ดวงใจภวินท์ - บทที่ 756 เด็กเป็นยังไงบ้าง
บทที่ 756 เด็กเป็นยังไงบ้าง
เหล่าบรรดานักข่าวปิดล้อมอยู่ตรงประตูของ STN Groupมองดูด้วยความรีบร้อนกระวนกระวาย พวกเขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่มีเวลาได้กินข้าวแล้วก็ไม่กล้าดื่มน้ำด้วย กลัวว่าจะพลาดข่าวข้อมูลดิบไป
แต่ว่าทั้งสองคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่เช้าตรู่ อย่าว่าแต่สัมภาษณ์เลย ทุกคนยังไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? STN Groupไม่ต้องการที่จะทำการประชาสัมพันธ์หรือไง? ทำไมถึงเวลาแล้วยังไม่โผล่ออกมาอีก?”
“อาจจะกำลังปรึกษาหารือกันอย่างเร่งด่วนว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงอยู่ก็ได้นะ?”
“นี่มันไม่เหมือนกับสไตล์ในการจัดการปัญหาต่างๆ ของ STN Groupเลยนะ หรือว่าพวกเราไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง?”
“รออีกหน่อยสิ ต่อให้จะหลีกเลี่ยงปัญหายังไงก็ไม่มีทางละทิ้งบริษัทไปอย่างไม่แยแสสนใจหรอก พวกเราคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ถูกต้องแล้ว”
ระหว่างที่พูด ไม่รู้ว่าใครชี้ไปทางประตูของบริษัทพร้อมกับพูดตะโกนขึ้นมา “รีบดูสินั่นมันญาธิดานี่นา!”
พวกนักข่าวแววตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ไม่สนใจเลยว่าฝูงชนที่แออัดตรงเข้ามาล้อมเธอเอาไว้จนแน่นเบียดเสียดไปหมด
ญาธิดาเริ่มรู้สึกกระวนกระวายและหงุดหงิดอยู่ภายในใจ เรียกบอดี้การ์ดให้เข้ามาแหวกทางอย่างรีบร้อนทันที จากนั้นก็วิ่งไปถึงริมถนน โบกมือเรียกรถแท็กซี่ ขึ้นไปบนรถแล้วจากออกไปทันที
พวกนักข่าวตอบสนองกลับมาไม่ถูกอยู่สักพัก
“ญาธิดามาถึงบริษัทตั้งแต่เมื่อไร ทำไมพวกเราถึงไม่เห็นเลยล่ะ”
“บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเจรจากับคุณภวินท์ล้มเหลว ก็เลยวิ่งออกมาอย่างไม่แยแสสนใจ ดูท่าทั้งสองคนน่าจะหย่ากันจริงๆ แล้วล่ะ”
“ในเมื่อเธอออกมาจากข้างในบริษัท ถ้าอย่างคุณภวินท์จะต้องอยู่ในบริษัทแน่ๆ พวกเรายังต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ต่อไปไหม?”
“บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเจรจากับคุณภวินท์ล้มเหลว ก็เลยวิ่งออกมาอย่างไม่แยแสสนใจ ดูท่าทั้งสองคนน่าจะหย่ากันจริงๆ แล้วล่ะ”
ไม่ทันได้ครุ่นคิดอะไรมากมาย พวกนักข่าวก็ตัดสินใจได้ทันที
ต่อให้พวกเขาเฝ้าอยู่ที่นี่ก็ถามหาสาเหตุอะไรไม่ได้อยู่ดี ที่ได้มาก็มีแต่คำพูดที่ตอบมาแบบเดิมๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่เท่านั้น ในเมื่อพวกเขาก้าวก่ายภวินท์ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็สู้ตามญาธิดาไปเลยตรงๆ ก็แล้วกัน
รถติดกล้องจำนวนมากมายตามอยู่ข้างหลังรถแท็กซี่ ผ่านไปสักพักก็มาจอดตรงประตูของโรงพยาบาลสูตินรีเวชของเมือง J ยามรักษาความปลอดภัยไม่เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อน รีบล้อมพวกนักข่าวเอาไว้ข้างนอกโรงพยาบาลทันที
“มาโหวกเหวกเสียงดังอะไร? !ที่นี่เป็นโรงพยาบาล อยากจะสัมภาษณ์ก็ต้องรออยู่ตรงประตูแต่โดยดี ที่นี่ยังมีสตรีมีครรภ์กับผู้ป่วยอยู่ด้วยนะ!”
