ดวงใจภวินท์ - บทที่ 827 สนามรบอันแสนวุ่นวาย
บทที่ 827 สนามรบอันแสนวุ่นวาย
ญาธิดารู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจโดยไม่มีเหตุผล เธอดึงต้นกล้าเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างใจเย็น พลางเตือนตัวเองอยู่ในใจว่าให้ใจเย็นและผ่อนคลายให้มากที่สุด อย่าทำให้นิธิศจับได้เด็ดขาด
จะรักษาต้นกล้าให้หายได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการแสดงออกของเธอ ถึงเวลาต้องแสดงทักษะการแสดงของเธอแล้ว
ความคิดไร้เหตุผลมากมายผุดขึ้นมาในใจ เมื่อเผชิญหน้ากับนิธิศท่าทางของเธอยังคงเหมือนเดิมอย่างที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าคราวนี้บนใบหน้าแฝงไว้ด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
“คุณนิด คุณหมออลิสาพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็เหตุผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อไปอาจจะต้องพาต้นกล้ามาที่นี่บ่อย ๆ”
ดวงตาของนิธิศหรี่ลงเล็กน้อยและนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อญาธิดาเห็นแบบนั้นความรู้สึกแรกของเธอบอกว่าเขากำลังเสแสร้ง
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็ทำหน้าฮึดสู้ขึ้นมาใหม่ แถมยังปลอบใจญาธิดาอีกว่า “ผมชินกับผลลัพธ์แบบนี้แล้วล่ะครับ คุณก็ไม่ต้องลำบากใจไปหรอก ในเมื่อสามารถเปลี่ยนต้นกล้าได้หนึ่งครั้ง ก็ย่อมสามารถเปลี่ยนเขาได้เป็นครั้งที่สอง พวกเราต้องเชื่อในตัวเขา”
ญาธิดาพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
เขายกแขนขึ้นเล็กน้อยและขณะที่กำลังจะโอบไหล่ของเธอ น้ำเสียงเคร่งขรึมของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากไม่ใกล้ไม่ไกล “ถ้ารู้ว่าเป็นทางผ่านคงพาเธอมาด้วยกันแต่แรก”
น้ำเสียงที่แสนจะคุ้นเคยทำให้ญาธิดาตกใจและหันกลับไปมองทางต้นเสียงทันที
แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิดเขาคือคนที่เธอคุ้นเคยมากที่สุด
ภวินท์ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง ยืนอยู่ข้าง ๆ หลุยส์ ออร่าปกคลุมไปทั่วบริเวณ ความเย็นชาในสายตาของเขาระเบิดออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ความอ่อนโยนในดวงตาของนิธิศสลายหายไปทันที และเมื่อมองสบตากับภวินท์ แววตาของทั้งคู่ก็ประกาศความเป็นศัตรูออกมาอย่างเต็มที่
เขาไม่เพียงแต่ไม่คิดจะก้าวเข้าไปหา แถมยังทำตัวสบาย ๆ ราวกับว่ากำลังอวดอะไรบางอย่างกับภวินท์อยู่ยังไงอย่างนั้น
“นี่คุณภวินท์ไม่รู้เหรอครับว่าผมกับธิดามีนัดกันล่วงหน้าแล้ว? ธิดานี่ทำอะไรสะเพร่าจังเลยนะครับ ถ้าเผื่อสร้างความเข้าใจผิดขึ้นมาล่ะแย่เลย”
นัยน์ตาของภวินท์เผยประกายที่ทำเอาหนาวเข้ากระดูกออกมาครู่หนึ่ง และเมื่อหันมองเขาอีกครั้งสีหน้าของเขาก็กลับไปเฉยเมยเหมือนเดิม และตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ เธอไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ผมฟังอยู่แล้ว”
ไม่สำคัญ…
เมื่อได้ยินเสียงผ่อนหายใจเบา ๆ ของภวินท์ ปลายนิ้วของก็บีบรัดแน่นโดยไม่รู้ตัว จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าการเสแสร้งโกหกมันใช้ไม่ได้ผลกับภวินท์
