ดวงใจภวินท์ - บทที่ 80 ท้องแล้วใช่ไหม
ญาธิดากัดฟัน รวบรวมความกล้าและถามว่า “ฉันอยู่กับผู้ชายคนอื่น คุณสนใจด้วยหรือไง?”
เขามีผู้หญิงคนอื่นได้ แต่ไม่อนุญาตให้เธอกินข้าวกับผู้ชายคนอื่น นี่มันอะไรกัน?
อีกอย่าง ต่อให้เธออยู่กับผู้ชายคนอื่น เขาก็ไม่น่าจะสนใจมั้ง? เพราะไม่ว่ายังไงพวกเขาทั้งสองคนก็ยังไม่ถึงจุดที่จะพูดถึงความรู้สึกจริงได้
ที่เขาโกรธขนาดนี้ เพราะเป็นศักดิ์ศรีและหน้าตาของผู้ชาย? หรือเขาคิดว่าแค่เธอควรจะยึดหลักการแต่งงานเพียงฝ่ายเดียว?
เมื่อเห็นแววตาดื้อรั้นของหญิงสาว ภวินท์ขมวดคิ้วแน่น ริมฝีปากที่ตึงแน่นขยับยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก
“ปังปังปัง!”
ต่อมา เสียงคณินดังขึ้นมาด้วยความโกรธ “ภวินท์ เปิดประตู!”
ภวินท์ได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าบึ้งตึงถึงขีดสุด ทั้งที่เขาเป็นสามีของญาธิดา แต่ตอนนี้เขากลับเป็นเหมือนมือที่สาม
ญาธิดาได้ยินเสียงดังจากด้านนอก จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ เธอกำลังจะเอ่ยปากแต่อยู่ๆ ข้อมือก็โดนจับไว้
ภวินท์ผลักเปิดประตูห้องน้ำออก สายตาเย็นชามองคณินที่อยู่ด้านนอก
คณินนิ่งไป จากนั้นจึงได้สติและเงยหน้ามองญาธิดา เอ่ยปากถาม “ธิดา คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เขาพูดพลางเดินเข้ามา
ทันใดนั้น แขนที่แข็งแรงข้างหนึ่งยื่นเข้ามา กดไหล่ของเขาไว้ บังคับไม่ให้เขาก้าวขา
สีหน้าของคณินเคร่งขรึมลงทันที และมองไปที่ภวินท์ด้วยความตื่นตัว
“ทำไม อยากลงไม้ลงมือ?”
ภวินท์สีหน้าเคร่งขรึม พูดออกมาทีละคำ “คิดถึงสถานะของตัวเองให้ดี คณิน”
ประโยคนี้ดังและชัดเจน แฝงไปด้วยพลัง
ขณะเดียวกัน คณินโกรธจนหน้าดำหน้าแดง แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
ไม่ว่ายังไง ภวินท์ก็คือสามีที่ถูกต้องของญาธิดา แต่เขาก็แค่คนตามจีบเท่านั้น
ไม่รอให้เขาพูด ภวินท์ก็ดึงมือญาธิดาเดินออกไปนอกประตู
เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตู พายุรีบตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว สีหน้าร้อนรน “คุณภวินท์ ผู้ใหญ่หลายคนกำลังรอคุณกลับไป….”
