ดวงใจภวินท์ - บทที่ 682 เขาปลอดภัยดี
มีหลายครั้งที่เธอต้องจากเขาไปไกล หนีไปจากเขา แต่วินาทีนี้ เธอรู้สึกเพียงว่าต้องการเห็นใบหน้าของเขา ต้องการเห็นเขาปรากฏอยู่ตรงหน้าเธออย่างปลอดภัย
แต่ละวินาทีเดินผ่านไป เธอยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ มองดูทีมกู้ภัยค่อยๆ เดินเข้าไปด้านในตรงจุดของการระเบิด สำรวจ ดวงตาไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ
เวลานี้ ภายนอกของเธอไม่มีความแปรปรวนทางอารมณ์ใดๆ แต่ว่ามือที่ประสานกันแน่นของเธอแสดงให้เห็นถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
ประมาณยี่สิบนาที หัวหน้าทีมกู้ภัยเดินเข้ามารายงานสถานการณ์ให้กับหลุยส์อย่างรวดเร็ว “สถานการณ์ไม่สู้ดี สถานที่เกิดเหตุเสียหายอย่างร้ายแรง น่าจะมีคนมาวางระเบิดไว้ล่วงหน้า เพื่อที่ต้องการทำลายโรงงาน นอกจากนี้ อาคารโรงงานที่นี่ค่อนข้างเก่ามากแล้ว ไม่ได้รับการดูแล เมื่อเกิดการระเบิดก็เละเป็นจุณ ด้านในเกรงว่า……”
ญาธิดาโซซัดโซเซเดินเข้ามาถาม “เกรงว่าอะไรคะ”
หัวหน้าทีมกู้ภัยหน้าถอดสี ขยับริมฝีปาก สุดท้ายก็ได้กล่าวออกมา “เกรงว่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี……”
“โชคร้ายมากกว่าโชคดี” หกคำนี้ราวกับภูเขาลูกใหญ่หล่นมาทับหัวใจของญาธิดาไว้ ทำให้เธอหายใจไม่ออก
หัวใจของเธอบีบรัดแน่น ภาวะการขาดอากาศหายใจยิ่งอยู่ยิ่งชัดเจน ทรวงอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลงเนื่องจากหายใจแรง ทำให้หัวใจเจ็บปวด
เวลายี่สิบนาทีเมื่อสักครู่ เธอยังตั้งหน้าตั้งตารอปาฏิหาริย์ แต่ตอนนี้คำพูดของหัวหน้าทีมกู้ภัยทำให้เธอนั้นตกนรก
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก กัดฟันแล้วกล่าว “ฉันไม่เชื่อ……”
เขารอดชีวิตจากช่วงเวลาที่อันตรายมามากมายในอดีตได้ ครั้งนี้เธอไม่เชื่อว่าเขาจะจากไปแบบนี้
เธอพยายามกลั้นน้ำตาตรงเบ้าตา สาวเท้าก้าวไปที่กองซากปรักหักพัง ขาทั้งสองข้างของเธอหนักพอๆ กับตะกั่วก็ไม่ปาน และทุกย่างที่ก้าวเดินช่างเปลืองแรงมาก
ทางฝั่งหลุยส์มองดูร่างของเธอที่ขวัญกระเจิง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สายตากวาดไปทั่วตรงซากปรักหักพังนั้น ความรู้สึกที่ซับซ้อนแวบเข้ามาใต้ดวงตา
เขาเป็นเพื่อนที่ภวินท์รู้จักมาหลายปี จะยอมรับผลลัพธ์เช่นนี้ง่ายๆ ได้อย่างไร แต่ว่า เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว……
เขากำมือที่ชี้ลงอยู่ข้างลำตัวขึ้นอย่างช้าๆ เงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าทีมกู้ภัย แล้วเอ่ยปากกล่าว “รบคุณพวกคุณโปรดจงช่วยค้นหาและช่วยเหลือต่อไป หากว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จะได้ตามหาเจอได้เร็ว และเขาจะได้มีความหวังเพิ่ม”
