุณ ชีวิตของฉันก็มีแต่ความสับสนวุ่นวายและอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ ”
น้ำเสียงของเธอเหมือนกำลังพูดคุยกันสบาย ๆ และไม่ได้มีเจตนาจะตำหนิอะไร แต่พอภวินท์ได้ฟังมันกลับทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
แต่มันก็จริง เพราะเขาเธอถึงต้องพบเจอกับเรื่องที่ไม่เคยต้องประสบพบเจอมาก่อน และต้องเจอกับอันตรายมากมาย ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงอยากคืนชีวิตที่สงบสุขและมั่นคงให้กับเธอ เขายอมให้ตัวเองต้องพบเจอกับความมืดมน เพื่อให้เธอกับอีธานเอลล่าได้พบเจอแต่แสงสว่าง
ทั้งสองคนต่างเงียบไป ผ่านไปครู่หนึ่งภวินท์ก็หันมามองเธอแล้วพูดกับเธอเบา ๆ ว่า “สิงโตถูกจับแล้ว”
เมื่อได้ยินชื่อที่ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคยชื่อนี้ ญาธิดาหันไปทางเขาโดยไม่รู้ตัวพลางถามว่า “เขา…ถูกจับแล้ว?”
ภวินท์พยักหน้าโดยไม่ลังเล “ถูกจับแล้ว”
หลังจากได้รับคำยืนยัน ญาธิดาก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ข่าวนี้เป็นข่าวดีสำหรับเธอ
เมื่อภวินท์เห็นสีหน้าผ่อนคลายลงที่ปรากฏบนหน้าของญาธิดา เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่เธอ อีธานและเอลล่ายังอยู่กับฉันที่นี่ ฉันจะปกป้องพวกเธอเอง”
ญาธิดาครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า และแหงนหน้าขึ้นกระดกดื่มเบียร์สองสามอึก ก่อนจะหันไปมองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในฐานะของคนเป็นแม่ ถ้าเกิดอันตรายอะไรขึ้น ฉันก็จะปกป้องอีธานกับเอลล่า ฉันจะเป็นหนี้บุญคุณคุณตลอดไปไม่ได้หรอก…”
เธอเหมือนจะพูดเล่น ดวงตาของเธอยิ้มเป็นรูปคล้ายพระจันทร์เสี้ยว สว่างแวววาว ราวกับแสงไฟสองดวงที่ริบหรี่ในยามค่ำคืน ทำให้คนที่ได้มองยากที่จะลืม
มือที่ถือขวดเบียร์กำแน่นมากขึ้นกว่าเดิม พลางพึมพำกับตัวเองว่า “ติดหนี้บุญคุณฉันก็ไม่เป็นไร แค่ตอบแทนก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เมื่อญาธิดาได้ยินคำพูดของเขา เธอก็หัวเราะพลางพูดติดตลกออกมา “ฉันตอบแทนไม่ไหวหรอกนะ”
ทั้งสองคนมองหน้ากันยิ้ม ๆ โดยไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ต่อ
พวกเขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสนิทราวกับม่านสีดำ ดาวสองสามดวงกระจัดกระจายอยู่บนนั้น ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่เบียร์ทั้งขวดจะถูกดื่มจนหมดโดยไม่รู้ตัว
หลังจากดื่มเบียร์หมดไปหนึ่งขวด ญาธิดากลับรู้สึกว่ายังไม่พอ จึงกลับเข้าไปหยิบออกมาอีกสองขวด วางลงบนโต๊ะกลม แล้วเปิดอีกขวดดื่มต่อ
เมื่อภวินท์เห็นแบบนั้น ในใจเขาก็รู้ทันทีว่าเธอมีบางอย่างในใจ สภาพแบบนี้ต่อให้เขาถามออกไปญาธิดาก็คงไม่ยอมบอกเขา
ภวินท์สูดหายใจเข้าลึก ๆ หยิบเบียร์ขึ้นมาเปิดอีกขวดแล้วดื่มเป็นเพื่อนเธอ พลางพูดเบา ๆ ว่า “สิงโตเพิ่งจะถูกจับ ช่วงนี้ทางที่ดีอย่าออกไปไหนจะดีกว่า สถานการณ์ข้างนอกไม่ค่อยดี แถมทางภูผาก็กำลังเคลื่อนไหวอยู่เหมือนกัน วิธีหลีกเลี่ยงอันตรายที่ดีที่สุดคืออย่าปรากฏตัว”
ท่าทีของญาธิดาดูหม่นหมองลงเล็กน้อย เมื่อนึกถึงข้อตกลงที่เธอรับปากภูผาเอาไว้ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “แล้วถ้าจำเป็นจะต้องออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ล่ะ”
ภวินท์มองเธอ เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พาฉันไปด้วย”
เมื่อได้ยินแบบนั้นญาธิดาก็รู้สึกขำขึ้นมา “ตอนนี้คุณออกไปข้างนอกยังต้องนั่งรถเข็น แน่ใจเหรอว่าถ้าตกอยู่ในอันตรายจริง ๆ คุณจะสามารถดูแลฉันได้?”