“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
ญาธิดารู้สึกว่าบรรยากาศดูแปลก ๆ ไป และกลัวว่าภวินท์จะเข้าใจผิดเธอจึงรีบกระโดดเข้าไปคล้องแขนเขาไว้ พลางพูดเหมือนกำลังอธิบายเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง
“ฉันพาต้นกล้ามารักษากับอลิสาที่นี่ แต่เด็ก ๆ สามคนนั่งอัดกันในรถอันตรายเกินไป ก็เลยต้องให้คุณนิดพาลูกมาเอง ถ้ารู้ว่าคุณจะมาฉันคงไม่รบกวนคุณนิดต้องลำบากมาด้วยแบบนี้หรอก”
นิธิศเรียกเธอว่าธิดาอย่างสนิทสนม แต่เธอกลับเรียกเขาว่าคุณนิด เพียงแค่ความแตกต่างในการเรียกชื่อมันก็พอที่จะอธิบายทุกอย่างได้แล้ว
ขณะที่เธอกำลังพูด ภวินท์ก็ถือโอกาสกุมมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ข้างลำตัว พลางเล่นแหวนแต่งงานที่อยู่บนนิ้วนางของเธอเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ราวกับว่านี่เป็นเพียงการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นกิจวัตรประจำวันของพวกเขาเท่านั้น
“ผมมาคุยเรื่องงานกับหลุยส์” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมื่อกี้เห็นอีธานกับเอลล่าตรงระเบียงทางเดินถึงได้รู้ว่าคุณ ‘ใจดีช่วยเหลือ’ พาคนอื่นมาที่นี่”
เมื่อญาธิดาได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองไปทางเด็กน้อยทั้งสองคล้ายกำลังถามว่าทำไมถึงไม่ยอมบอกเธอล่วงหน้า เอลล่าเบ้ปากทำไร้เดียงสา เมื่อกี้เธออยากจะบอกคุณแม่แล้วแต่ว่ามันไม่มีโอกาสได้บอก
นิธิศเหลือบมองสิบนิ้วของพวกเขาสองคนประสานเข้าหากันแน่นก็รู้สึกขวางหูขวางตา และไม่นิ่งสงบเหมือนอย่างเมื่อครู่นี้ หลังจากพยายามสงบสติอารมณ์อยู่สองสามวินาที เขาก็ปรับอารมณ์และเดินเข้าไปหาทั้งสองคน
“คุณภวินท์ครับ เกรงว่าต่อไปผมคงต้องรบกวนธิดาเขาตลอด คุณก็รู้ว่าเธอให้ความสำคัญกับต้นกล้าของผมแค่ไหน ยังไงหวังว่าคุณจะเข้าใจและให้อภัยด้วยนะครับ”
เขายังคงรักษาท่าทางสง่างามของตัวเองเอาไว้อย่างเดิม และเป็นฝ่ายยื่นมือให้ภวินท์ก่อน แต่น่าเสียดายที่มันต้องลอยค้างอยู่กลางอากาศเพราะภวินท์ไม่มีความคิดที่จะจับมือกับเขาเลยสักนิด
ในน้ำเสียงเย็นชาไม่แยแสของภวินท์ยังคงแฝงไว้ด้วยถ้อยคำเสียดสีประชดประชัน “ในเมื่อคุณนิดไม่มีเวลาดูแลครอบครัว ก็น่าจะแต่งงานเร็ว ๆ นะครับ จะได้ไม่ต้องมารบกวนภรรยาของคนอื่นทั้งวี่ทั้งวันแบบนี้”
ทันทีที่พูดจบ รังสีระหว่างพวกเขาสองคนก็แผ่กระจายออกมา อลิสาเห็นช่องโหว่ที่จะสามารถทดสอบนิธิศได้ก็รีบขยิบตาให้ญาธิดาทันที
ญาธิดาเข้าใจและจงใจใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไปมาบนหน้าอกของภวินท์ ลูบสัมผัสไปตามเสื้อสูทของเขา “ต้นกล้าเป็นเพื่อนสนิทของลูกเรา พวกเราก็ควรจะช่วยดูแลเขาด้วยนะคะ”
ลูกคอของภวินท์เคลื่อนขึ้นลงเล็กน้อย ก่อนจะรีบจับปลายนิ้วของเธอไว้
เมื่อรู้สึกได้ว่าหญิงสาวในอ้อมแขนกำลังตัวเกร็ง เขาก็เข้าใจและตอบสนองต่อความตั้งใจของเธอทันทีด้วยการรวบตัวเธอมากอดไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่หาฟังได้ยาก “ผมสนับสนุนการตัดสินใจของคุณนะ แต่อย่าหักโหมเกินไปล่ะ”
การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอสะท้อนอยู่ในดวงตาของนิธิศ รูม่านตาของเขาหดตัวลงโดยไม่รู้ตัว สายตาจ้องมองคนสองคนพลอดรักกันหวานปานน้ำผึ้ง ปลายนิ้วมือของเขากระตุกซ้ำ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า และพยายามห้ามตัวเองไม่ให้กำหมัดและทำอะไรบุ่มบ่าม
ใบหน้าของหลุยส์ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนปกติ เมื่อเห็นว่านิธิศไม่มีท่าทีว่าจะถอยเขาจึงรีบก้าวออกไปจับมือของเขาเอาไว้ทันที
“มิน่าช่วงนี้อลิสาของเราดูยุ่งมาก ที่แท้ก็รับงานดูแลครอบครัวตระกูลใหญ่นี่เอง แค่ไม่รู้ว่าบิลนี้พวกเรา…”
หลุยส์มองไปที่หน้าประตู Rambler Clubhouse โอ่อ่าตระการตาที่กำลังปรับปรุงใหม่ สามนิ้วบิดเข้าหากันทำท่าทางเหมือนกำลังแอบนับเงิน “อั๊ยยะ ทำธุรกิจมันไม่ง่ายเลยนะ ร้านเรารายได้ไม่ค่อยครอบคลุมรายจ่ายเท่าไหร่”
นิธิศมองท่าทางของเขาก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินของเขาออกมาด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ก่อนจะหยิบเช็คออกมาเขียน “นี่ถือเป็นเงินมัดจำที่ผมจ่ายให้คุณหมออลิสาล่วงหน้า ถ้าลูกชายของผมสามารถรักษาจนหายเป็นปกติได้จริง จะให้ผมสละทรัพย์สมบัติผมก็ยอม”
หลุยส์ไม่มีท่าทีเกรงใจเลยสักนิดรีบหยิบเช็คสะบัดไปมาทีสองที
หลังจากเห็นจำนวนเงินในนั้นเขาก็รีบทำเสียงจิ๊ปากออกปากเตือนทันที “คุณนิดสามารถออกเงินก้อนโตในคราวเดียวได้แบบนี้ ผมคงจะประเมินเงินเดือนเจ้าหน้าที่น้อยเกินไปสินะ หรือว่าคุณก็แอบเป็นพวกทายาทลูกคนรวยเหมือนกัน?”
เพราะไม่ว่ายังไงพวกที่ทำงานรับใช้ประเทศชาติ สิ่งต้องห้ามก็คือ “ทุจริต”
ตอนนี้นิธิศถึงพบว่าตัวเองถูกภวินท์กับหลุยส์ร่วมมือกันวางแผนทำร้ายโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว แต่เขายังคงอธิบายอย่างใจเย็นว่า “บอกตามตรง เงินพวกนี้เป็นเงินบำนาญของภรรยาที่เสียชีวิตไปของผม และตอนนี้ก็เอามาใช้กับต้นกล้า เธอเองก็คงจะสบายใจเหมือนกัน”
อลิสากระแอมในลำคอ ญาธิดารีบผละตัวออกจากอ้อมแขนของภวินท์ สงครามลับ ๆ ระหว่างพวกเขาทำให้เธอรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว ตอนนี้เธอแค่อยากจะยุติการต่อสู้ในครั้งนี้โดยเร็วที่สุด
“คุณนิด ตอนนี้อารมณ์ของต้นกล้าเพิ่งจะทรงตัว คุณพาเพิ่งจะทรงตัวกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ”
เมื่อได้ยินเธอออกปากไล่ นิธิศก็ไม่ได้โกรธ เพียงแค่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “คุณภวินท์ยังต้องคุยงานต่อ ผมไปส่งคุณกับพวกลูก ๆ กลับก่อนดีกว่า”
“ยังไงก็ไม่ได้มารถคันเดียวกัน…”
เมื่อได้ยินเธอพูดพึมพำเบา ๆ นิธิศก็ไม่ได้บีบบังคับต่อ ก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทางสบาย ๆ
อีธานกับเอลล่าสุมหัวเข้าด้วยกัน ดวงตากลมโตราวกับลูกองุ่นของทั้งคู่กวาดสายตามองพวกผู้ใหญ่ไปมาไม่หยุด ก่อนที่จะหาข้อสรุปได้นี่สุด
ฉากน่าตื่นเต้นแบบนี้นับเป็นฉากที่หาดูยากในรอบหลายร้อยปี นับเป็นสงครามอันแสนวุ่นวายโดยแท้
โลกของผู้ใหญ่ช่างน่ากลัวจริง ๆ ! ! !