ดวงใจภวินท์ - บทที่ 688 ปมที่แก้ไม่ได้
บทที่ 688 ปมที่แก้ไม่ได้
ในตอนที่ปกรณ์ตื่นขึ้นมา ก็พบว่าภวินท์กำลังเล่นหมากรุกอยู่กับดร.ยติภัทร ส่วนญาธิดาพาเด็กทั้งสองคนไปจัดสวนอยู่กับคุณปภาวี มีคุณยายนั่งอาบแดดสบายอารมณ์อยู่ข้างๆ
เมื่อลุงทองเห็นภาพสงบเงียบสบายตาตรงหน้า ในใจก็แอบรู้สึกขมขื่น ปกรณ์ควรได้เป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในภาพสวยงามนั้นด้วยซ้ำ
เขาคอยปรนนิบัติรับใช้คุณท่านอย่างซื่อสัตย์มาหลายปี ปัจจุบันต้องมาเห็นคุณท่านทรมานจากอาการป่วยทุกวัน มันทำให้ใจของเขารับไม่ได้เป็นอย่างมาก
ญาธิดาเงยหน้ามองลุงทองที่ยืนเหม่อลอยอยู่ไกลๆ ในใจก็คิดว่าปกรณ์ต้องเป็นอะไรไปอีกแน่ๆ เขาน่าจะไม่กล้าบอกภวินท์ ดังนั้นเลยมาหาเธอแทน
“คุณธิดา คุณท่านตื่นแล้วครับ” เมื่อลุงทองเห็นเธอเดินเข้ามา ก็รายงานความเป็นไปอย่างนอบน้อม
เธอพยักหน้า เอ่ยถามอย่างห่วงใยว่า “ร่างกายคุณท่านเป็นยังไงบ้าง? ตอนนี้ตื่นเต็มตาแล้วหรือยัง”
ลุงทองคาดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นห่วงปกรณ์มากขนาดนี้ หลังจากที่นิ่งไปชั่วครู่ ก็หันไปมองยังบริเวณไม่ใกล้ไม่ไกล “ตอนนี้คุณท่านตื่นเต็มตาแล้วครับ พอได้ยินว่าคุณชายกลับมาเยี่ยมก็ดีใจมาก”
“ฉันเข้าใจแล้ว รอสักครู่นะคะ” ญาธิดาพูดจบ ก็หาเหตุผลโยนสิ่งที่ทำอยู่ให้คุณปภาวีจัดการเองทั้งนั้น จากนั้นก็พาอีธานเดินไปด้วยกัน
สองแม่ลูกเดินตามลุงทองไปยังบ้านพักส่วนตัวที่ปกรณ์ใช้รักษาตัวโดยเฉพาะ ระหว่างทางอีธานกอบกำปลายนิ้วของเธอไว้แน่น เห็นได้ชัดว่ากำลังกลัวปกรณ์
ญาธิดารู้ว่าเขากำลังคิดอะไรในใจ จึงอธิบายเสียงนุ่มนวลว่า “คุณปู่รักแกกับพ่อ เขาไม่มีทางทำร้ายคนที่ตัวเองรักหรอก ดังนั้นไม่ต้องกลัว”
อีธานได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าหงึกๆ ฝีเท้าเปลี่ยนมาก้าวเดินอย่างผ่อนคลาย
“แม่ครับ ทำไมคุณปู่เรียกผมเป็นชื่อพ่อล่ะ?” เขาเอียงคอ เอ่ยถามอย่างสงสัย
ญาธิดาเงียบไปนาน จากนั้นก็ค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา อดยื่นมือออกไปลูบหัวของเขาไม่ได้ “มีแต่คนบอกว่าแกกับพ่อแกตอนเด็กๆเหมือนกันมาก ตอนนี้คุณปู่จำอะไรไม่ได้ แต่พอเขาเห็นแกก็นึกถึงพ่อของแก นั่นแปลว่าเขารักพ่อของแกยังไงล่ะ”
“คุณปู่รักคุณพ่อ งั้นอีธานก็รักคุณปู่ด้วย!”อีธานมองไปยังชายชราที่อยู่ในบ้าน บนใบหน้าน่ารักเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส
ปกรณ์ตื่นขึ้นมาแล้ว เมื่อเห็นญาธิดาเดินจูงมืออีธานเข้ามาหา ดวงตาก็ฉายแวววูบโหวง แต่ก็ยังโบกมือให้ทั้งสองคนอยู่ดี
“คุณท่าน ดีขึ้นหรือยังคะ?” ในน้ำเสียงแผ่วเบาของเธอพกพาความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด
“แค่ฝืนหายใจไปวันๆ” เสียงอิดโรยของปกรณ์เต็มไปด้วยความอ้างว้าง จากนั้นก็ยิ้มเยาะตัวเอง เอ่ยย้อนถามเสียงเบาว่า “แกมาที่นี่เพื่อสมน้ำหน้าฉันล่ะสิ”
เมื่อญาธิดาเห็นว่าเขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงกรุ่นโกรธ จึงอุ้มอีธานขึ้นมานั่งลงตรงหน้าเขา ปกรณ์กวาดสายตามองเด็กในอ้อมกอดของเธอ ดวงตาที่ตอนแรกไร้ชีวิตชีวาพลันเป็นประกายขึ้นมาในทันที
ก่อนหน้านี้เขาไม่สังเกตเห็นเด็กคนนี้เลย ตอนนี้พอได้เห็นอีธาน มือผอมแห้งก็สั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้ “เด็กคนนี้…..”