ญาธิดาก้าวตรงเข้าไปที่ห้องฉุกเฉิน อลิสาเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าประตูของห้องผ่าตัดด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ พอเห็นเธอปรากฏขึ้นมา ก็รีบพุ่งเข้าไปอยู่ตรงหน้าของเธอทันที
“คุณหมอ อันอันเธอเป็นยังไงบ้าง?” ไม่ทันได้เช็ดเหงื่อที่หน้าผาก เธอก็คว้ามือของอลิสาเอาไว้พร้อมกับพูดถามขึ้น
อลิสาคิ้วขมวดเข้าด้วยกัน “พวกเราไม่เห็นธีทัต แต่เห็นแค่ผู้หญิงที่ชื่อนาราคนเดียวเท่านั้น……”
ญาธิดาสิบนิ้วกำไว้แน่น
นาราอีกแล้ว!
“ตอนที่พวกเราไปถึงตระกูลกรเวชนารากำลังทำให้คุณขวัญตารู้สึกลำบากใจอยู่ พออันอันเห็นว่าคุณขวัญตาไม่มีทีท่าว่าจะต่อต้าน อารมณ์ก็ตื่นตัวอยากที่จะเข้าไปขวางรั้งนาราเอาไว้ ผลที่ได้กลับถูกเธอผลักสวนกลับจนล้มลงไป……”
พออลิสาพูดถึงตรงนี้เสียงก็นิ่งชะงักลง พูดถามขึ้นมาด้วยเสียงต่ำ “คุณรู้ว่าอันอันตั้งครรภ์ใช่ไหม? พายุล่ะ? เขารู้ไหม?”
ญาธิดารู้สึกสมองว่างเปล่าไปหมด ส่ายหัวตอบกลับคำพูดของคุณหมอราวกับหุ่นยนต์
ผ่านไปนานสองนานเธอถึงได้ตอบสนองกลับมา จากนั้นก็มองคุณหมอพร้อมกับพูดถามขึ้นอย่างประหม่า “แล้วตอนนี้เด็กในท้องของอันอันเป็นยังไงบ้าง?”
“ฉันไม่รู้……” เสียงของอลิสาฟังดูหนักใจสุดๆ ถึงขนาดที่แอบสั่นอย่างเห็นได้ชัด “หลังจากที่อันอันล้มลงไปก็มีเลือดอยู่เต็มไปหมด ฉันเลยเดาว่าเธออาจจะตั้งท้องแล้ว แล้วก็ไม่ทันได้คิดอะไรมากมายด้วยเหมือนกัน พาเธอมาส่งที่นี่ทันที ตอนนี้ยังได้รับการช่วยเหลืออยู่ข้างในอยู่เลย”
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตรงทางเดินที่ยาวและแคบมีเสียงฝีเท้าดังกึกก้องไปมา ได้ยินเสียงที่ตื่นตระหนกภายในใจ สองมือที่เย็นยะเยือกของญาธิดาจับชายเสื้อของตัวเองเอาไว้แน่น สีหน้าซีดขาว
ไฟตรงหน้าประตูห้องผ่าตัดยังคงเป็นสีแดงอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเธอรอจนสองเท้าของเธอชาไปหมดแล้วไฟถึงได้เปลี่ยนเป็นสีเขียว
เธอรีบลุกขึ้นยืน ช่วงเท้าไม่มั่นคง เดินโซซัดโซเซสองก้าวไปอยู่ตรงหน้าของหมอ “หมอคะ เธอเป็นยังไงบ้าง……”
หมอหันมองเธอหนึ่งที ก่อนจะรับเวชระเบียนมาจากมือของพยาบาล ยัดเข้าไปในมือของเธอ “ถ้าเกิดคุณเป็นญาติของคนไข้ ไปจ่ายค่าผ่าตัดและค่ารักษาพยาบาลก่อนนะครับ”
“เธอเป็นเพื่อนของฉัน” เสียงของเธอสั่น กำเวชระเบียนแผ่นนั้นเอาไว้แน่น
หมอถอดหน้ากากอนามัยออก ถอนหายใจออกมา “คนไข้เพิ่งจะทำการผ่าตัดเสร็จยังไม่ได้สติ แม้ว่าจะพ้นขีดอันตรายมาแล้ว แต่ตอนนี้อาการก็ไม่เสถียรมากๆ ให้ญาติของเธอรีบมาจะดีกว่าครับ”
ไม่เสถียร? !
ญาธิดาใจเต้นกระตุกขึ้นมาถึงลำคอ คว้าแขนของหมอเอาไว้พร้อมกับพูดถามขึ้นด้วยสีหน้าประหม่า “เด็กล่ะ? เด็กในท้องของเธอเป็นยังไงบ้าง?”
