ดวงใจภวินท์ - บทที่ 789 คุณตรวจสอบผม
ได้ยินเสียงฝีเท้า ญาธิดาจึงได้เงยหน้าขึ้นทันที เห็นเขามายืนอยู่ที่ข้างกายตัวเอง ดวงตาก็ปรากฏความฉงน “กลับมาแล้วเหรอคะ ไม่ใช่บอกว่าต้องประชุมเหรอคะ”
“ประชุมถูกยกเลิกแล้ว” นิธิศสีหน้าดูเป็นธรรมชาติมาก ดวงตาที่อ่อนโยนตกกระทบมาที่ตัวของเธอ “ต้นกล้าทำให้คุณลำบากหรือเปล่าครับ”
เธอได้ยินดังนั้นก็รีบส่ายหน้าทันที ลูบศีรษะของต้นกล้าแล้วตอบกลับว่า “ต้นกล้าเป็นเด็กที่เชื่อฟังที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา ดูแลเขาเป็นเรื่องที่ง่ายมาก คุณไม่ต้องเป็นห่วงเลยค่ะ”
นิธิศหรี่ตาลงตามคำพูดของเธอ สายตาตกกระทบไปที่ช่วงลำคอของเธอ จากนั้นดวงตาก็หม่นลงเล็กน้อย “ไม่ชอบสร้อยคอที่ต้นกล้ามอบให้คุณเหรอครับ”
เธอจึงลูบไปที่ลำคอที่ว่างเปล่าตามที่เขาพูด และเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอโทษ “ฉันไม่ชอบใส่สิ่งของพะรุงพะรังเหล่านี้ อีกอย่างฉันมีลูกและสามีแล้ว ไม่สะดวกที่จะใส่ของขวัญที่คนอื่นมอบให้ค่ะ”
สามีกับลูก……
ทำไมเธอมักจะเอ่ยถึงผู้ชายคนอื่นเสมอ……
เขาไม่มีทางยอมให้มีอุปสรรคเหล่านี้ระหว่างพวกเขาอย่างแน่นอน!”
ดวงตานิธิศมืดดำลง น้ำเสียงใจเย็นลงไม่น้อย “ผมนึกว่าคุณจะใจดีกับต้นกล้าจริงๆ ซะอีก คิดไม่ถึงว่าสำหรับคุณแล้วเขาเป็นเพียงคนนอกจะมีหรือไม่มีก็ได้เท่านั้น”
ญาธิดาได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงมักจะมีความรู้สึกที่ไม่สบายใจอยู่เสมอ
ระหว่างเธอกับนิธิศแม้แต่เพื่อนยังถือว่าไม่ใช่เลย แต่ว่าเขามักจะชักนำเธอให้เข้าไปอยู่ในชีวิตของต้นกล้า สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
“ต้นกล้าเป็นเพื่อนของอีธานกับเอลล่า ฉันก็ย่อมต้องดีกับเขาอยู่แล้ว นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งใดอื่นค่ะ”
เธอพลางพูดพลางลุกขึ้นถือกระเป๋าและเสื้อคลุมของตัวเอง “ในเมื่อคุณกลับมาแล้ว งั้นฉันก็ไม่ขออยู่ต่อแล้วนะคะ อีธานกับเอลล่ายังรอฉันอยู่ที่สตูดิโออยู่ค่ะ”
เห็นเธอจะจากไป นิธิศก็เบี่ยงข้างเล็กน้อย ขวางฝีเท้าของเธอไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ “อุตส่าห์รบกวนคุณมาถึงที่นี่ทั้งที คงจะให้คุณท้องว่างกลับไปเช่นนี้ไม่ได้หรอก ผมขอเลี้ยงข้าวคุณนะครับ”
เธอมองดูการกระทำของเขา คิ้วขมวดชิดติดกัน น้ำเสียงก็มีความเหินห่างเล็กน้อย “คุณนิดไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ หากว่าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“ธิดา!” เขารีบเรียกเธอขึ้นอย่างลนลาน กล่าวอธิบายด้วยน้ำเสียงเบาๆ “พี่เลี้ยงลาหยุดกลับบ้าน ผมกับต้นกล้าได้แต่ทนหิวอยู่ที่บ้าน ก็เลยอยากถือโอกาสนี้ทานข้าวด้วยกันสักมื้อ……”
ญาธิดากวาดสายตามองเขาครู่หนึ่ง ความระแวดระวังในดวงตาก็ยิ่งเห็นได้ชัด
ต้นกล้ารีบปีนลงจากโซฟาและวิ่งมาข้างๆ ตัวเธอ จากนั้นก็กอดขาเธอไว้แน่น ในดวงตาเต็มไปด้วยความอ้อนวอน ในปากก็ร้องเรียกคำว่าแม่อย่างเอ็นดูจนเห็นได้ชัด
