ดวงใจภวินท์ - บทที่ 798 มาง้อเหรอ
“นี่ครับ คุณแม่ให้ผมเอามาให้คุณพ่อครับ” อีธานวางนมลงบนโต๊ะ
สีหน้าภวินท์ดำทะมึน ดูไม่ออกถึงความมึนเมา สายตาของเขาเหลือบมองนมที่อยู่บนโต๊ะ แล้วทำเสียงฮัมเบาๆ เป็นคำตอบรับ
อีธานเห็นดังนั้นก็แกล้งทำเป็นเศร้าแล้วถอนหายใจ นั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ เขา จากนั้นเอ่ยปากกล่าวอย่างเงียบๆ “คุณพ่อ รู้สึกไหมว่าคุณแม่ทำให้คนรู้สึกเป็นห่วง”
สายตาของภวินท์ค่อยๆ มองมาทางเจ้าตัวเล็กคนนี้ ดูเหมือนว่าไม่ค่อยอยากสนใจเขา แต่ก็รู้สึกมีความสงสัยเล็กน้อยว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป
“หากว่าหนูมีภรรยาแบบนี้ หนูก็จะต้องปวดหัวเช่นกัน” คู่สองมือของเขาเท้าที่อยู่ที่คาง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาประสาเด็กๆ
ภวินท์จึงได้เอ่ยปากกล่าวอย่างเย็นชาขึ้น “มีอะไรก็พูดตรงๆ ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม”
อีธานย่อมต้องรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองไม่สามารถสู้คุณพ่อที่อยู่ตรงหน้านี้ได้ แต่สิ่งที่ควรทำก็ยังคงต้องทำ การพูดตรงประเด็นโดยไม่มีการปูเกริ่นใดๆ เกรงว่าการโน้มน้าวจะไร้ผล
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มที่ไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ที่ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูมาก “คุณแม่เป็นคนที่เข้มแข็งมาก ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็อยากที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง โดยไม่ยอมรบกวนคุณพ่อ ท่านจึงไม่มีช่องว่างให้คุณพ่อได้แสดงความสามารถ คุณพ่อควรรู้สึกล้มเหลวถึงจะถูก” ท่าทางพูดเป็นตุเป็นตะของเขา น้ำเสียงที่พึมพำด้วยเสียงต่ำ
น้ำเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาเกินไป ราวกับจงใจให้ภวินท์ได้ยินก็ไม่ปาน
และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อเสียงอ่อนโยนของเขาดังขึ้น สีหน้าของภวินท์ก็ยิ่งมืดมนแปรเปลี่ยนไปตามเสียงของเขา
ความรู้สึกล้มเหลวนั้นเป็นของปลอม นิสัยความดื้อรั้นของญาธิดานั้นเป็นของจริง เธอไม่เคยเพิ่มปัญหาให้กับคนอื่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตัวเองก็จะกัดฟันสู้คนเดียว
เห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ดวงตาของอีธานก็ประกายแสงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวเตือนด้วยเสียงเบาๆ “วันนี้คุณแม่ฝืนทนเพื่อจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงก็เป็นเรื่องที่ลำบากอยู่แล้ว น้องสาวยังงอแงเธอไม่ปล่อยอีก……”
ไม่รอให้เขากล่าวจบ นัยน์ตาของภวินท์ประกายแสงความเย็นวาบ “หนูรู้เรื่องที่คุณแม่ไปร่วมงานเลี้ยงภาครัฐได้ไง”
อีธานพยักหน้า ทำท่าทางที่งุนงงออกมา แล้วถามกลับด้วยความสงสัย “ไม่ได้ทำเรื่องผิดสักหน่อย ทำไมจะให้หนูรู้ไม่ได้” กล่าวจบ เขามุ่ยปากกล่าวตำหนิ “หากว่าคุณพ่อไม่รู้ งั้นก็ช่างไม่สนใจคุณแม่เสียเลย”