“คนไข้สุขภาพร่างกายอ่อนแอมาก การที่ยื้อหนึ่งชีวิตกลับมาได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว เธอยังอายุน้อย ตราบใดที่ดูแลสุขภาพเป็นอย่างดี ภายหลังก็มีลูกได้อีก”
พอฟังถึงตรงนี้ สองเท้าของเธอก็อ่อนระทวย ล้มกลับลงไปนั่งบนเก้าอี้ทันที ขอบตาแดงอย่างไม่รู้ตัว
ชีวิตน้อยๆ ชีวิตนี้มีความสำคัญมากต่ออันอัน ถึงขนาดที่เป็นตัวช่วยสนับสนุนทำให้เธอมีชีวิตชีวาขึ้นในช่วงนี้เลยก็ว่าได้ ตอนนี้เด็กไม่มีแล้ว จะต้องส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับเธอมากแน่ๆ
จู่ๆ ในหัวของญาธิดาก็มีภาพอันอันที่กำลังลูบท้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มโผล่ขึ้นมา ในใจของเธอยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเกินจะรับไหวมากขึ้น น้ำตาร่วงหล่นลงมาราวกับสร้อยมุกที่สายขาด
“ธิดา……” อลิสาลงมานั่งยองอยู่ตรงหน้าของเธอ จับสองมือของเธอไว้แน่น ราวกับว่าอยากที่จะปลอบเธอ คำพูดอยู่ตรงปากแต่มันกลับไหลกลับลงไปพูดไม่ออก
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเราอยู่ข้างกายของอันอันก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี พวกเราไม่สามารถปลอบและให้กำลังใจเธอได้เลย คุณให้พายุมาช่วยสงบสติอารมณ์ของเธอจะดีที่สุดนะ” อลิสาพูดเตือนขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ ปาดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าอย่างเลอะเทอะ เดินออกมาจากโรงพยาบาลโทรศัพท์ไปหาภวินท์ “วิน อันอันเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คุณพาพายุมาที่โรงพยาบาลสูตินรีเวชชองเมือง Jหน่อยสิ”
พวกนักข่าวที่กำลังรออยู่ตรงประตูด้วยความกระวนกระวายพอเห็นท่าทางที่อกสั่นขวัญหายของเธอ ก็สรุปได้ทันทีเลยว่าจะต้องมีข่าวใหญ่เกิดขึ้นแน่ๆ พวกเขาไม่สนใจคนไข้คนอื่นๆ เฮโลตรงเข้าไปอยู่ตรงเข้าไป ต่างพากันยื่นไมโครโฟนไปอยู่ตรงหน้าของเธอทันที
“คุณญาธิดา ที่คุณรีบร้อนมาที่โรงพยาบาลเป็นเพราะว่าเด็กในท้องใช่ไหม?”
“เด็กในท้องของคุณเป็นลูกของใคร? ที่คุณภวินท์หย่ากับคุณเป็นเพราะว่าเด็กคนนี้หรือเปล่า?”
“คุณสามารถพูดออกมาตรงๆ เลยได้ไหมว่าพ่อของเด็กคือใคร? การหย่ากันในครั้งนี้เป็นเพราะว่ามีการนอกใจกันในชีวิตแต่งงานใช่ไหม?”
“ก่อนหน้านี้มีคนเห็นคุณพาลูกไปเข้าเรียนตามลำพัง ไม่ทราบว่าสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเด็กเป็นของคุณใช่ไหม? วันนี้ที่คุณไปที่ STN Group เพื่อที่จะแบ่งทรัพย์สินกับคุณภวินท์ใช่ไหม?”
“คุณญาธิดา ขอให้คุณช่วยตอบคำถามเรื่องหย่ามาตรงๆ ได้ไหม?”
คำถามของนักข่าวทั้งคมคายทั้งน่าเกลียด เดิมทีญาธิดาที่กระวนกระวายใจอยู่แล้ว ตอนนี้พอได้ยินเสียงที่ดังรบกวนเหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าความโกรธที่สุมอยู่ในทรวงกำลังจุดประกายเผาไหม้ขึ้นมา
เธอกวาดสายตามองพวกนักข่าวอย่างเย็นชา พูดถามเน้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “จะพูดจะจาอะไรก็ต้องมีหลักฐาน พวกคุณมาพูดจาใส่ร้ายเรื่องหย่าของฉันกับคุณภวินท์แบบนี้ ฉันสามารถฟ้องพวกคุณทุกคนได้เลยนะ”
“คุณญาธิดา พวกเราเป็นนักข่าว ต้องรายงานไปตามความจริง ให้คำอธิบายกับผู้คน คุณไม่จำเป็นต้องมาข่มขู่พวกเราด้วยท่าทีแบบนี้หรอก”
นักข่าวหนึ่งในนั้นพูดตอบกลับมาด้วยความไม่สบอารมณ์
บทที่ 755 ความวุ่นวายของการหย่าร้าง