ดวงใจภวินท์ - บทที่ 736 เอาชนะความกลัว
บทที่ 736 เอาชนะความกลัว
วันรุ่งขึ้น ญาธิดาลากขาที่เจ็บของเธอเดินออกมา และทันทีที่เธอเข้ามาในสนามฝึกใต้ดิน เธอก็เห็นอลิสามองมาด้วยท่าทางแซวๆ
ญาธิดารู้สึกอึดอัดที่อีกฝ่ายเธอจ้องมองมาอย่างนี้ จึงถามด้วยความเขินอายเล็กน้อย “วันนี้ฉันดูแปลกๆ เหรอ”
“ธิดา สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะ” น้ำเสียงของเธอชวนให้อยากรู้อยากเห็นมากกว่าการแสดงออกบนใบหน้าเสียอีก
ญาธิดาเอาหลังมือแตะแก้มแล้วพูดพึมพำอย่างสงสัย “ฉันว่าก็ไม่เห็นเป็นไรนะ”
อลิสาเดินวนรอบตัวเธอ ประกายในดวงตาของอลิสาสว่างขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็แตะหลังเธอด้วยข้อศอกพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ทำไม? เมื่อคืนน้องสาวได้รับน้ำหล่อเลี้ยงมาเหรอ?”
เมื่อญาธิดาได้ยินแบบนั้น แก้มของเธอก็แดงทันที เธอรีบหันไปปิดปากของอลิสา และกลอกตามองอีกฝ่าอย่างหมดคำจะพูด
ภวินท์และหลุยส์ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่จะใส่วันนี้แล้ว ทั้งคู่อยู่ในชุดทหารสีเขียว ยิ่งขับให้ร่างกายล่ำสันกำยำของพวกเขาสูงขึ้น
“เธอสองคนยังมีอารมณ์มาเล่นตลกกันที่นี่อีหเหรอ วันนี้ถึงเวลาที่พวกเธอจะร้องไห้แล้ว” หลุยส์บ่นด้วยเสียงต่ำ จากนั้นก็คว้าข้อมือของอลิสาแล้วดึงเธอออกไป
ประกายแดงระเรื่อบนหน้าของญาธิดายังไม่จางหายไป เมื่อเห็นภวินท์ยืนอยู่ข้างหน้าเธอ แก้มของเธอก็ยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม เธอก้มหน้าลงแล้วถามเสียงเบาว่า “วันนี้คุณหมอไม่ต้องฝึกกับฉันเหรอ? ”
“อืม หลุยส์จะสอนเธอเอง” ภวินท์จับมือเล็กๆของเธอและกระซิบเบาๆ “หวังว่าคุณจะรับการฝึกในวันนี้ได้”
ขณะที่ทั้งสองพูด พวกเขาก็เดินไปที่ห้องปิดสนิทข้างๆ ทันทีที่ประตูเหล็กหนักๆเปิดออกด้วยสัญญาณอัตโนมัติ อาการหน้าแดงของญาธิดาก็จางหายไปทันที ถูกแทนที่ด้วยสีขาวซีด
ขนาดของห้องนั้นใหญ่มาก ขนาดแค่หายใจก็ยังมีเสียงสะท้อน
เมื่อเดินเข้ามาในประตูจะเห็นแท่นสีแดงขนาดใหญ่สะดุดตาอยู่ตรงกลางห้อง ตรงจุดที่สูงที่สุดของแท่นสีแดงมีเป้าวงกลมสีแดงสลับขาวหลายอันตั้งอยู่ แถมยังมีอาวุธต่างๆ แขวนอยู่สองข้างของกำแพงสีเขียวเข้ม แค่เห็นก็ให้ความรู้สึกเยือกเย็นแล้ว
ญาธิดาอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปสองก้าว ร่างกายที่ผอมเพรียวของเธอหยุดสั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความกลัวที่ถูกครอบงำด้วยความทรงจำ
เธอนั่งยองๆ บนพื้น จับศีรษะด้วยความเจ็บปวด และภาพตอนที่เธอเล็งปืนไปที่ภวินท์ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเธออีกครั้ง
“ธิดา มันผ่านมาแล้ว” ภวินท์รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อโอบเธอไว้ในอ้อมแขน และปลอบเธอเบาๆ “ใจเย็นๆ ไม่มีใครทำร้ายคุณได้…”
ญาธิดาฟังหูซ้ายทะลุออกหูขวา หลับตาและพึมพำกับตัวเอง: “ฉันไม่อยากทำ ฉันทำไม่ได้จริงๆ”
“ธิดา!” หัวใจของภวินท์กระตุก ความรู้สึกเจ็บปวดพลันเอ่อล้นออกมาอย่างเงียบ ๆ แต่ก็ถูกเขาระงับเอาไว้ได้
เขาไม่อยากใจอ่อน เขาอยากให้เธอเผชิญสิ่งนี้ แม้ว่าความทรงจำที่บ้านพักจะถูกเธอเก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แต่ก็ต้องมีระเบิดออกมาสักวัน และธิดาก็ไม่ควรต้องมาติดอยู่ภายใต้เงาของเหตุการณ์นี้ตลอดไป
เขาขมวดคิ้ว ขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว ดึงไหล่ของเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม: “มองมาที่ผม! ถ้าคุณอยากอยู่ที่ozone คุณก็ต้องผ่านสิ่งนี้ไปให้ได้ คุณหนีมันไปตลอดไม่ได้หรอก!”