หัวหน้าทีมกู้ภัยลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า รีบหันหลังไปกำชับลูกน้องทันที
ขณะเดียวกัน หลุยส์หันไปมองพายุที่สีหน้าหม่นหมองแล้วกล่าวเบาๆ “ไม่ถึงวินาทีสุดท้าย พวกเราจะไม่ลดละความพยายามเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของญาธิดา นายจงไปกับเธอ”
พายุได้สติคืน ได้ยินหลุยส์กล่าวเช่นนี้ ดวงตาเป็นประกาย จากนั้นพยักหน้าอย่างแน่วแน่ ก้าวเดินไปทางญาธิดาอย่างรวดเร็ว
ญาธิดาก้าวด้วยฝีเท้าหนัก เพราะเธอเดินอย่างลำบาก ยิ่งเดินเข้าใกล้กองซากปรักหักพังมากเท่าไร ความรู้สึกที่หดหู่อยู่ในใจก็ยิ่งหนักอึ้งเท่านั้น
เดินเข้าไปใกล้ๆ ถึงขั้นที่เธอสามารถได้กลิ่นดินปืนที่กระจายอยู่ในอากาศ ที่ดูเหมือนจะปกคลุมไปทั่วบรรยากาศรอบๆ จนกลายเป็นสีเทา และทุกอย่างก็เต็มไปด้วยบรรยากาศความหดหู่
จู่ๆ มีภาพบางอย่างแวบเข้ามาในความคิดของเธอ
ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ก่อนที่นิวราจะถูกคนลากลงจากรถ มองดูเธอที่ศีรษะที่โชกไปด้วยเลือด ส่งเสียงโวยวายสาปแช่งเธอกับภวินท์ ถึงขั้นที่สุดท้ายกล่าวกับเธอว่า “ไม่ตายดี” สามคำนี้วนเวียนอยู่ในสมองซ้ำๆ
หรือว่าจะเป็นเหมือนสามคำที่เธอกล่าว ไม่ตายดี……ไม่ตายดี……
อาการใจลอยของเธอ ทำให้เท้าสะดุดกับก้อนหินจนถึงกับเซ เกือบจะล้มลงไป
ทันใดนั้นความรู้สึกเก็บกดทั้งหมดก็ปะทุขึ้นในตอนนี้ น้ำใสๆ อุ่นๆร่วงลงมาจากดวงตา ปิดบังสายตาจนพร่ามัว
ญาธิดากำหมัดแน่น มุ่งไปที่ซากปรักหักพังแล้วตะโกนขึ้น “ภวินท์! คุณกลับมานะ! ฉันรู้ว่าคุณยังอยู่!”
เสียงของเธอแหบพร่า “ขอเพียงคุณกลับมา ฉันรับปากว่าจะเริ่มต้นใหม่กับคุณ! ฉันจะบอกกับลูกแฝดว่าคุณพ่อที่แท้จริงของพวกเขาเป็นใคร! ขอเพียงคุณยอมกลับมา! ฉันต้องการแค่คุณกลับมา……”
“ภวินท์! ฉันรู้ว่าคุณดวงแข็ง! ขอเพียงคุณกลับมา! ฉันจะรับปากทุกข้อเสนอของคุณ! ฉันจะรับปากคุณทุกอย่างเลย!”
เธอตะโกนใส่กองซากปรักหักพังอย่างคร่ำครวญ แต่สิ่งที่ตอบกลับเธอกลับเป็นเพียงความเงียบสงบ
ร่างของญาธิดาอ่อนแรง ค่อยๆ ทรุดตัวนั่งยองลงบนพื้น ก้มหน้าลงหว่างขาและซอกแขนของเธอ……
ผู้ชายที่เธอรักมาตั้งแต่ต้นจะหายไปแบบนี้จริงเหรอ
ขณะที่ความเจ็บปวดและความสิ้นหวังค่อยๆ เข้ามาปกคลุมตัวเธอนั้น จู่ๆ ด้านหลังมีเสียงชายหนุ่มดังขึ้น “จริงเหรอ”
ญาธิดาเงยหน้าขึ้นด้วยตัวสั่นเทา ใบหน้ายังมีรอยคราบน้ำตา เธอสูดลมหายใจเข้าลึก หันหน้าไปอย่างช้าๆ