“เขาชื่ออีธานค่ะ เป็นลูกของฉันกับวิน เรายังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน วันหลังเดี๋ยวพามาเจอนะคะ”
“ลูกของวิน……” ปกรณ์พึมพำเสียงเบา ค่อยๆยื่นมือออกไป ราวกับอยากแตะตัวอีธาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังลังเล มือที่สั่นเครือจึงนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ
อีธานเห็นแบบนั้นก็ยื่นอุ้งมืออวบอิ่มไปจับปลายนิ้วของคุณปู่เอาไว้ เอ่ยเรียกเสียงหวานว่า “คุณปู่”
“หือ”ปกรณ์รีบขานรับ ลึกในดวงตาชื้นไปด้วยหยาดน้ำ “เด็กคนนี้เหมือนวินตอนเด็กๆราวกับแกะ ถอดแบบออกมาเหมือนกันเป๊ะๆเลย”
ญาธิดาเห็นเขาไม่ต่อต้านอีธาน ซ้ำยังเป็นฝ่ายเอ่ยถึงภวินท์ก่อน เธอจึงเอ่ยพูดต่อขึ้นมาว่า “ครั้งนี้ที่ฉันพาอีธานมาหา เพราะอยากให้คุณท่านช่วยแก้ปมในใจของอีธาน”
“แกมาหาผิดคนแล้ว เขาไม่มีทางให้อภัยฉันหรอก” ปกรณ์อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ฉันหลงผิดตอนที่ยังเป็นหนุ่ม ทำให้วินกับวิไลต้องเสียใจ”
“คุณท่านลืมทุกอย่างในขณะที่ป่วย สิ่งเดียวที่ไม่ลืมคือภรรยาและลูก แสดงว่าในใจของคุณท่านยังคงคิดถึงพวกเขามาตลอด ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วทำไมไม่เปิดใจคุยกับวินให้รู้เรื่องล่ะคะ?”
เมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนี้ ในใจของปกรณ์ก็สั่นไหว บนใบหน้าปรากฏแววลังเล
เขาอายุปูนนี้แล้ว แน่นอนว่าอยากปลดล็อกความบาดหมางระหว่างลูกชาย และชดใช้สิ่งที่ติดค้างตลอดหลายปีที่ผ่านมาให้ลูกชาย แต่เขารู้จักนิสัยของภวินท์ดี เขารู้ว่าระหว่างเขากับลูกไม่มีทางกลับมาคืนดีกันได้แล้ว
ญาธิดาเห็นว่าเรื่องมันยังพอมีทางไป จึงรีบเอ่ยโน้มน้าวว่า “อนาคตของวินยังอีกยาวไกล คุณท่านอยากให้เขาใช้ชีวิตอยู่กับปมในวัยเด็กตลอดไปจริงๆเหรอ?”
เธอพูดมาถึงตรงนี้ ในที่สุดปกรณ์ก็ตัดสินใจได้ เขาพยักหน้าอย่างหนักอึ้ง แล้วเอ่ยพูดต่อว่า “เมื่อก่อนฉันทำร้ายแกเอาไว้มากมาย แกเกลียดฉันไหม?”