เธอใจอ่อนในฉับพลัน รีบย่อตัวลงกล่าวเกลี้ยกล่อมเบาๆ อย่างอ่อนโยน “น้าธิดาจะมาหาหนูวันหลังใหม่นะ หนูกับคุณพ่อทานข้าวที่บ้านกันก่อนดีไหมจ๊ะ”
ต้นกล้าส่ายหน้าอย่างน้อยใจ ดวงตาที่สดใสเอ่อล้นด้วยน้ำตาในทันที แรงในมือก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น
นิธิศมองดูภาพนี้ ในดวงตาก็ประกายแสงสีดำ จากนั้นก็กล่าวอย่างลำบากใจว่า “ในเมื่อคุณธิดามีเรื่องธุระอย่างอื่นที่ต้องทำ งั้นผมก็จะไม่รั้งไว้แล้ว”
ขณะที่เขาพูดสายตาของเขาก็มองมาทางต้นกล้า ด้วยน้ำเสียงกล่าวเชิงตำหนิเล็กน้อย “ต้นกล้าอย่าสร้างปัญหาให้กับคุณแม่ ไม่อย่างนั้นต่อไปคุณแม่จะไม่มาดูหนูอีกแล้วนะ”
ได้ยินเขาเรียก “แม่” ตามต้นกล้าคิ้วญาธิดาก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้น จากนั้นกล่าวออกมาทีละคำๆ “ต้นกล้าอายุยังน้อย คุณแม่ในชีวิตของเขาไม่ควรเป็นฉัน คุณนิดก็ควรคิดถึงต้นกล้าให้มากๆ รีบหาบ้านที่สมบูรณ์ให้เขาโดยเร็วเถอะค่ะ”
นิธิศได้ยินดังนั้นก็รู้สึกถึงความไม่พอใจเล็กน้อยของเธอ จึงรีบผุดรอยยิ้มเชิงขอโทษ และอธิบายให้เธอด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ผมรู้ว่าการให้คุณเป็นคุณแม่ของต้นกล้านั้นดูเห็นแก่ตัวมาก และก็เสียมารยาทกับคุณมาก แต่เมื่อคำนึงถึงอาการของต้นกล้า ผมจึงต้องทำตามความคิดของเขาชั่วคราว หวังว่าคุณธิดาจะเข้าใจนะครับ”
“แม่ครับ……”
ต้นกล้ารู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป จึงเรียกเธอด้วยเสียงที่สะอึก จากนั้นหยุดการกระทำที่อ้อนวอน และมองเธออย่างเขินอาย
ญาธิดาถอนหายใจเข้าลึกๆ ฝืนความไม่อยากจากไปแล้วกัดฟันกล่าว “ฉันก็ทำอาหารไม่ค่อยเป็นด้วย อยู่ต่อก็มีแต่จะเพิ่มคนกินข้าวอีกคน คงไม่รบกวนแล้วค่ะ”
เสียงปิดประตูดังขึ้นในห้องรับแขกอย่างว่างเปล่า ดวงตาของนิธิศลึกล้ำดุจทะเลจนยากที่จะคาดเดา โน้มตัวอุ้มต้นกล้าเข้ามาในอ้อมกอดแล้วกดเสียงถามเบาๆ “หนูชอบคุณแม่คนนี้ไหมครับ”
ต้นกล้าพยักหน้าอย่างจริงจัง เขายิ้มอย่างพึงพอใจ เสียงที่น่ากลัวของเขาดังขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้นหนูจะต้องอยู่กับคุณแม่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นเธอจะหนีไป และไม่ต้องการหนูอีก……”
เวลานี้ บรรยากาศที่มืดมนไม่แพ้กันคือบ้านของตระกูลกรเวช ดวงตาของธีทัตจ้องสังเกตวีริศกับนพเก้า แล้วก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากว่าผมไม่บังเอิญไปพบเข้า พวกคุณกะจะร่วมมือกันปิดบังผมนานแค่ไหน”
“คุณธีทัตคะ ฉันกับท่านก็ทำเพื่อบริษัทนะ” นพเก้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“หากว่าเป็นเช่นนี้จริง เป้าหมายที่คุณลงมือก็น่าจะเป็น STN Group ไม่ใช่ธิดา!” ธีทัตเหลือบมองเธอด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงถากถางแดกดัน “ทำเพื่อบริษัทหรือว่าเพื่อความต้องการส่วนตัวกันแน่”
วีริศมองดูท่าทางตึงเครียดของเขาจึงตบโต๊ะขึ้นอย่างน่ากลัว แล้วสีหน้าเฉียบคมก็ตะคอกขึ้น “ล้วนทำเพื่อแก! แกอยากจะครอบครอง STN Group ไม่ใช่เหรอ นี่เธอกำลังช่วยแกอยู่!”
