ดวงใจภวินท์ - บทที่ 822 มองผู้ชายคนนี้ไม่ออก
บทที่ 822 มองผู้ชายคนนี้ไม่ออก
หลังจากฟังเสียงเร่งเร้ามาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดรถของนิธิศก็เคลื่อนตัวมาหยุดที่หน้าประตูRambler Clubhouse อย่างช้า ๆ ฝ่ามือของญาธิดาเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอรีบกระโดดลงจากรถอย่างรวดเร็ว
การ์ดเฝ้าประตูจำได้ว่าเธอเป็นคุณนายของตระกูลสถิรานนท์ และเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคุณชายน้อยตระกูลตระกูลสถิรานนท์ก็อยู่ด้านในเช่นกันจึงไม่ได้ขวางทางเธอ
แต่ทว่านิธิศกลับถูกขวางไว้นอกประตู เพราะRambler Clubhouseนับเป็นหนึ่งในสถานที่ระดับไฮเอนด์ไม่กี่แห่งในเมืองนี้ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าไปข้างในได้ง่าย ๆ ตามอำเภอใจ
นิธิศก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาได้แต่ยืนกอดอกรออยู่ด้านนอกประตู เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะตามหาเด็กพวกนั้นเจอหรือไม่ ผลสุดท้ายก็เหมือนเดิม ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจ
ญาธิดาเดินเข้าประตูแล้วตรงไปยังห้องส่วนตัวของอลิสาและภวินท์ เมื่อผลักประตูเข้าไปก็เห็นต้นกล้าถูกอลิสาโอบไว้ในอ้อมแขน คนสองคนที่อายุห่างกันมากพอสมควรดูเหมือนกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข
ส่วนอีธานกับเอลล่าก็นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างรู้ความ เมื่อเห็นเธอผลักประตูเข้ามาด้วยสีหน้าโกรธ ๆ ทั้งสองก็พากันคอหด บรรยากาศแสนอบอุ่นเมื่อครู่ลดลงเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
สุดท้ายเอลล่าก็ทนต่อไอสังหารอันแรงกล้าของผู้เป็นแม่ไม่ไหว เอียงคอหันไปพูดกับต้นกล้าเบา ๆ ว่า “เห็นไหมบอกแล้วว่าแม่ต้องมารับพวกเราแน่นอน ฉันไม่ได้โกหกใช่ไหมล่ะ”
ต้นกล้าพยักหน้าอย่างพอใจ
“อีธาน เอลล่า!” น้ำเสียงเคือง ๆ ของเธอดังขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กน้อยทั้งสองคนอย่างรวดเร็วและพูดด้วยเสียงดุดันว่า “พวกหนูจะกล้ามากเกินไปแล้วนะ ทำไมถึงกล้าแอบพาต้นกล้ามาสถานที่แบบนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง?!”
อีธานแอบขยิบตาให้น้องสาว ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสำนึกผิดกับเธออย่างว่าง่าย
“ขอโทษครับแม่” เขาพูดอย่างรู้สึกผิด “ผมแค่เห็นว่าแม่ทำงานหนักเลยอยากจะช่วยแม่แบ่งเบาบ้าง ผมไม่คิดว่าความตั้งใจจะกลายเป็นเรื่องไม่ดี”
น้ำเสียงและท่าทางสำนึกผิดของเขาประกอบกับคำพูดเข้าอกเข้าใจเหล่านี้ทำให้ความโกรธของญาธิดาสลายหายไปในทันที
ยิ่งเห็นเด็กน้อยทั้งสองคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าแบบนี้เธอยิ่งทนไม่ไหวจนต้องผ่อนน้ำเสียงของตัวเองลงโดยไม่รู้ตัว “แม่แค่เป็นห่วงกลัวว่าพวกลูกจะเกิดปัญหา โดยเฉพาะอาการของต้นกล้าก็ยังไม่ค่อยดี…”
หลังจากอลิสาปลอบต้นกล้าเสร็จแล้วก็ตั้งใจลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเธอพลางกลอกตาขาวใส่หนึ่งที “นี่ธิดา จากไอคิวของอีธานกับเอลล่าฉันว่าพวกเขาร่วมมือกันเอาเธอไปขายยังได้เลยด้วยซ้ำ เธอยังมีอะไรต้องเป็นห่วงอีก”