“เกลียดสิ!”
เธอตอบอย่างเฉียบขาด มองมาที่ปกรณ์ด้วยสายตาวาวโรจน์ น้ำเสียงเย็นชากว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า “ฉันไม่ใช่แม่พระ ไม่มีทางอภัยให้คนที่ทำร้ายคนของฉันง่ายๆหรอกค่ะ วันนี้ที่ฉันมาที่นี่ไม่ใช่เพราะว่าฉันให้อภัยคุณท่านแล้ว แต่เพื่อพ่อของลูกฉัน เพื่อสามีของฉัน”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น จู่ๆภวินท์ก็มาปรากฏตัวที่นี่
สีหน้าของเขาเยือกเย็นราวน้ำแข็ง สายตามองมาที่ญาธิดาแน่นิ่ง เดินเข้าไปดึงเธอเข้ามายืนอยู่ข้างตัวเอง “เอลล่างอแงหาคุณ เรากลับกันเถอะ”
“วิน…..” ปกรณ์ยันตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ มองมาที่เขาด้วยใบหน้าผิดหวัง
ในตอนนี้เองภวินท์ก็หันกลับมา แววตาพกพาความห่างเหิน “พ่อพักผ่อนเถอะ พวกผมยังมีธุระต่อ”
“วิน เราสองพ่อลูกมาคุยกันหน่อยได้ไหม?” เสียงของปกรณ์เต็มไปด้วยความหวัง
ญาธิดาเข้าใจว่าคำพูดที่เธอพูดก่อนหน้านี้ทำให้เขายอมได้ จึงตัดสินใจพาอีธานออกไปก่อน เพื่อให้พวกเขาทั้งสองคนได้คุยกันตามลำพัง
ก่อนที่เธอจะได้เดินออกไป กลับไม่คิดเลยว่าภวินท์จะชี้ไปยังที่นั่งข้างๆ “ให้ธิดาอยู่ด้วย”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ทำตัวร้ายกาจกับญาธิดา ภวินท์จึงหยุดเดิน แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา หัวใจที่แขวนอยู่ของปกรณ์จึงค่อยๆผ่อนคลายลง
“วิน เรื่องในตอนนั้น…”
“ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอดีต” ภวินท์ขัดจังหวะเขาอย่างเย็นชา
ดวงตาที่ฝ้าฟางของปกรณ์เริ่มหม่นแสงลงเรื่อยๆ มองมาที่เขาแล้วถามว่า: “แกยังไม่ยกโทษให้ฉันใช่ไหม?”
“พ่อเป็นพ่อของผม ไม่จำเป็นต้องให้ผมให้อภัยก็ได้ ไม่ใช่เหรอ? ” ภวินท์เยาะเย้ยและถามกลับ
ไม่มีคำว่า “ให้อภัย” ในโลกของเขา
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวัยเด็กยังคงชัดเจนอยู่ในใจ ที่เขากลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้ก็เกิดจากพ่อที่อยู่ตรงหน้าเขา
ปกรณ์ได้ยินดังนั้น ราวกับว่าพลังทั้งหมดของเขาหมดลง เขาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ หอบหายใจอย่างหนักอยู่นานถึงได้โบกมืออย่างยอมแพ้ “ฉันเหนื่อย พวกแกกลับไปเถอะ”
ภวินที์ขมวดคิ้วเล็กน้อย จับมือของญาธิดาแล้วลุกขึ้นจากไป ขณะที่อีธานหันมามองปกรณ์ แล้วเอ่ยปลอบโยนอย่างไร้เดียงสา: “คุณปู่ คุณปู่ต้องดูแลตัวเองดีๆนะครับ วันหลังนผมจะมาหาคุณปู่อีกแน่นอน”
ในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของปกรณ์ เมื่อมองตามแผ่นหลังของสามคนพ่อแม่ลูก เขาก็พูดเบา ๆ ว่า “ถ้ามีเวลาพาธิดาไปหาวิไลหน่อยนะ แม่แกคงจะดีใจมาก”
“เข้าใจแล้ว” ภวินท์ไม่หันกลับมามอง แต่ก้าวออกจากลานบ้าน