“วิน ได้โปรด…” เธอพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา พร้อมสะอื้นเสียงร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
เธอกำแขนเสื้อของเขาแน่นราวกับว่ากำลังถือฟางช่วยชีวิตสุดท้ายเอาไว้
เมื่อเห็นท่าทางอ่อนแอของเธอ ดวงตาของภวินท์ก็ทอแววใจอ่อน เอนตัวแนบกับหูของเธอและกระซิบ: “ยอมแพ้เถอะ ทางสายนี้ไม่เหมาะกับคุณหรอก”
ญาธิดาเงยหน้าขึ้นอย่างลังเล ขนตาหนาเป็นแพรของเธอก็เปียกเล็กน้อย ดวงตาที่มัวหมองมีแต่ความลังเล
ยอมแพ้?
กว่าเธอจะได้โอกาสนี้มาก็ไม่ใช่ง่ายๆ เธอไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ และเธอไม่อยากเสียโอกาสที่จะได้อยู่เคียงข้างภวินท์ไป แต่ว่าของพวกนี้…
ผ่านไปนานพอสมควร เธอก็ดิ้นออกจากอ้อมแขนของภวินท์ ค่อยๆพยุงขาสั่นๆลุกขึ้นยืน พร้อมเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาเบาๆ และพูดอย่างหนักแน่นว่า “ถ้าสถานการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง ฉันจะไม่ทำอะไรตามอำเภอใจอีกแล้ว
หลังจากพูด เธอก็พยักหน้าให้ภวินท์อย่างขึงขัง
“อืม”
ภวินท์ตอบเบา ๆ ดึงเธอไปที่ขอบของแท่นสีแดง หยิบปืนที่ค่อนข้างใช้งานง่ายจากผนังข้างๆ มาวางมันไว้ข้างหน้าเธอ
สำหรับญาธิดาที่ได้สัมผัสกับมันเป็นครั้งแรก มันไม่ถือว่าเบาพอมาอยู่ในมือเธอ แต่เธอยังคงกัดฟันและยืนกราน ถือปืนให้อยู่ในตำแหน่งขนานกับขากรรไกรล่างของเธอ
แขนของภวินท์เลื่อนไปข้างหลังเธอ ปรับตำแหน่งของปืนให้พอดีสำหรับเธอ และพูดด้วยเสียงต่ำว่า “แขนกับมือของคุณต้องไม่สั่น ถ้าอยากเรียนรู้ก็ต้องเอาชนะความกลัวในใจให้ได้”
เธอได้ยินแบบนั้นก็หายใจเข้าลึก ๆ ปรับท่าทางตามคำแนะนำของภวินท์ และจ้องไปที่เป้าสีแดงในระยะไกลผ่านกากบาท
เมื่อเสียง”ปัง” ดังขึ้นมา ลูกกระสุนพุ่งก็พุ่งออกมาจากกระบอก ตัดผ่านอากาศพุ่งตรงไปข้างหน้า แรงกระแทกมหาศาลจากแรงลูกกระสุน ทำให้ญาธิดาก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ จนแผ่นหลังแนบชิดกับหน้าอกอันร้อนระอุของภวินท์
ทั้งสองมองไปที่เป้าที่อยู่ไกลๆพร้อมกัน กระสุนสีเงินที่เพิ่งยิงออกไปถูกฝังไว้บนเป้าอย่างแน่นหนา แม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ตรงกลาง แต่ก็ไม่ได้เบี่ยงเบนไปไกลมากนัก
“วินท์!” ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความดีใจ เธอหันหลังโถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของ ภวินท์ อุทานอย่างตื่นเต้น “ฉันทำได้แล้ว คุณเห็นไหม”