“…”
ญาธิดาได้แต่ทำหน้าอับอาย
เธอยอมรับว่าอีธานกับเอลล่าไอคิวค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรังแกเธอว่าไอคิวต่ำอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ก็ได้นี่นา
อีกอย่างไม่ว่าพวกเขาจะฉลาดแค่ไหน พวกเขาก็เป็นแค่เด็กในสายตาของเธออยู่ดี
ภายในหัวของเธอพยายามใช้ความคิด ราวกับว่าเธอกำลังคิดว่าจะโต้กลับอลิสายังไงดี แต่อลิสาแค่มองก็รู้แล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่จึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า “ไอ้ความคิดจะต่อต้านคนอื่นของเธอมันเขียนเอาไว้บนหน้าหมดแล้ว”
นัยน์ตาสดใสของญาธิดาพลันสว่างขึ้นทันที ก่อนจะพูดติดตลกว่า “ฉันว่าตอนนี้เธอชักจะเหมือนหลุยส์มากขึ้นทุกวัน ๆ แล้วนะ โดยเฉพาะวีการพูดแบบสุนัขไม่รับประทานแบบนั้นน่ะ”
ประโยคเดียวแต่โดนถึงสองคน คราวนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองสามารถพลิกเกมคืนมาได้แล้ว อลิสาโกรธจนแทบอยากจะลงมือกับเธอสักที
ทั้งสองคนทะเลาะกันไปกันมาสองสามประโยค หลังจากใช้วิธีการล้อเล่นทักทายกันไปพอสมควรแล้ว ญาธิดาจึงถามเธอขึ้นว่า “ฉันเห็นเธอสื่อสารกับต้นกล้าได้ไม่เลว เธอคิดว่าความเป็นไปได้ที่จะรักษาเขาให้หายดีมีมากไหม?”
“มาก” อลิสาตอบอย่างมั่นใจ “วันนี้ฉันลองทำการทดสอบอย่างง่าย ๆ ไปบ้างแล้ว พบว่าวิธีการที่เธอทำไปก่อนหน้านี้มันไม่ได้ผิดไปซะทั้งหมด อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองที่จะสื่อสารกับคนอื่น”
ญาธิดาได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “งั้นก็ดี เอาไว้วันหลังฉันจะพาต้นกล้ามาหาก็แล้วกัน พ่อของเขายังรออยู่ข้างนอกอยู่เลย”
ทันใดนั้นเธอก็กวาดสายตามองเด็กน้อยทั้งสองคน ความขุ่นเคืองที่เพิ่งจะหายไปเกิดปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
เธอรีบพยายามระงับความโกรธเอาไว้ แล้วพูดด้วยเสียงบูดบึ้งว่า “พวกเขาสองคนพาต้นกล้ามาที่นี่โดยที่ไม่ได้บอกฉันเลยสักคน คุณพ่อของเขานึกว่าลูกถูกลักพาตัวไปซะอีก”
เอลล่าเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ “คุณลุงคงไม่ได้จงใจทำให้คุณแม่ตกใจมากกว่าใช่ไหม? ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้อยู่แล้วว่าหนูกับพี่ชายไปหาต้นกล้า”
ญาธิดาเอื้อมมือออกไปแล้วใช้ปลายนิ้วดีดหน้าผากของเธอเบา ๆ “พูดอะไรเหลวไหล”
อลิสาจับประเด็นในคำพูดพวกนั้นได้ทันที ยิ่งเธอนึกถึงสิ่งที่อีธานเคยบอกกับเธอก่อนหน้านี้ ความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในใจ
“ในเมื่อพ่อของเด็กอยู่ข้างนอก ถ้าอย่างนั้นฉันพาพวกเธอออกไปเลยแล้วกันเขาจะได้ไม่ต้องรอนาน” ขณะที่พูดเธอก็อุ้มต้นกล้าขึ้นแล้วเดินนำหน้าออกจากห้องส่วนตัวออกไปทันที
หลังจากได้รับการรักษาอาการของต้นกล้าดูดีขึ้นไม่น้อย แม้ว่าเขาจะยังไม่ค่อยพูด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านแสงสีเสียงข้างนอกแล้ว แถมยังซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของอลิสาอย่างเชื่อฟัง