ได้ยินอย่างนี้ ญาธิดาเพิ่งจะรู้ความจริง เขามีงานเลี้ยงที่นี่
เธอพยายามสะบัดมือที่โดนจับไว้ “ปล่อยฉัน ฉันกลับเองได้”
ภวินท์ไม่เพียงแค่ไม่ยอมปล่อยมือ ทั้งยังหันไปพูดกับพายุด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “บอกพวกเขาว่าฉันขอตัวกลับก่อน เรื่องความร่วมมือลงทุนกันไว้คุยกันวันหลัง”
พูดจบ เขาดึงญาธิดาก้าวเดินออกไปนอกประตูใหญ่ของThe Table
โดนฉุดลากขึ้นมาบนรถ ญาธิดาหายใจเข้าลึกๆ มองดูชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างสตาร์ทรถด้วยความโกรธ คาดเข็มขัด…
เธอรู้ว่าครั้งนี้ภวินท์โกรธจริงๆ
ระหว่างทางกลับบ้านเงียบผิดปกติ ญาธิดารู้สึกได้ถึงความกดอากาศต่ำภายในรถ เธอกลั้นหายใจและไม่ยอมหันหน้าไปด้านข้างแม้แต่น้อย
ครั้งนี้เธอไม่ยอมถอย
รถจอดลงที่คฤหาสน์ ญาธิดาไม่พูดอะไร ผลักประตูรถออกและลงจากรถ เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เธอได้ยินเสียงปิดประตูดัง “ปัง” ไม่นาน ชายหนุ่มก้าวขาตามมา
“ญาธิดา เรามาคุยกันหน่อย”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”
ญาธิดาพูดพลาง ก้าวขาโดยไม่ลดความเร็วลง
มองไปที่แผ่นหลังที่ดื้อรั้นของหญิงสาว ภวินท์ขมวดคิ้ว คำพูดที่คิดจะพูดก็หยุดลงทันที
ถ้าเขาบอกวัตถุประสงค์ที่ตัวเองแต่งงานกับเธอออกมาทั้งหมดตอนนี้ เกรงว่าเธอจะยิ่งโกรธแค้นมากขึ้น
กำหมัดเล็กน้อย ภวินท์เก็บคำสารภาพที่คิดจะสารภาพออกมาไว้
รอให้เธอใจเย็นลงก่อนค่อยคุยแล้วกัน
มองเงาของหญิงสาวหายไปตรงบันได เขานิ่งยืนอยู่ที่เดิมชั่วขณะ จากนั้นหมุนตัวและเดินไปด้านนอก
“คุณชาย…”
ภวินท์เพิ่งจะเดินมาถึงประตู ก็ได้ยินเสียงลังเลดังมาจากด้านข้าง
ป้าจันทร์ยืนอยู่ที่หน้าประตูครัว สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ภวินท์นิ่งและสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ดูแลเธอดีๆ”
พูดจบ เขาเดินก็ออกไป
ออกไปคราวนี้ ก็ไม่ได้กลับมาสามวัน
เช้าวันที่สาม ญาธิดาเพิ่งจะนั่งลงบนโต๊ะอาหาร ได้กลิ่นแพนเค้ก สีหน้าก็เปลี่ยนทันที อาการคลื่นไส้ที่ไม่สามารถควบคุมได้พุ่งขึ้นมาที่ลำคอ
เธอเอามือปิดปาก คลื่นไส้อีกหลายครั้ง
ป้าจันทร์ที่ดูสถานการณ์อยู่อีกด้าน รีบเดินเข้ามา “ทำไมไม่สบายอีกแล้ว?”
เมื่อวานตอนกินข้าวญาธิดาก็มีอาการประมาณนี้ ตอนนั้นเธอคิดว่าเป็นเพราะที่ทะเลาะกันกับภวินท์ เสียใจมากเกินไปจนไม่อยากอาหาร
คิดไม่ถึงว่าวันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
ป้าจันทร์ไม่สบายใจ “หรือว่าให้ป้าโทรตามคุณหมอตุลธรมาดูคุณหน่อย? เป็นเพราะหลายวันมานี้ได้กินยาบำรุงหรือเปล่า?”
ญาธิดาพยายามอดทนกับความไม่สบายและโบกมือ “ป้าจันทร์ ไม่ต้อง…”
เธอไม่อยากรบกวนคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลสถิรานนท์มากเกินไป อีกอย่างหลายวันมานี้เธออารมณ์ไม่ดี กินข้าวไม่ได้เป็นเรื่องปกติ
ป้าจันทร์ได้ยินอย่างนั้น ทำอะไรไม่ได้ เธอจึงเอาแพนเค้กออก และอุ่นนมร้อนให้เธอ แต่ญาธิดาก็ยังไม่อยากอาหารอยู่ดี กินซาลาเปาสังขยาไปชิ้นหนึ่ง ก็ไม่อยากกินแล้ว
ป้าจันทร์เกลี้ยกล่อม “กินเกี๊ยวนึ่งอีกหน่อยเถอะ อันนี้ไม่มัน…”
เมื่อเธอพูดออกมา สีหน้าญาธิดาเปลี่ยนทันที ลุกขึ้นและวิ่งพุ่งไปที่ห้องน้ำ อ้วกลงในชักโครก
เพิ่งจะกินซาลาเปาเข้าไปเมื่อกี้ ดันอ้วกออกมาอีกแล้ว
ป้าจันทร์ลูบหลังให้เธอ ยิ่งคิดยิ่งแปลก “หรือว่า….จะท้องแล้ว?”