“ต่อ” ถึงแม้จะรู้ว่าในคำพูดของเขามีความหมายแอบแฝง แต่ภวินท์ก็เลือกที่จะเพิกเฉยต่อแสงประกายในดวงตาของเขา
เขาจึงได้เปล่งเสียงอธิบาย “ได้ยินว่าคุณแม่เพื่อเอกสารของศุลกากรถึงได้รีบไป เธอเห็นความสำคัญของงานเลี้ยงภาครัฐนี้อย่างมาก เกรงว่าจะเกิดความผิดพลาดแล้วทำให้เรื่องของบริษัทล่าช้า”
ภวินท์ได้ยินดังนั้นจึงหรี่ตาลง สีหน้าเฉยเมยมองไม่ออกถึงความรู้สึกใดๆ คำพูดของอีธานกล่าวหยุดถึงตรงนี้ และกล่าวราตรีสวัสดิ์กับเขาจากนั้นก็วิ่งออกจากห้องหนังสือไป
เสียงจุดไฟแช็กดังขึ้นในห้องที่ว่างเปล่า และควันก็ม้วนตัวลอยขึ้นตามข้อนิ้วมือที่เห็นอย่างชัดเจน แล้วก็ค่อยๆ หายไปในอากาศ
ในหัวของเขาดังกึกก้องวนเวียนด้วยคำพูดของอีธานที่พูดเมื่อสักครู่ ในใจก็ค่อยๆ รู้สึกอึดอัดมากขึ้น อารมณ์ก็ค่อยๆ หงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย
ในที่สุดเขาขมวดคิ้วแล้วดับบุหรี่ที่จุดมอดไปแล้วครึ่งมวน จากนั้นสาวฝีเท้าก้าวหนักเดินออกจากห้องหนังสือไป แล้วก็ผลักประตูห้องนอนเบาๆ
เสียงลมหายใจดังก้องอยู่ในห้องที่เงียบสงบ บนเตียงมีร่างของหญิงสาวที่นอนขดเป็นก้อนกลมๆ ราวกับว่านอนหลับสนิทไปแล้ว
ภวินท์เดินก้าวเบาๆ มาถึงข้างเตียง แล้วเลิกมุมผ้าห่มออกจากนั้นนอนลงข้างๆ ตัวเธอ ราวกับกลัวจะทำให้เธอตื่นก็ไม่ปาน
ญาธิดาอดไม่ได้ที่จะกำมุมผ้าห่มแน่น คู่ดวงตาปิดสนิทควบคุมลมหายใจอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งรู้สึกถึงคนที่อยู่ข้างๆ หมอนไม่มีเคลื่อนไหวใดๆ แล้ว เธอถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น จ้องมองแสงจันทร์นอกหน้าต่างอย่างว่างเปล่า
วินาทีต่อไป มือที่เย็นๆ ขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ โอบรอบเอวของเธอ
ร่างของเธอจึงแข็งทื่อในทันใด ในใจเกิดความรู้สึกน้อยใจอย่างอธิบายไม่ถูก เธออดไม่ได้จมูกซี้ดขึ้น กลั้นความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้ไว้ พลิกตัวแล้วซุกเข้าไปในอ้อมกอดอันแน่นหนาของภวินท์
“เรื่องเอกสารศุลกากรได้รับการแก้ไขอย่างราบรื่นแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”
เธอได้ยินดังนั้นก็ยิ่งซุกเข้าไปลึก และน้ำเสียงซ่อนด้วยความรู้สึกขอโทษ “เรื่องวันนี้……”
“เป็นเพราะผมไม่เข้าใจคุณมากพอ”
เสียงทุ้มต่ำดั่งแม่เหล็กของภวินท์ค่อยๆ ดังขึ้นข้างใบหูของเธอ “วันนี้ลำบากแล้วนะ”
ญาธิดาตะลึงงันเล็กน้อย ส่วนที่นุ่มนวลที่สุดในหัวใจของเธอ ค่อยๆ ซึมซับความหวานซึ้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้น
สายตาของเธอส่องประกายในความมืด ลูบคางของเขาแล้ววถามด้วยเสียงหวาน “คุณภวินท์นี่คุณมาง้อเหรอคะ”
น้ำเสียงยังไม่ทันจบ มือของภวินท์ก็ได้จับศีรษะอันน้อยๆ ของเธอที่เส้นผมนุ่มสลวย แล้วซุกเข้ามาอ้อมอกของเขาอีกครั้ง จากนั้นกล่าวตอบกลับอย่างเคร่งขรึม “พักผ่อนเถอะ”