ริมฝีปากของภวินท์ยกโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว และพูดเบา ๆ ว่า “ก็ไม่เลว ถือว่ามีพรสวรรค์”
“คำชมลวกๆแบบนี้ เพิ่งเคยได้ยินจากคุณเป็นคนแรกเนี่ยแหละ ฉันยิงครั้งแรกแต่โดนเป้าก็ถือว่าเก่งมากๆแล้วไม่ใช่หรือไง?” เธอแสร้งทำเป็นไม่พอใจ และทำหน้าบึ้งถาม
“เก่งก็เก่งครับ”
ได้ยินแบบนี้ญาธิดาถึงพอใจ จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่คุณเถอะ ผลงานครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง”
ภวินท์ตอบอย่างเรียบนิ่ง “โดนเป้าเต็มๆ”
เมื่อเขาพูดออกมา การสนทนาระหว่างทั้งสองพลันตกอยู่ในความเงียบงัน
ในที่สุดญาธิดา ก็เข้าใจว่าทำไมวิธีชมเชยผู้คนของเขาจึงค่อนข้างดูเหมือนไม่ใช่คำชม นั่นก็เพราะที่เธอทำได้มันอยู่ในระดับ “ไม่เลว” ในสายตาขอภวินท์เท่านั้น และมันก็ห่างไกลจากเขามาก
“คุณหมอพูดถูกจริงๆ โลกนี้มีเส้นแบ่งกั้นระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าจริงๆด้วย” เธออดไม่ได้ที่จะขยับปากเอื้อนเอ่ยขึ้นมา และขณะพูด เธอก็หยิบปืนขึ้นมาอีกครั้ง
ในห้องชั้นบน หลุยส์และจรณ์กำลังดูกล้องวงจรปิดด้วยกัน โดยจับจ้องทุกย่างก้าวของญาธิดาและภวินท์ไม่ให้คลาดสายตา
“ธิดาเป็นคนเก่ง” หลุยส์อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า“ไม่เหมือนคนที่ฉันต้องฝึก โง่จนต้องร้องขอชีวิต ตลอดทั้งเช้าขาดแค่ลูกดอกแค่ลูกเดียวก็ยังปาไม่โดน””
จรณ์พอใจมาก จ้องไปที่ญาธิดาที่ในกล้องวงจรปิด แล้วพูดเสียงเบาว่า “ศักยภาพของคนเรามันไม่มีขีดจำกัดหรอก ที่อลิสาเรียนรู้ไม่ได้ เพราะแรงจูงใจยังไม่มากพอ ดูเหมือนว่าธิดาจะได้กลับบ้านในอีกไม่กี่วัน”
“กลับบ้าน?” หลุยส์พูดไม่ออก “อีกไม่กี่วันมีภารกิจต้องทำไม่ใช่เหรอ? ธิดาไม่ต้องเข้าร่วม?”
“สำนักงานใหญ่ส่งคนมาปฏิบัติภารกิจ และธิดาต้องคอยช่วยอยู่ข้างๆ” การแสดงออกในดวงตาของจรณ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย มีแสงสลัวปรากฏขึ้น “วันนี้ต่างหากคือด่านสุดท้ายของเธอ ถ้าเธอผ่านด่านนี้ไปได้ ภารกิจที่เธอต้องปฏิบัติถึงจะถือว่าผ่านไปด้วยดี”
หลุยส์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ขบคิดตามคำพูดของเขาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “คุณหมายถึง… สำนักงานใหญ่ส่งคนนั้นมาที่นี่เหรอ?”
ได้ยินแบบนี้ญาธิดาถึงพอใจ จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “ว่าแต่คุณเถอะ ผลงานครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง”
จรณ์พยักหน้าเล็กน้อย และปิดจอภาพด้วยใบหน้ามืดมน