ดวงใจภวินท์ - บทที่ 733 ความพยายามที่ไร้ความหมาย
พายุดำเนินเรื่องเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขับรถพาญาธิดากับภวินท์ตรงไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
คนข้างในเหมือนจะรู้จักภวินท์ เมื่อเห็นทั้งสองคนลงมาจากรถ ก็เชื้อเชิญให้พวกเขาเข้าไปในห้องสอบสวนที่รอบด้านมีแต่หน้าต่างเหล็กด้วยท่าทางนอบน้อม
มือทั้งสองข้างของชยินถูกล็อกด้วยกุญแจมือ แนบติดกับเก้าอี้อย่างแน่นหนา เวลาแค่ไม่กี่วันสภาพของเขากลับผอมโทรมลงอย่างไม่เหลือเคล้าเดิม ยิ่งตอหนวดที่เริ่มผุดขึ้นมาเหมือนหญ้าลกๆยิ่งทำให้เขาดูไม่มีรัศมี
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็ค่อยๆเงยหน้ามองไปทางประตู วินาทีที่เห็นญาธิดา ดวงตาที่ตอนแรกไร้ซึ่งแววโทสะพลันมีไฟโกรธพวยพุ่งออกมา
“คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะกล้ามา” เขากัดฟันกรอดพร้อมเอื้อนเอ่ยขึ้นมา
ญาธิดาเดินมานั่งลงตรงหน้าเขา ตอบกลับอย่างเฉยชาว่า “ได้ยินว่านายอยากเจอฉัน ก็เลยอยากมาฟังน่ะว่านายจะพูดอะไรกับฉันกันแน่”
เขาค่อยๆเผยรอยยิ้มดุร้ายน่ากลัว ยิ่งขับให้รอยแผลบนหน้าผากดูดุร้ายมากกว่าเดิม “ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะ ฉันจะไม่ยอมรับสารภาพ แล้วฉันก็ไม่กลัวการติดคุก ถ้าฉันออกมาได้ ฉันจะเอาชีวิตเธอแน่ๆ”
หัวคิ้วของญาธิดาขมวดมุ่น มองมาที่เขาอย่างแปลกใจ “นิวราไม่เคยรักนายเลย การที่นายทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อช่วยเธอในครั้งนี้ คิดว่ามันคุ้มเหรอ?”
“ปากเสีย” ชยินจ้องหน้าเธออย่างโกรธเกลียด พร้อมขึ้นเสียงสูง ตะคอกออกมาอย่างเดือดดาลว่า “คุณหนูรับรู้ถึงความจริงใจของฉัน เธอตกลงกับฉันเอาไว้แล้ว ว่าถ้าเธอออกมาได้เธอจะยอมคบกับฉัน”
ญาธิดายกแก้วน้ำข้างๆขึ้นมาสาดใส่เข้าอย่างไม่หยุดคิด น้ำเย็นถึงกระดูกสาดลงบนหน้าของเขาเต็มๆ
“หยุดหลอกตัวเองได้แล้ว นายรู้จักนิวราดีกว่าใคร นายคิดว่าเธอจะยอมทิ้งตัวตนและฐานะมาคบกับคนอย่างนายหรือไง เธอจริงใจหรือแค่เสแสร้ง นายคงรู้ดีเป็นที่สุด!”