สีหน้าของภวินท์เคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไป “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้าจะออกไปข้างนอกต้องพาพยัคฆ์ไปด้วย อีธานกับเอลล่าไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ฉันจะส่งคนมาคอยดูแลใกล้ ๆ คอนโด…”
เขาพูดกำชับอย่างจริงจัง จนเผลอพูดมากออกมาโดยไม่รู้ตัว พอหันกลับไปอีกครั้ง กลับพบว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ได้เอียงศีรษะผล็อยหลับไปแล้ว
ภวินท์ทั้งโกรธทั้งขำ แสดงว่าที่เขาพูดพล่ามออกไปเมื่อกี้นี้ เธอไม่ได้ฟังเลยสินะ?
ภวินท์เงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกถึงความเย็นของอากาศข้างนอก ภวินท์เลยลุกเดินเข้าไปหาเธอ ก่อนจะอุ้มเธอขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปทางห้องนอน
เขาอุ้มเธอกลับไปที่ห้องนอนอย่างเบามือเบาเท้า วางเธอลงบนเตียง ท่ามกลางแสงไฟสลัว ภวินท์มองใบหน้าของหญิงสาว หัวใจของเขาเหมือนกำลังพักปลิวไปตามสายลม ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อยและพูดเบา ๆ ว่า “ไม่ว่าจะเจออันตรายอะไร ฉันจะไม่ทิ้งเธอเด็ดขาด”
เสียงของเขาเบามาก พูดจบก็หายวับไปราวกับอากาศ สุดท้าย เขาจ้องมองหญิงสาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงอย่างลึกซึ้งก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก
แต่วินาทีที่เขาปิดประตู ขนตาของหญิงสาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียงก็ขยับเล็กน้อย…
ภวินท์กลับเข้าไปในห้องของตัวเองและอดคิดมากขึ้นมาไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะสัญชาตญาณหรือลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาเอาแต่รู้สึกว่าภูผากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่
สุภาษิตเรียกว่า หมาจนตรอก สิงโตถูกจับ ปกรณ์ที่เขาจงใจจับไปซ่อนตัวไว้ก็ถูกเขาหาเจอและพาตัวออกมาแล้ว จากนิสัยของภูผา เขาคงไม่มีทางใจเย็นได้ขนาดนั้น
เมื่อคิดได้แบบนั้น เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งพวกลูกน้องสองสามคนจัดการทุกอย่างอย่างฉุกเฉิน
ท้ายที่สุดวันหนึ่ง เขาต้องเผชิญหน้ากับภูผาตัวต่อตัว ตอนนี้เขาไม่ได้มีแค่ตัวคนเดียว เขามีคนที่อยากปกป้อง ดังนั้นจะต้องทำทุกอย่างโดยไม่มีข้อผิดพลาด!