ญาธิดาได้ยินอย่างนั้น นิ่งตกใจ “จะเป็นไปได้ไง!”
ป้าจันทร์น้ำเสียงลังเล “แต่อาการของคุณ…”
ญาธิดาลุกขึ้น ล้างปาก คิดถึงสิ่งที่เธอพูดในใจก้รู้สึกเจ็บปวด
คิดดูดีๆ ก็มีโอกาสเป็นไปได้
ญาธิดาหันมองป้าจันทร์ หายใจเข้าลึกๆ “ป้าจันทร์ วันนี้ฉันจะไปตรวจที่โรงพยาบาล ใช่ไม่ใช่ เดี๋ยวก็รู้”
“ดีค่ะ ป้าจะไปเป็นเพื่อน”
ญาธิดายิ้มให้และปฏิเสธอย่างสุภาพ “ไม่เป็นไร วันนี้ตอนบ่ายป้าต้องไปเยี่ยมหลานสาวไม่ใช่หรอ ฉันไปคนเดียวได้”
“ก็ได้…เรื่องนี้ควรบอกคุณชายสักหน่อย…”
“ไม่ต้อง” ญาธิดาหายใจเข้าลึกๆ และรีบพูดว่า “รอให้ผลการตรวจออกมาแล้วค่อยบอกเขา”
ได้ยินเธอพูดอย่างนี้ ป้าจันทร์พยักหน้า “ก็จริง”
กลับมาที่ห้อง ญาธิดาเก็บของนิดหน่อย ลุกขึ้นเตรียมตัวไปโรงพยาบาล
ถ้าเธอตั้งท้องในสถานการณ์อย่างนี้ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะทำยังไง
เดินออกจากคฤหาสน์ ญาธิดาเดินผ่านถนนเส้นเล็กๆ และเดินออกจากหมู่บ้าน เธอเตรียมจะเรียกแท็กซี่ อยู่ๆ ก็มีรถแท็กซี่สีแดงขับเข้ามาข้างๆ
หน้าต่างแถวหน้าของรถเลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าชายวัยกลางคน “คุณผู้หญิง จะไปไหนครับ?”
ญาธิดาเก็บโทรศัพท์ “ฉันจะไปโรงพยาบาล”
คนขับรถยิ้มให้เธอ “ขึ้นรถสิ”
ญาธิดาไม่ปฏิเสธ เปิดประตูขึ้นรถ
รถค่อยๆ ยูเทิร์น คนขับมองเธอผ่านกระจกหลัง “ไปโรงพยาบาลไหนครับ?”
ญาธิดาลังเลอยู่สักพัก ยังไม่ได้คิดไว้ คนขับรถถามขึ้นมาว่า “ไปหาหมอคนเดียวหรอ”
ญาธิดาตอบนิ่งๆ “ใช่ ว่าไปตรวจหน่อย”
“โอเค ฉันรู้ว่ามีโรงพยาบาลหนึ่งอยู่ไม่ไกล” คนขับรถพูดพลาง หมุนพวงมาลัย “โรงพยาบาลโชคศิริ ทั้งสะอาดและอยู่ในอันดับต้นๆ”
ก่อนหน้านี้ญาธิดาก็เคยได้ยินชื่อโรงพยาบาลนี้ ตอนนี้ก็ไม่ได้คิดถึงโรงพยาบาลอื่น และตอบคนขับรถไปว่า “งั้นไปโรงพยาบาลโชคศิริก็ได้”
เพราะไม่ว่ายังไง การไปโรงพยาบาลครั้งนี้ก็แค่การตรวจสูตินารีทั่วไปเท่านั้น