คำพูดเหล่านี้เสียดแทงหัวใจของชยินอย่างจัง เขาเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่ได้ พยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากพันธการที่กักกันเขาเอาไว้ ชั่วขณะนั้นภายในห้องสืบสวนพลันเต็มไปด้วยเสียงของโลหะเสียดสีกัน
ภวินท์จ้องมองทั้งสองคนผ่านกรงเหล็กอย่างไม่กะพริบตา ไม่นานก็จับใจความเบาะแสอะไรบางอย่างได้จากปากของชยิน จึงรีบออกคำสั่ง “นำวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับนิวราทั้งหมดมาตัดรวมกัน แล้วทำเป็นรายงานคร่าวๆ เดี๋ยวนี้”
เมื่อญาธิดาเห็นชยินคลุ้มคลั่ง ในใจก็เกิดสงสาร แต่เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเขากับนิวราร่วมมือกันเล่นสกปรกกับเธอ ความสงสารถึงได้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นความสะใจ
ต่อให้วันนี้เธอใจอ่อนปล่อยชยินไป พรุ่งนี้ชยินก็คงคิดหาทางกำจัดเธออยู่ดี ที่เขามีสภาพน่าสงสารแบบนี้ก็เพราะว่าทำตัวเองทั้งนั้น ผลลัพธ์ในวันนี้เป็นสิ่งที่ชยินสมควรโดนทั้งนั้น เธอไม่จำเป็นต้องไปสงสารพร่ำเพรื่อ
“เธออย่าคิดที่จะปลุกปั่นความรู้สึกของฉันกับคุณหนู เธอนั่นแหละเป็นคนทำลายคุณหนูของฉัน แถมยังแย่งทุกอย่างของคุณหนูไป ตราบใดที่ฉันยังไม่ตาย ก็จะเอาเลือดเธอมาล้างเท้าให้ได้”
ชยินไม่หยุดดิ้นทั้งยังตะคอกออกมา จดจ้องเธอไม่เลื่อนสายตาไปไหน ราวกับว่าจะจดจำใบหน้าของคนที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำให้ขึ้นใจ
กุญแจข้อมือบาดข้อมือของเขาจนมีเลือดซิบ แต่เขาก็ยังไม่รู้ตัว ราวกับว่าไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้น
เก้าอี้ที่ยึดติดอยู่กับพื้นขยับไหวตามการกระทำที่รุนแรงของเขา จนสนิมที่เกาะอยู่ตามเก้าอี้เหล็กหล่นลงบนพื้น
สีหน้าของญาธิดาค่อยๆแข็งค้าง เธอถอยหลังไปทางประตูโดยอัตโนมัติ พร้อมกับมองมาที่ชยินอย่างหวาดระแวง
ด้านนอก หลุยส์เดินตามเข้ามาอย่างเร่งรีบ ยื่นแผ่นซีดีที่สั่งทำเป็นพิเศษให้ตำรวจ แล้วหันมามองภวินท์พร้อมเอ่ยพูดขึ้นมาว่า “นายกับธิดาจะเอามันไปทำอะไร หรือคิดที่จะทำให้ชยินมาเป็นพวกเดียวกัน?”
“เพื่อให้เขาตายใจ และยอมรับสารภาพผิดแต่โดยดี” ภวินท์ตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง
เคร้ง——
ในห้องสืบสวนพลันมีเสียงดังขึ้นมา ผู้คนภายนอกต่างหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปในห้องสืบสวนทันที
เก้าอี้ที่ชยินนั่งอยู่ไม่สามารถทนการขยับอย่างรุนแรงของเขาได้ หลุดออกจากที่ยึดจนตัวเก้าอี้เอนจะล้ม
ชยินนั่งอยู่บนเก้าอี้เอียงๆด้วยท่วงท่าแปลกๆ สายตายังคงจดจ้องมาที่ญาธิดาไม่เลื่อนหนีไปไหน จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่รีบเข้ามาควบคุมตัวเขาเอาไว้อีกครั้ง
ญาธิดาขยับพิงอ้อมกอดของภวินท์ พร้อมหอบหายใจรุนแรง หัวใจเอาแต่เต้นรัวอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดไม่หย่อน เธอไม่คิดเลยว่าชยินจะเกลียดเธอได้ถึงขนาดนี้
“หลุยส์เอาของมาแล้ว ไม่ต้องห่วง”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงมีเสน่ห์ของภวินท์ อารมณ์เครียดเกร็งของเธอก็ค่อยๆผ่อนคลายลง
เจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนก่อนหน้านี้เดินหอบเครื่องฉายโปรเจ็คเตอร์เข้ามา แล้วนำมาวางไว้ตรงหน้าของชยิน แล้วกดปุ่มเปิดช้าๆ
ร่างกายผ่ายผอมของนิวราพลันปรากฏเข้ามาในวิดีโอ เดินตรงไปข้างหน้าเพื่อคุยกับคนที่มาเยี่ยม ซึ่งก็คือชยินที่กำลังรอเธออยู่อีกฟาก
เนื้อหาถัดมาที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องให้ชยินดู เขาก็สามารถจดจำได้ทุกคำพูดและสีหน้าของนิวราได้อย่างขึ้นใจ
คุณหนูบอกว่าชอบเขา คุณหนูยอมที่จะคบกับเขา ทั้งสองคนตกลงกันไว้ดิบดีว่าจะซื้อบ้านแถบชานเมืองด้วยกัน เพื่อใช้ชีวิตคู่อย่างสุขสบาย
เมื่อหมดเวลาเยี่ยม ภาพของชยินก็หายไปจากหน้าจอ นิวราค่อยๆผุดตัวลุกขึ้น ใบหน้าบอบบางขาวผ่องพลันปรากฏแววรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าวิดีโอจะไม่มีเสียง แต่เขาก็ยังอ่านปากของนิวราได้ใจความว่า “ถุย คิดว่าตัวเองเป็นใคร”
สายตาของเขาจดจ้องภาพตรงหน้าเขม็ง นิ้วมือทั้งสิบกำท่อเหล็กที่เจ้าหน้าที่ใช้กดเขาเอาไว้แน่น ใบหน้ามีแต่ความนิ่งอึ้ง
ภาพในกล้องเปลี่ยนไป ตัดภาพมาที่ผู้หญิงหลายคนเข้ามาล้อมนิวราเอาไว้ กำลังพูดจาเย้ยหยันเธออย่างไร้ความปรานี
เสียงหัวเราะแสบแก้วหูดังออกมาจากเครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์
นิวรานั่งยองอยู่บนพื้น กอดอกตัวเองแน่น กัดฟันแล้วพูดว่า “ฉันคือภรรยาของภวินท์ ถ้าพวกแกกล้าทำอะไรฉัน วินไม่ปล่อยพวกแกไปแน่”
แต่ไม่คิดเลยว่า ผู้หญิงพวกนั้นจะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง มือหลายคู่ต่างเอื้อมออกมาผลักตัวของเธอพร้อมๆกัน ปากก็เอาแต่สาดคำเยาะเย้ยออกมา
สีหน้าของนิวราย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจเปลี่ยนเป็นถี่กระชั้น สุดท้ายก็ทรุดตัวนอนกุมหน้าอกตัวเองอยู่บนพื้นในชุดนักโทษ แล้วเอ่ยพูดอย่างอ่อนแรงว่า “วิน ช่วยด้วย…..”
ยังพูดไม่ทันจบ เธอก็รู้สึกเหมือนถูกดูดพลังออกไปจนหมด ลมหายใจพลันหยุดนิ่ง คนอื่นๆเริ่มลนลาน รีบไปเรียกคนดูแลมาดู และวิดีโอก็ดำเนินมาถึงแค่ตรงนี้
ชยินจ้องนิวราในวิดีโอนิ่ง กรอบตาแดงก่ำขึ้นมาโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว เอ่ยพึมพำขึ้นมาว่า “เป็นอย่างนี้ได้ยังไง…..”
ทำไมประโยคสุดท้ายที่คุณหนูพูดออกมา ถึงได้เป็นชื่อของภวินท์!
“เป็นไปไม่ได้!นี่ไม่ใช่เรื่องจริง!” จู่ๆเขาก็ตะโกนออกมาจนเสียงแตก ดวงตาแดงฉานถลึงใส่ญาธิดา เค้นเสียงออกมาคอแหบคอแห้ง “นี่เป็นแผนที่เธอสร้างขึ้นมาแน่ๆ คุณหนูไม่มีทางโกหกฉัน”
เมื่อญาธิดาเห็นท่าทางหลงมัวเหมาของเขา ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “คุณอยู่ที่นี่มาห้าปี คุณน่าจะรู้ดีกว่าใครว่าวิดีโอนี้ของจริงหรือของปลอม”
ชยินได้ยินแบบนั้น ก็ทำได้เพียงส่งเสียงหัวเราะออกมา ในเสียงหัวเราะบ้าคลั่งเต็มไปด้วยความขมขื่น เขาหยุดดิ้น นั่งนิ่งๆอยู่บนเก้าอี้ด้วยดวงตาที่เลื่อนลอยและว่างเปล่า
“ชยิน ความพยายามของคุณมันไม่มีความหมายหรอก ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องฝืนอีกแล้ว เพราะฉะนั้นยอมรับสารภาพเถอะ” เธอเอ่ยพูดเบาๆ
เธอไม่รู้ว่าชยินได้ยินที่เธอพูดหรือเปล่า เขานิ่งเหมือนเป็นแค่หุ่นกระบอก พร้อมกันนั้นก็กดปั๊มลายนิ้วมือลงบนเอกสารด้วยสีหน้าว่างเปล่า