มุมปากของเธอยกรอยยิ้มขึ้น ฟังเสียงหัวใจเต้นแรงที่ข้างใบหู แล้วก็หลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็คือการถูกปลุกให้ตื่นจากเสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่บนหัวเตียง
เธอควานจับโทรศัพท์แล้วกดรับสาย ได้ยินเสียงอัญมณีดังลอยมาจากปลายสาย
เวลาเช้าแบบนี้อันอันควรนั่งทานอาหารอยู่ที่ศาลาหรือชั้นล่างตึกไม่ใช่เหรอ”
รีบมาที่โรงพยาบาล พี่ขวัญเกิดเรื่องแล้ว!” เสียงแหลมของอัญมณีลอดผ่านอากาศลอยดังมาที่ข้างใบหูของเธอ
ญาธิดาตาเบิกโพลงขึ้นทันใด ความง่วงหายไปในฉับพลัน ลุกขึ้นมานั่งจากบนเตียง เธอไม่ทันจะแม้แต่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำธุระส่วนตัวแบบลวกๆ เสร็จ ก็ลากตัวภวินท์ไปที่โรงพยาบาลทันที
ขวัญตาที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย นอกจากสีหน้าขาวซีดเท่านั้นแล้ว อย่างอื่นดูไม่ออกถึงร่องรอยของอาการป่วยใดๆ ที่ราวกับว่าเธอกำลังนอนหลับอย่างเงียบๆ ก็ไม่ปาน อัญมณียืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่จากไปไหน ดวงตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น คู่ดวงตาของเธอก็ค่อยๆ ขยับ เมื่อเห็นคนที่อยู่หน้าประตูคือญาธิดา เบ้าตาก็แดงก่ำขึ้น
ญาธิดาทำท่าบอกให้เงียบๆ กับเธอ กวักมือสื่อให้เธอเดินมาที่ระเบียง แล้วถึงได้กดเสียงกล่าวถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้น”
“ตอนเช้าฉันโทรศัพท์ไปหาพี่ขวัญ พี่ส้มเอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ จนสุดท้ายปิดบังไม่ได้แล้ว ถึงได้บอกว่าพี่ขวัญอยู่ที่นี่……”
เสียงของอัญมณีสะอึกเล็กน้อย กล่าวอธิบายด้วยเสียงเบาๆ “คุณหมอบอกว่าตกจากที่สูง สมองได้รับกระทบกระเทือนอย่างหนัก จะตื่นขึ้นมาเมื่อไรนั้น ยังไม่รู้”
ญาธิดาได้ยินดังนั้น คิ้วขมวดแน่นขึ้น สายตาจ้องไปทางภวินท์
มือน้อยๆ ที่เย็นเยียบของเธอที่ไม่รู้ว่ากำแน่นไว้ตั้งแต่เมื่อไร น้ำเสียงสุขุมของภวินท์ค่อยๆ ดังขึ้น “ผมจะรีบจัดคุณหมอแผนกสมองที่ดีที่สุดมารักษา”
ปีนั้นที่อัญมณีเกิดอุบัติเหตุยังสามารถฟื้นขึ้นมาได้ ขวัญตาก็จะต้องได้เช่นกัน
ญาธิดาประสานตากับเขา หัวใจเป็นกังวลค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อย หลังสงบสติอารมณ์แล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกๆ
“ขวัญอยู่บ้านของตระกูลกรเวชมาโดยตลอด ความสูงแค่ไหนกันที่ทำให้เกิดผลที่รุนแรงขนาดนี้ได้” เธอพึมพำเบาๆ
อัญมณีก็ตกอยู่ในห้วงความคิดเช่นกัน สักพักจึงกำหมัดขึ้นอย่างช้าๆ “พี่ชายได้ไปสืบเรื่องนี้แล้ว อีกไม่นานก็จะได้รู้ความจริง”
เธอไม่เอ่ยถึงธีทัตค่อยยังชั่ว พอเอ่ยชื่อนี้ขึ้นเท่านั้น สีหน้าของญาธิดาก็เย็นชาอย่างเข้มข้น จากนั้นกล่าวด้วยเสียงเยาะเย้ย “เรื่องนี้คนที่น่าสงสัยที่สุดก็คือเขา เธอยังจะหวังพึ่งเขาสืบหาความจริงอะไรได้อีก”
กลุ่มคนเหล่านี้กำลังสนทนากัน ร่างของธีทัตก็ปรากฏขึ้นในสายตาของกลุ่มคนเหล่านี้อย่างลนลาน