ห่างออกไปสองเมตร ผู้ชายที่เธออยากเจอมากที่สุด เวลานี้ได้ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ บนใบหน้ามีบาดแผล ลำตัวเปื้อนเลือด สีหน้าอิดโรย แต่คู่ดวงตานั้นกลับแฝงด้วยความอ่อนโยนและรอยยิ้มจางๆ……
การปรากฏตัวของเขา ราวกับแสงที่สว่างที่สุด ที่ส่องสว่างทุกสิ่งรอบตัวในฉันพลัน
ญาธิดาลุกขึ้นด้วยความลนลาน “คุณ……”
ยังไม่ทันได้พูดอะไร น้ำตาก็ไหลพรากออกมา เธอวิ่งโซซัดโซเซไปด้านหน้า สัมผัสกับร่างหนาบึกบึนตัวเป็นๆ ของชายหนุ่ม เธอร้องไห้ออกมา “คุณ……คุณไม่เป็นอะไร
ภวินท์หรี่ตาลง ดวงตาที่ลึกซึ้งเต็มไปด้วยความจริงใจ “เพื่อเธอแล้ว ฉันจะเป็นอะไรไปได้อย่างไร”
วินาทีนั้น ญาธิดาไม่สามารถที่จะควบคุมหัวใจของตัวเองได้อีก กางสองมือออกแล้วกอดเขาไว้อย่างแน่นหนา “นี่ไม่ความภาพหลอน……”
ฝ่ามืออันอบอุ่นของภวินท์ลูบเข้าที่แผ่นหลังของเธอ ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ไม่ใช่…”
ช่วงเวลาหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความสุขและความเศร้าโศก อารมณ์ต่างๆ พุ่งเข้าใส่หัวใจของญาธิดา เธอจับมือของภวินท์ไว้ ตื้นตันจนอยากจะพูดบางอย่าง แต่ทันทีที่ยืนตรง ก็เกิดหน้ามืด เป็นลมหมดสติไป
“ธิดา!”
ภวินท์กอดเธอไว้ มองดูหญิงสาวที่เป็นลมหมดสติ จึงวิ่งไปทางหลุยส์กับพายุด้วยความตื่นตระหนก “เตรียมรถ! ไปโรงพยาบาล!”
ญาธิดาเกิดฝันร้ายที่ทั้งยาวนานและเจ็บปวดขึ้น
ในฝัน หัวหน้าทีมกู้ภัยพาคนไปขุดอาคารโรงงาน ในที่สุดก็สามารถค้นร่างที่ถูกทับจนเละจนแยกชิ้นส่วนไม่ออก ทีมกู้ภัยให้ทางญาติเซ็นรับศพ เธอเห็นแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของร่างนั้น
แหวนวงนั้น เธอคุ้นตามาก นั่นเป็นแหวนที่เธอใส่ตอนแต่งงานกับภวินท์……
เธอเจ็บปวดอย่างรวดร้าว แต่กลับทำได้เพียงมองดูคนหามร่างนั้นไป สุดท้าย ภาพตัดไป กลายเป็นภาพโลงศพที่หน้าเมรุ เธอมองดูร่างนั้นถูกใส่เข้าไปในกองไฟ ฉับพลัน เปลวไฟลุกไหม้ กลืนกินทุกอย่าง……
เธอตกใจจนตัวสั่นสะท้าน และลืมตาขึ้นทันใด ภาพแรกที่สะดุดเข้ามาใจดวงตาคือฝ้าเพดานสีขาว เธออ้าปากหายใจหอบ พยายามสงบสติตัวเอง
แสงแดดยามบ่ายยังคงเจิดจ้าทิ่มแทงดวงตา แสงแดดสาดส่องลอดผ่านเข้ามาทางช่องว่างผ้าม่านที่ปิดไม่สนิท ทำให้เกิดเงาของลำแสง
ญาธิดาเบนสายตาจากลำแสงที่ทะลุผ่านผนัง มองไปยังด้านข้างอย่างช้าๆ
อีกฝั่งหนึ่งของห้องที่ขนานกับเธอ ยังวางเตียงอีกเตียงหนึ่งไว้ ผู้ชายบนเตียงใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผล แต่กลับเป็นใบหน้าที่เธอคุ้นเคยที่สุด
จู่ๆ หัวใจของญาธิดาก็เต้นเร็วขึ้น เธอสูดลมหายใจเข้าลึก มองใบหน้าที่รูปหล่อของชายหนุ่มคนนั้นอย่างเงียบๆ
นี่เธอยังกำลังฝันอยู่เหรอ นี่เป็นความฝันใช่ไหม”