“ผมไม่มีความอยากได้ STN Group กับญาธิดาสักนิดเดียว เธอเป็นเพื่อนของอันอัน ผมไม่มีทางให้เธอถูกทำร้ายแม้แต่นิดเดียว”
น้ำเสียงธีทัตดังขึ้น และกลายเป็นคำเตือนที่มองไม่เห็น
วีริศได้ยินดังนั้นก็หัวเราะรัวๆ “บางทีแกอาจจะเริ่มมีความอยากได้คนอื่นแล้ว……”
เขาพลางพูดสายตาพลางส่งสัญญาณไปให้กับพ่อบ้าน พ่อบ้านพยักหน้าแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาจึงได้กล่าวต่อ “ช้าเร็ว STN Group ก็ต้องตกอยู่ในกระเป๋าของฉัน ฉันขอเตือนพวกแกทางที่ดีอย่าเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ฉันสามารถปฏิเสธงานแต่งแทนแกได้ เป็นไง”
“พ่อสามารถแข่งขัน STN ได้อย่างผ่าเผยตรงไปตรงมา ใครก็อย่าคิดที่จะแตะต้องญาธิดา สำหรับนารา……” เขาไม่มีความลังเล และกล่าวอย่างหนักแน่น “ต่อให้พ่อประเคนถึงเตียงผม ผมก็ไม่ชายตามอง”
นพเก้ามองดูเกมของสองพ่อลูกอย่างเงียบๆ รูม่านตาค่อยๆ เติมเต็มด้วยความเกลียดชัง
ทำไมทุกคนถึงต้องเอนเอียงเข้าข้างญาธิดาสารเลวนั่นตลอด!
ชมพู่คนนั้นต่อให้ต้องตายก็จะใช้ลมหายใจสุดท้ายปกป้องญาธิดา บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ก็มอบสัญญาร่วมมือกับเธอ แม้แต่ชาวเน็ตที่ไม่รู้จักก็ยังช่วยเธอพูดช่วยเธอชี้แจง
ยังมีภวินท์……
เห็นๆ อยู่ว่าตัวเองเป็นคนที่รักวินและคู่ควรที่สุด ทำไมเขากลับเลือกญาธิดาคนชั้นต่ำคนนั้น!
“ปัง” เสียงประตูดังขัดจังหวะความคิดของเธอ
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง บอดีการ์ดหลายคนได้ผลักผู้หญิงบอบบางคนหนึ่งลงบนพรมแล้ว
ธีทัตสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบเข้ามาด้านหน้าพยุงเธอขึ้นจากพื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “ขวัญ พวกเขาได้ทำอะไรคุณไหม”
ขวัญตาสีหน้าขาวซีดพิงอยู่ที่ไหล่ของเขา แล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง
ความดุร้ายบนใบหน้าของวีริศยิ่งเข้มขึ้น ถามกลับด้วยสีหน้าจะยิ้มไม่ยิ้ม “แกสยบ Hali Group ก็เพื่อขยะนี่เหรอ”
“คุณตรวจสอบผมเหรอ!” ธีทัตจ้องเขาด้วยความโกรธ กัดฟันแล้วกล่าวถาม