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคนเดินออกมาจากRambler Clubhouse นิธิศก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะรีบเข้าไปอุ้มต้นกล้ามาไว้ในอ้อมแขนด้วยสีหน้าเป็นกังวล
หลังจากญาธิดาช่วยแนะนำตัวสั้น ๆ สายตาของเขาก็เหลือบมามองที่อลิสาทันที ในแววตาคู่นั้นดูสุภาพและห่างเหิน
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลต้นกล้า ขอโทษที่สร้างความลำบากให้คุณด้วยนะครับ” เขายังคงพูดจาสุภาพและอ่อนโยนเหมือนเดิม
อลิสาหัวใจบีบแน่นและหลบสายตาเขาโดยไม่รู้ตัว
เธอที่อ่านใจผู้คนมานับไม่ถ้วนกลับมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติอะไรใสตัวของนิธิศเลย การแสดงออกและพฤติกรรมของเขาดูปกติมาก แต่สัมผัสที่หกที่มักจะเกิดเพราะอาชีพของเธอกลับส่งสัญญาณอันตรายบอกเธอไม่หยุด
ความรู้สึกแบบนี้มันทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ เธอได้แต่ตอบเบา ๆ ว่า “เพื่อนของธิดาก็เหมือนเพื่อนของฉัน พอดีฉันเคยศึกษากุมารเวชศาสตร์มาระยะหนึ่ง บางทีฉันอาจช่วยคุณได้”
นิธิศไม่ได้ตอบรับต่อสิ่งที่เธอบอกคล้ายกำลังบอกว่าเขาไม่ต้องการพูดในหัวข้อนี้ต่อไป ทางด้านอลิสาเองก็สังเกตเห็นเช่นกัน หลังจากพูดคุยอย่างสุภาพสองสามคำเธอจึงหันเดินกลับเข้าไปในRambler Clubhouse
ตอนนี้แววตาของเขาถึงได้ดูอ่อนโยนลงและมองไปทางญาธิดา “นี่ก็ดึกมากแล้วเดี๋ยวผมไปส่งนะครับ”
รถเคลื่อนตัวออกไปช้า ๆ เด็กน้อยทั้งสามคนนั่งเล่นด้วยกันอยู่เบาะหลัง ญาธิดาพูดคุยกับนิธิศอยู่ที่เบาะข้างคนขับ
“ธิดา ตอนนี้ต้นกล้าก็ปลอดภัยกลับมาแล้ว คุณกลับถึงบ้านแล้วก็อย่าตำหนิอีธานกับเอลล่าอีกเลยนะ อันที่จริงพวกเขาทำไปก็เพราะหวังดีกับต้นกล้า แต่แค่วิธีการที่ใช้ยังเป็นวิธีของเด็ก ๆ ก็เท่านั้นเอง” เขาพูดเสียงเอื่อย ๆ
หัวข้อนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่กำลังคุยอยู่เมื่อครู่เลยสักนิด มันค่อนข้างกะทันหันเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นพอญาธิดาได้ฟังแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
“คุณนิด ขอบคุณนะคะที่ยอมมองเรื่องนี้ในมุมมองของอีธานกับเอลล่า แต่ยังไงกลับไปฉันก็คงต้องตักเตือนพวกเขาอยู่ดี” เธอตอบกลับอย่างสุภาพ
เมื่อนิธิศได้ยินดังนั้น ความไม่พอใจบนใบหน้าของเขาก็หายวับไปทันที
ที่เขากล้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะเตือนญาธิดาไม่ให้ลืมเรื่องที่เด็กทั้งสองคนทำผิด คิดไม่ถึงว่าเธอไม่ได้ตั้งใจคิดจะตำหนิพวกเขาเลยสักนิด
เขาแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นว่าเลี้ยวตรงหัวมุมก็จะถึงบ้านพักตระกูลสถิรานนท์แล้วเขายิ่งรู้สึกว่าไม่อยากให้เรื่องนี้จบลงไปแบบนี้
แต่คิดไม่ถึงว่าก่อนที่เขาจะได้ลงมืออีกครั้ง เสียงเด็กน้อยไร้เดียงสาของอีธานจะดังขึ้นจากด้านหลัง “คุณลุงจอดรถตรงสี่แยกก็ได้ครับ ถ้าคุณพ่อเห็นพวกเรานั่งรถของคนอื่นกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ แบบนี้ คุณพ่อจะไม่พอใจ”
แววตาของนิธิศมืดมิดลงทันทีก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ดูเหมือนว่าคุณภวินท์จะไม่ใช่คนใจกว้างอะไรเลยนะครับ”